Update! • Kenny Keng Web• Activity • Article • Imagine • My ARTWORK • BackPack/Journey • Sketch • All Art • alphafo

alphafoBasic Sketch • • 333 STUDIO KENNY KENG Blog


ALPHA FO
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]








**อันนี้ก็สำคัญครับ กับเรื่องของสิทธิ
คือว่าถ้าหากเพื่อนๆท่านใด
ต้องการนำภาพหรือบทความไปเผยแพร่
กรุณาแจ้งผมด้วยนะครับ

**ขอบคุณครับ**

alphafo

New Article : JAN 2015

Art trip : My Journey
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม"ฮานอย1 เวียดนาม:13/02/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" ซาปา3 เวียดนาม:31/01/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" ซาปา2 เวียดนาม:16/01/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" ซาปา1 เวียดนาม:14/01/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" เดียนเบียนฟู เวียดนาม:09/01/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" หลวงพระบาง ลาว:07/01/15
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" ไชยบุรี2 ลาว:26/12/14
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียนาม" ไชยบุรี1 ลาว:25/12/14
• "แบ่งเขต ไม่แบ่งใจ ; ไทย ลาว เวียดนาม" ปาด แปด 8:23/12/14
• "เริ่มใหม่...ได้ทุกเมื่อ":25/02/14
• "ปั่นคิดที่กองโค":19/12/12
• "12 12 12":12/12/12

• "ลับแล ซะที" :06/08/12

• BEST OF THE BEST:05/03/12

alphafo

• กาแฟสดบ้านหมึกจีน coffee and china's art gallery:16/02/12

Update! • อุปกรณ์การวาด carbon powder
•เทคนิคการทำเฟรมเขียนสีน้ำมัน
•เทคนิคการทำเฟรมสีน้ำมัน
•ปลอกต่อดินสอ EE กรณีดินสอของท่านหดสั้นจุ๊ดจู๋
•การทำสมุดเสก็ตซ์อย่างง่ายและประหยัด
•ภาพตัวอย่างสีชอล์ก 1
•ภาพตัวอย่างสีชอล์ก 2
•ภาพตัวอย่างสีชอล์ก 3



Update!เทคนิค ขั้นตอน การวาดภาพการ์ตูน
• : เทคนิคการวาดภาพผงคาร์บอนพระเจ้าตากสินมหาราช และพระยาพิชัยดาบหัก
• การวาดการ์ตูนล้อเลียน
• พื้นฐานการวาดการ์ตูน
•เทคนิคการวาดภาพคนสีชอล์ก(หลวงปู่แดง)
•เทคนิคการวาดภาพคนเหมือนเต็มตัวสีน้ำมัน
•การวาดเส้นสีคนเหมือน แบบหญิง
•การวาดเส้นสีคนเหมือน แบบชาย
•เทคนิคการวาด carbon powder
•การวาดสีชอล์กแท่ง พระยาพิชัยดาบหัก
•การแก้ไขภาพสีน้ำมัน landscape
•เทคนิควาดภาพสีน้ำมัน Landscape
•พื้นฐานการวาดภาพสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่(Basic)
•เทคนิคการวาดเส้นหุ่นนิ่ง(Drawing)
•เทคนิคการวาดเส้นภาพเหมือน(portrait) "ตา"
•เทคนิคการวาดเส้นภาพเหมือน(portrait) "จมูก"
•เทคนิคการวาดเส้นภาพเหมือน(portrait) "ปาก"
•เทคนิคการวาดเส้นรูปคนเหมือนด้วยดินสอ EE(drawing portrait-woman)
•เทคนิคการวาดเส้นคนเหมือน (Drawing sketch)
•เทคนิคการวาดเส้นรูปคนเหมือนภาพสีด้วยสีชอล์กแท่ง(pastel portrait)
•เทคนิคการใช้สีชล์อกแบบ drawing
•เทคนิคการแกะสติ๊กเกอร์แบบปลอกล้วย(จริงๆ)

alphafo ART ARTICLE :
• "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 6(สุดท้าย): โบนัสพิเศษกับงานศิลปะ
• "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 5 : วิธีการวาดภาพให้ได้ (เอาจริงซะที 2)
• "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 4 : วิธีการวาดภาพให้ได้ (เอาจริงซะที 1)
• "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 3 : ตามหามุมบันทึก(วาดเส้น)
• "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 2 : ทำไมต้องเป็นถ่าน?
• "เที่ยวไปกับถ่าน" ตอนที่ 1: เด็กน้อยกับฝาบ้าน
**ภาพสเก็ตซ์สีชอล์กน้ำมัน
**เทคนิคประสม...ใคร ??
ศิลป์(ป่ะ) “ต้องเป็นตัวของตัวเองดิ๊” ...

ภาพวาดที่ฉีก: ผมยืนมองภาพพร้อมกับฟังเสียงหล่น..
ANATTA: วันที่ความหดหู่ หดเหี่ยว หรือเหี่ยวจนหด...
alphafo
alphafo

alphafo
alphafo


Sketch crawl ร่วม Sketch กับเพื่อนๆทั่วโลก

alphafo ALPHA FOCUS หนังสือพิชัย เมืองเล็กฯ เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองหน้าด่านของสยามประเทศในอดีต.....
alphafo
โอกาสที่ท่านมุ้ยมอบให้ สิ่งที่ผมเฝ้าศึกษาและสังเกตุ จะมีเรื่องราวและข้อมูลไปพ้องกับใครบางท่านเข้าอย่างจัง...

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ALPHA FO's blog to your web]
Links
 

 

ลับแล ซะที



ลับแล ซะที

คงต้องบอกไปแบบนั้นจริงๆ

เพราะกว่าจะมีโอกาสได้มาที่นี่แต่ละครั้ง
ต้องตั้งท่าเป็นสเต๊ปหลายท่า
แต่จนแล้วจนรอดก็หลงสเต๊ปตัวเองยิ่งกว่าหลงในลับแลซะอีก กลายเป็นลับหาย(ไปเลย)




บริเวณทางเข้าเมืองลับแล
ซุ้มทางเข้า ซึ่งเมื่อสังเกตุบริเวณด้านข้าง
ดูเหมือนกำลังมีคนนั่งเศร้าอยู่

ว่ากันว่า

ใครก็ตามที่เข้ามาเมืองลับแลแล้ว
"ห้ามโกหก"



ยกเว้น.........
"นักการเมือง" กร๊ากกกกก




ตั้งใจจะเข้าวัด
แต่ อาจารย์จักรพงษ์ผู้ใหญ่ที่ผมนับถือ ก็พาพวกเราครอบครัวเล็กๆ
แวะมากินเกี๊ยวทอด ผักทอด ที่อาย่อยเหาะ


หลังจากเสร็จภาระกิจก็เดินทางมาถึงสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้





ในช่วงบ่ายยังคงมีหลายกิจกรรมครับ
หลายๆคนได้เตรียมพร้อม เตรียมตัวสำหรับ งานบุญใหญ่ครั้งนี้
วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา

มีการตั้งโรงทานไว้รองรับญาติโยม ที่เตรียมพร้อมขึ้นมาทำบุญบนม่อนแห่งนี้
บางส่วนก็ช่วยกันทำดอกไม้สำหรับเวียนเีทียนในช่วงกลางคืน
ทำแจกครับไม่ได้ทำขาย ทุกอย่างฟรีหมด ใตรอยากบริจาคก็แล้วแต่กำลังศรัทธา 
หากใครเดือดร้อน ไม่มีหรือมีแต่น้อยก็ไม่ต้องให้
แบ่งเบาภาระกันไป ทำบุญร่วมกัน ที่สำคัญคือ น้ำใจที่มีต่อกัน
นี่แหละครับความประทับใจอีกจุด ที่สถานที่แห่งนี้มอบให้ซึ่งกันและกัน



"สำนักปฏิบัติธรรมม่อนอารักษ์"
สถานปฏิบัติธรรมที่อยู่บนยอดภู ที่สะอาด บรรยากาศดี
ร่มรื่น เหมาะกับการสำรวจภายในจิตใจของเราเองเป็นอย่างยิ่ง




ลองถามตัวเองดูหรือยังว่า
เคยเข้าสำรวจตัวเอง หรือเข้าใจตัวเองบ้างหรือเปล่า
หรือเรา มัวแต่เอาใจ เข้าใจ ตามใจ ผู้อื่น
จนไม่รู้จักกับตัวเอง

หรือไม่เคยเลย
สักครั้ง
ที่จะเข้ามองดู

ทั้งตัวเองและผู้อื่น




(ขอบอกที่สำคัญอีกอย่าง ห้องน้ำสะอาดมากครับ (เอาไว้โอกาสหน้าจะเอาภาพมาลงเพิ่มให้นะครับ)



เห็นชุดขาวที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ด้วยผ้าปิดแผลบริเวณจมูก
ก็คือ อาจารย์ จักรพงษ์ ผู้เชิญชวน หลายๆคนได้มีโอกาสมาสร้างกุศลกันนะที่แห่งนี้

หลายท่านนอกจากจะมาเตรียมตัวทำวัตรเย็นและเวียนเทียนแล้ว
ยังนำอาหารมาแจก แบ่งปัน เพื่อเพิ่มพลังงานและมวลกายให้กับ ผู้ที่เตรียมตัวมาปฏิบัติธรรมทุกท่านด้วย





นี่แหละครับอาหารสารพัดที่นำมาต้องเป็นโรงทาน
ตักกันใหญ่ อาหารแต่ละอย่าง รสชาติดีๆทั้งนั้นเลยครับ
เสียดายที่ผมเองลองชิมไม่หมด
เพราะมีหลายซุ้มเหลือเกิน



หลวงพ่อพระอาจารย์ผู้ดูแลสำนักสงฆ์แห่งนี้
กำลังพูดคุยกันแบบง่ายๆ สบายๆ ถึงบางสิ่งอยู่ 
ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ คงไม่พ้นเรื่องของชีวิตและการเดินทางในโลกใบนี้



เมื่อได้เวลาทำวัตรเย็น ทุกคนต่างขึ้นมาบนศาลา
เพื่อสวดมนต์เย็นร่วมกัน ก่อนการนั่งสมาธิ
เพื่อพิจารณากาย และจิตใจ



การเดิืนทาง การวนเวียน และการเวียนเทียนได้เกิดขึ้นและจบลง
เหมือนวัฐจักรที่เกิดขึ้นมาหลายพันปี
ผู้คนหลายวัย ต่างก้มกราบ สวดมนต์ ออกเดิน จนกระทั่งการหยุดเพื่อพิจารณา



เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจ
หลายคนรอเพื่อทำบุญเช้า ณ ที่แห่งนี้
ที่แน่ๆ หลายคนที่รอนั้น ไม่ใช่คนแถวๆนี้

ที่หลับนอน เป็นเสื่อผืนหมอนใบ
ไม่มีอะไรมากมาย
พวกเรามากันเป็นครอบครัว ก็อยู่รวมกันเป็นครอบครัว

อ.จักรพงษ์ บอกว่า
สุดท้าย....
ก็แค่เสื่อผืนเดียว ที่ห่อร่างนี้ไว้
ก่อนถูกโยนเข้าสู่กองฟืน

เหลือเวลาให้นอนสักไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงเวลาตี 4 ที่พวกเราต้องลุกขึ้นตื่น
เื่พื่อทำวัตรเช้า



 หลังจากทำวัตร หลายท่านมีโอกาสนั่งสนทนากับพระอาจารย์ถึงผลการปฏิบัติธรรมเมื่อคืนที่ผ่านมา
ก่อนที่อีกสักพัก พวกเราจะลงไปตลาดโบราณด้านล่างม่อนหรือภูแห่งนี้





อากาศที่เย็นชื่นใจตอนรุ่งสาง
ที่หลายๆคน(รวมทั้งผม) ไม่ได้สูดหายใจเข้าเต็มปอดมานาน(ตื่นสาย)
วันนี้นอกจากล้างใจแล้ว ก็ได้ฟอกล้างปอดไปในตัวด้วย




สักพัก อาทิตย์เริ่มโผล่
เราำ็ก็ออกเดินทางลงจากยอดม่อนลงตลาดโบราณ ที่ชื่อ ฝายหลวง




ตลาดท้องถิ่น ที่หลายคนชอบที่จะมาเดินชมวัฒนธรรมความเป็นอยู่ การอยู่กินของคนท้องถิ่น
ที่เปิดเพียงถึง 7.30 น. ตลาดก็เริ่มวาย หายทั้งคนซื้อคนขาย
สำหรับเราหาอาหารและได้กับข้าวมาใส่บาตรแล้ว



เดินกลับ พร้อมกับการต่อสู้กับแรงดึงดูดของโลก
แรงดึงดูดที่ดูเหมือนจะทำให้น้ำหนักตัวของเราหนักกว่าเดิมหลายเท่าหนัก




การสนทนาธรรม และมุมมองของปัญหายังคงเกิดขึ้นเสมอทุกมุมของสถานที่แห่งนี้
แม้กระทั่งการอยู่เพื่อพูดคุยกับตัวเอง

พระอาจารย์บอกว่า
"อย่าหลงกับสุข และอย่าติดกับทุกข์ แชร์สองความรู้สึกให้เท่าๆกันแบบง่ายๆสบายๆ"




ผมบอกพระอาจารย์ว่า

"ขอโทษนะครับ เพื่อนบอกผมว่าผมกวนส้นตรีนนนเป็นที่สุด
สาเหตุคงเป็นเพราะ เวลามันชมผม ผมเองก็ยิ้มรับเล็กๆ เวลาด่าผมก็แ่ค่อมยิ้ม"...

เราทั้งโต๊ะต่างหัวเราะ
 นี่ไงปล่อยวาง

ต้นไม้ต่างชนิด แต่อยู่รวมกันได้โดยไม่เกี่ยงงอน
แต่คนเรานี่หนอ แค่คิดต่าง ก็โดนถีบกระเด็นไปอีกข้างอย่างมึนๆ



ได้เวลาอีกสักพัก พวกเราก็เดินขึ้นม่อนภูสูงอีกชั้น
ที่กำลังจะสร้าง พระพุทธรูปหยกขาวและพิพิธภัณฑ์เมืองลับแลที่นี่

มาชื่นชมดอกหญ้าเล็กๆ
พร้อมกับอากาศที่สดชื่นล้างพิษ
ล้างออกทั้งในกายและในใจ














สำนักปฏิบัติธรรมม่อนอารักษ์ ลับแล


พระอาจารย์ปฏิบัติธรรมมาหลายสิบพรรษา
เคยคิดว่าจะไม่สร้างอะไร สิ่งใดๆ เพราะเชื่อตามหลักธรรมองพระพุทธเจ้า
บนม่อนแห่งนี้จึงเป็นเพียงกระต๊อบในสมัยก่อน

ต่อมา พระอาจารย์บอกว่าไม่อยากเอาตัวรอดเพียงผู้เดียว 

สิ่งสำคัญคือต้องบอกกล่าวและแนะนำผู้คนให้รู้จักตัวเอง รู้จักโลกและธรรมชาติ
การก่อสร้างจึงจำเป็น ความไม่ลำบากจนเกินไปสำหรับผู้มาฝึกปฏิบัติก็จำเป็น
อาจเพราะ คนธรรมดาเองต้องทำงานและวิ่งวนอยู่ในสังคม
จึงต้องการความรวดเร็วและเห็นผล
การสร้างสถานปฏิบัติธรรมและตัวแทนรูปเคารพจึงจำเป็นต้องมี
เพียงแต่ ต้องนำหลักธรรมคำสอน มาพิจารณากับตัวเองให้ได้

นี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการกลับมาสู่สังคมอีกครั้งของพระอาจารย์


ำสนักปฏิบัติธรรมม่อนอารักษ์ ลับแล





เมื่อเสร็จจากทางสำนักปฏิบัติธรรม อาจารย์จักพงษ์ก็พาพวกเรามาปล่อยปลา ปล่อยกบ
ที่ริมแม่น้ำน่าน ณ บ้านคอวัง บริเวณตลาดในตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ห่างจากสำรนักเพียงไม่กี่กม.

ที่นี่มีต้นสาละด้วย 
ผมเพิ่งเคยเห็นผลเป็นครั้งแรก ทำให้ผมเองเริ่มมีสาละขึ้นมาบ้างแต่คงยังไม่หนักจนเกินใบ
เพราะสาละก็มีดอกให้ชื่นชมเหมือนกัน



บรรดากบและปลาต่างแหวกว่ายน้ำเพื่อกลับภูมิลำเนาอย่างสบายใจ
พวกเธอ รอดแล้วนะ
โย่ว!




อาจรย์จักรพงษ์เฉลยว่า สาเหตุที่เราต้องมาปล่อยรวมกันเป็นหมู่คณะ
เพราะเมื่อเรารวามกลุ่มกันมากๆ ต่างคนต่างบารมี เมื่อมีปัญหาใหญ่ที่มันหนักอึ้ง
คนหายคนช่วยกันแบก ภาระนั้นย่อมผ่านพน
จากหนัก ก็เบาลงเพราะช่วยเหลือกัน

ดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยเราก็มีคนมาช่วยโยนบางปัญหาออกจากอกไปได้บ้าง





เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน

การสำรวจของผมก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ลองดูๆไป รถคันนี้แรงชะมัด สามารถไต่เขา ขึ้นเก็บทุกเรียนได้
แต่เราคงเก็บไม่เป็น ขนาดแกะยังไม่เป็นเลย เพราะกินเป็นอย่างเดียว





นี่ไงการขนถ่ายสินค้า ด้วยรถที่หากมองเผินๆคงคิดว่าขับไม่ได้
แต่ภายนอกกับเสียงเรื่องยนต์ที่ยังแน่นเปรี้ยะ 
บอกว่า ไปได้สบายมาก



เพราะฉะนั้นการตัดสินบางสิ่งแค่ภายนอก
จึงเป็นแค่การคิดไปเอง จนเกือบจะสะกดจิตตัวเองให้เชื่อตามที่ตาเห็น
น่าเสียดาย ที่คนส่วนใหญ่ชอบเหลือเกินที่จะสะกดจิตตัวเอง

สะกดจนลืมตัวตนและธรรมชาติที่แท้จริงของความเป็นคน






มีอีกหลายเรื่อง ที่ปล่อยผ่านเลยไป เก็บเอาไว้แค่ในภาพถ่ายและความทรงจำ
แล้วมีโอกาสจะจัดแบบเต็มๆทริปเลยนะ

จะได้ถึง "ลับแล ซะที"




ชมภาพเพิ่มเติม คลิ๊กเลยครับ>>>  คลิ๊ก!!




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2555    
Last Update : 7 สิงหาคม 2555 18:58:05 น.
Counter : 2939 Pageviews.  

กัมพูชา..หาอะไร?


กัมพูชา ..หาอะไร?


นั่นแหละ หาอะไรกัน???
หรือว่า...หาเรื่อง?


ใช่! 
หาเรื่อง?

สิ่งที่เราสามารถหาที่ไหนก็ได้

ขึ้นอยู่กับมุมมอง
และสายตาที่จะสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นจริง




เรื่อง ! ที่ใช้
ตาที่อยู่ข้างใน มองดู

ความเชื่อ ความศรัทธา ความมุ่งมัน
ความงาม ความปราณีต ความยิ่งใหญ่
การบรรจง ความอดทน ความมุ่งมั่น
และอีกหลายๆความที่มากกว่าที่บอกไป

มีอยู่รอบๆกายเรา




ทำไมถึงต้องกัมพูชา

ผมคงขอข้ามที่จะกล่าวถึงเรื่องราว ประวัติศาสตร์
ความเป็นมาของเชื้อชาติ ชนชาติ
ปีพ.ศ. , ค.ศ. หรือ แม้แต่สถานที่
ที่ปรากฎอยู่ในรูปแต่ละรูป
ว่ามาจากไหนที่ใด


แต่ที่จะบอกกล่าวเล่าความ
คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกัน
ระหว่าง มนุษย์และธรรมชาติที่เป็นไป

ผมมอง
ที่นี่.....เป็นงานอาร์ต

ทุกมุมมีเรื่องราว มีกาลเวลา
มีชิ้นส่วนเล็กๆที่ติดอยู่

เล็กๆแบบลอยล่อง ปลิววนไปมาอยู่ในชั้นบรรยากาศ

เป็นเหมือนคลื่นโทรศัพท์

อยู่ที่ว่าใครจะเปิดเครื่องเพื่อรองรับ
(ส่วนใครระบบไหนค่อยว่ากันอีกที)



จะมองแต่ละมุมต้องมองด้วยตาเนื้อ กลั่นถึงตาใจ
การบอกกล่าวผ่านร่องรอยของสรรพสิ่ง
ถึงการอยู่ร่วมกัน ของความยิ่งใหญ่ที่มนุษย์สร้างขึ้น
กับการไหลไปเรื่อยๆของเวลา

มนุษย์ถูกผลัดเปลี่ยนกันรุ่น ต่อรุ่น

ถ้าตามความเชื่อ ก็เกิดแล้วเกิดอีก
ที่แน่ๆ ก่อนกลับมาเกิดอีกที ก็ต้องตายก่อน

ไม่ว่าจะทางก้อนเนื้อท้วมๆก้อนที่นั่งเขียน(อ่าน)อยู่นี้ หรือ จิตวิญญาณที่อยู่ข้างใน



การเดินทาง... การโคจรที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ซึ่ง
มีคนเชื่อแบบนี้อยู่มากมาย
มากจนกระทั่งสามารถสร้างสิ่งที่เราเองที่ซึ่งอยู่ในสภาพนี้

........ทำไม่ได้

เพราะเราเชื่อ และศรัทธาได้ไม่ถึงเสี้ยวของคนยุคนั้น



หินทุกก้อน
งานแกะทุกชิ้น
การเรียบเรียง
การก่อร่างสร้างสิ่งเหล่านี้

คืออะไร

นั่นแหละ! คือ ศรัทธา



ปราสาท ไม่ว่าจะเป็นเทวสถานหรือประสาทใดๆ
ถูกจารึกด้วยงานนูนต่ำ
ที่ไม่ใช่งานปั้นดินเหนียว
แต่แกะจากหิน

กว่าจะขนย้าย กว่าจะเรียง
เรื่องราว ร่างภาพ สกัด
จนถึงการแกะขัดเก็บรายละเอียด
แต่ละที่ แต่ละแห่ง แต่ละด้านของผนัง
คงไม่ใช่แค่เดือนเดียว หรือปีเดียว


มากมายเหลือเกิน



สุดท้าย

ก็คงเป็นอย่างที่เราเห็น
ไม่ว่าจะเป็นที่ใด

สิ่งเหล่านี้หายไปหมดแล้ว
...........

ความเชื่อที่มั่นคง



กาลเวลาได้พิสูจน์
ระหว่าง ความจริง กับ ความเชื่อ


ความเชื่อที่ถูกสร้างขึ้น
ไม่ว่าจะเพราะเป็นผลประโยขน์ที่ตกกับใคร

ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของมนุษย์
ที่เริ่มใช้ไฟเป็น

จนถึงปัจจุบันที่มนุษย์ยุคใหม่เริ่มก่อไปเองไม่เป็น



เราก็ยังคงตกอยู่ภายใต้ความเชื่อหลักๆ
ที่ถูกสร้างขึ้นมาแต่ละรุ่น
แต่ละพื้นที่ แต่ละสถานะการณ์
แต่ละชนชาติ ที่ต่างเขตอาศัย



ความยิ่งใหญ่ที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า
กลับกลายเป็นเพียงฝุ่นผงในจักรวาล

ทุกที่....บนดาวดวงนี้
หากมนุษย์มองเห็นแต่ตนเองและพวกพ้อง
หากถูกเชิดชู ยกย่องมาอย่างมากมาย
ย่อมเห็นตัวเอง
เป็น
......



ศูนย์กลางของจักรวาล

เหมือนกับเด็กน้อย
ที่ถูกตามใจจากผู้ใหญ่
จนคิดว่า
ตัวเองนั้น

สำคัญที่สุด ???

(เหรอ??)



และเมื่อใด
ที่ผู้นั้นใกล้สูญเสียความเป็นศูนย์กลาง



ย่อมหาสิ่งปกป้อง
เพื่อให้ยังคงความสำคัญต่อไป










แม้แต่เวลา
ก็ยังเป็นกฎเกณฑ์ที่จะกำหนดให้เรา
อยู่ในกรอบ

กรอบของเวลา

ทั้งๆที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเวลานั้น...มีจริงหรือเปล่า

ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
คงอยู่แต่ปัจจุบัน



ปัจจุบันของแต่ละคน

ปัจจุบันที่ไม่เหมือนกัน
เหมือนอยู่กันบนโลกคนละใบ
ดาวคนละดวง



เรื่องราวหลากหลายถูกบันทึก
ตั้งแต่แรกเริ่มจากสีเปลือกไม้ที่เขียนผนังถ้ำเพื่อบ่งบอกถึงสิ่งที่เห็นและทำ

มาจนถึงผนังที่ทำจากหิน ถูกบรรจงแกะสลักอย่างงดงาม
เหมือนกับว่าจะไม่มีวันสลายไปจากดาวดวงนี้





การวิวัฒนาการของมนุษย์ กับงานศิลปะ

จากเพือการบันทึกบอกเล่ากันลืม

ผ่านเลยมาจนถึงการแสดงออกถึงความเชื่อ



ช่องแสงยังคงช่องเดิม
ช่องลมยังคงเหมือนเดิม

หลายอย่างยังคงเดิม

การตามล่า การล้างแค้น การแก่งแย่ง

ปกป้อง > กดดัน > ลุกสู้ > ชัยชนะ > ปกป้อง

จากอีกฝ่าย สู่ อีกฝ่าย
มนุษย์ยังคงเข่นฆ่ากันเองต่อไป

เพียงเพราะ
ยึดถือตัวเองนั้น

เป็นศูนย์กลาง


หาใช่ความเข้าใจถึงความเป็นไปของธรรมชาติ

โดยความเป็นจริงของซากแห่งความยิ่งใหญ่ในอดีตนั้น
ยังคงวางกองอยู่ด้านหน้าให้เห็น

ความเชื่อ ความศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ในอดีต

ยิ่งทำให้บางครั้งดูเหมือน
มนุษย์บางส่วนได้สร้างความอับอายให้กับอดีต
และคล้ายๆว่าไม่คู่้ควรกับอนาคตเอาเสียเลย




คำกล่าวหาถึงการทรยศต่อเผ่าพันธ์ตัวเอง
ถูกเติมความคิดให้เห็นความแตกต่าง แตกแยก


หากย้อนมองดูถึงมนุษย์เป็นเผ่าพันธ์หนึ่งเดียวกัน
บนดาวดวงเดียวกัน
เหมือนกับอยู่บ้านเดียวกัน


เพียงแค่สบตา
.......ก็เข้าใจ


ทุกชีวิต
บนดาวดวงนี้
คงมีแต่ความสุข









จากอดีต.......เรื่อยมา 

จนถึงปัจจุบัน

จากปราสาทหินแกร่ง....
....สู่เสาไม้เล็กๆบนเรือ



 กัมพูชา.....หาอะไร???




(นอกเรื่อง....)
ก่อนจากวันนั้น
มีเพื่อนมาทักทาย
(ถ้าเป็นเครื่องบินก็บินต่ำมาก
ถ้าเป็นนกก็ตัวใหญ่มาก แถมบินมาตัวเดียว)



......ก่อนที่จะหายไป



กัมพูชา.....หาอะไร???
......................................................................

ใน....นครวัด









Tag : ประวัติ ภาพถ่าย งานศิลป์ กัมพูชา ขอม เขมร ปราสาท นครวัด นครธม บันทายศรี พนมบาเค็ง ปราสาทตาพรม 




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 31 พฤษภาคม 2555 11:18:57 น.
Counter : 1852 Pageviews.  

กาแฟสดบ้านหมึกจีน coffee and china's art gallery





หลังจากน้ำท่วม ไปกันเกือบทั้งประเทศ
ผลัดกันท่วม ผลัดกันแห้ง แถมบางแห่งยังไม่แห้ง ก็กลับมาท่วมอีกครั้ง

เหตุการณ์บนโลกใบนี้ ยังคงไหลรินไปเรื่อยๆพร้อมกับการหมุนวนของโลก
"โลก"ที่บางครั้งหมุนเร็วบ้าง ช้าบ้าง ตามจังหวะขึ้นลงของ"จิตใจ"เรา

เส้นสาย เส้นเสียง แห่งการณ์เวลา ก็เหมือนกัน
ยังคงไม่หยุดนิ่ง
หลากหลายความเชื่อ มากมายความคิดของเผ่าพันธ์มนุษย์ยังคงดำเนินต่อไป

"บ้านหมึกจีน" ก็เช่นเดียวกัน ยังคงไหลตามเวลาพร้อมๆกับโลกและผม
จากห้องแถวไม้ กลายเป็นตึกแถว แต่เอกลักษณ์ ณ ที่แห่งนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
บางทีหากเรามองย้อนกลับ ตัวเราเองก็ยังคงหมุนวนไปเช่นเดียวกัน



ผมกลับมาเยี่่ยมเยือนบ้านหมึกจีนใหม่แห่งนี้อีกหลายครั้ง
พร้อมกับความทรงจำที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นประสบการณ์



ประมาณ 9.15 น. ผมก็เดินทางด้วยใบหน้ามึนๆ มาถึงที่แห่งนี้
บรรยากาศหน้าร้าน มีแสงตกกระทบพาดผ่านมาถึงอุปกรณ์ต่างๆ
ที่เหมือนการดูดกลืนความชื้น ที่ติดเกาะ
กลิ่นของแสงแดด ที่ยังไม่ร้อนแรงจนเกินไป
เรียกว่า อุ่นกำลังสบาย





ไม่ว่าตาผมจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นความชื้นนี้
แต่ก็สัมผัสได้ ถึงกลิ่นอายจากแสงแดดยามสายนี้
สัมผัสกลิ่นจากสายตาสู่สายใจ ผ่านช่องลมบริเวณโพรงจมูก
ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตั้งตรง หลบลับไปอีกด้าน



ยังเหมือนเดิม
ที่แห่งนี้ยังคงความรัก เอกลักษณ์ ที่ยังหยุดบางเสี้ยวเวลาแห่งชีวิต
หยุดไว้ กับบางความทรงจำ
หยุดกับเรื่องราวที่ยังวนเวียนกับหลายคนในครั้งอดีต



มานั่งที่นี่เพื่อหยุดการหมุนของโลกสักพัก
"เมื่อใจหยุด โลกก็หยุดหมุนตาม" เขาว่ากันอย่างนั้น
....ซึ่งก็ท่าจะจริง ถึงแม้ทางกายภาพดาวดวงนี้จะกำลังเดินทางอยู่ก็ตาม



"กาแฟสด บ้านหมึกจีน" กาแฟสดที่สดจริงๆ
เมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วบด ผ่านการบดปั่นจากเครื่องมือรุ่นก่อน

"อ.เศวต" หรือ หลายๆคนเรียก "โกเวส"
ยังยังตั้งหน้าตั้งตา ฮืมมมม ก้มหน้า ก้มตาต่างหาก

ก้มปั่นกาแฟอย่างเมามันส์ เหมือนกับจะคั้นทุกเมล็ดให้ละเอียด หอม มัน

(บางคนอดสงสัยไม่ได้ ว่าระหว่างเครื่องบดเมล็ดกาแฟ กับคนปั่น
อย่างไหนโบราณกว่ากัน ฮืมมม..ใครสะดวกแวะไป ถามแทนผมหน่อยนะครับ แหะๆๆ)



เครื่องปั่น เครื่องทำก็มี แต่ โก ไม่ใช้
ไม่ใช่ไม่อยากซื้อ แต่โกมาเฉลยภายหลังว่่า
"มันออกมาจากพลังใจ ที่ผ่านแรงกาย" จากการปั่นกาแฟ

โอ้ ว๊าว! แม่เจ้า ดาวแม่

โกเวสคิดได้ไง ปั่นกาแฟผ่านใจ



น้ำที่เดือดในกา ดันไอน้ำเข้าปะทะกับอากาศอย่างจัง
ควันบางๆที่ส่งผ่านมา พร้อมกับเสียงเพลงแบบจีนๆ
ปะทะเข้าทั้งตา หู จนทะลุลงก้นบึ้งของใจผมจนเกือบถึงถุงน้ำดีที่ตับ



เพลงบรรเลงแบบจีน ที่คล้ายๆกับงิ้ว
ไม่คล้ายแหละ งิ้วเต็มๆ เหมือนผ่านศาลเจ้าช่วงเทศกาลยามค่ำคืน
เจาะเข้ากับจังหวะเท้าผมที่ค่อยๆก้าวไปดูแต่ละซอกมุมของร้าน
เหมือนกับพระเอกงิ้ว กำลังจะออกศึกยังไงยังงั้น



ผมว่าดีนะ เพิ่มความคึกคักกับการปั่นกาแฟของโกดี
ดูแล้วความสุขหาได้ไม่ไกลเลย
เพียงแค่เราอยู่กับสิ่งที่เรารัก และรักที่จะทำกับมันเท่านั้นเอง(คุ้นๆ)



เมื่อเดินเข้ามาภายใน เหมือนเดินผ่านประตูทะลุมิติของโดเรม่อน
บรรยากาศภายในร้านถูกเติมเต็มไปด้วยงานศิลป์แบบจีนๆ



โคมไฟแดงที่ส่องสว่างไสวให้กับชีวิต จิตใจ
ถูกติดเรียงรายเป็นทิวแถว พร้อมกับโคมที่มีลวดลาย



งานวาดหมึกจีน เขียนสี จนถึงประติมากรรม
ถูกจัดเรียง ปรับเปลี่ยนมุมมองทางสายตาทุกมุมที่นั่ง
ทั้งบรรยากาศของงานที่เสร็จและกำลังจะเสร็จ(แต่ไม่รู้เมื่อไหร่)





หลากหลายภาพ มากมายการบอกกล่าว
ผ่านสายตาที่ทั้งจ้องมอง และมองผ่าน



"เขาว่ากันว่า ภาพเขียนคุยกับเราได้"





ผมยืนยันว่าเป็นไปตามนั้น
การพูดคุยผ่านทางภาพเขียน ยังคงเกิดขึ้นกับใครก็ได้เสมอ






เพียงแค่เราเปิดตาในใจ ก็จะมองเห็น

หลายๆภาพพูดคุยกับผมไม่เหมือนเดิม
แต่ประโยคเดิมๆยังคงไม่จางหาย

อย่างน้อย ก็คือการหยุดพักบ้าง เพื่อชาร์ตแบต
เพิ่มพลังงานกับตัวเองผ่านทางภาพเขียน





หลายๆครั้ง ผมเองมองภาพแล้วหลังจากนั้นก็หลับตาลง

ปล่อยใจ ปล่อยกาย แล้วจ้องมองสิ่งที่อยู่ข้างใน

เส้นเสียงของภาพที่ส่งถึงแต่ละคน
ต่างคน ต่างคลื่น ต่างประสบการณ์

ย่อมแตกต่างกันไป






ภาพวาดแสดงตัวตน หรือตัวอักษรสื่อสารความหมาย
เรียงรายอยู่ทุกด้านของผนัง ซึ่งหากเราดูทีละเรื่อง
ศึกษาทีละอย่าง คงใช้เวลาหลายวัน



ความรู้ ไม่เคยหยุดนิ่ง
จินตนาการไม่อาจถดถอยได้ ณ สถานที่แห่งนี้





เมื่อโลกหมุนหลบแสงอาทิตย์ขึ้นเรื่อยๆ
ลูกค้าเริ่มทะยอยกันมา พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน
ในแนวคิดที่หลากหลาย ทั้งสอบถามกันเอง
โดยผ่านการสื่อสารจาก โกเวส ที่ชงกาแฟไปด้วย
พูดคุย แลกเปลี่ยนผ่านองค์ความรู้ที่แต่ละคนได้ศึกษามา







ทำให้คนนั่งฟังอย่างผม อดที่จะแลกเปลี่ยนพูดคุยด้วยไม่ได้
ทั้งฟัง และ นำเสนอ เหมือนรู้จักกันมาแต่อดีต
ผ่านบรรยากาศ ที่พวกเราหลายคนได้แทรกผ่านอากาศเข้ามาที่แห่งนี้
ทำให้ได้รับรู้ ถึงความเชื่อ
และความเข้าใจผ่านทาง ร้านกาแฟสดบ้านหมึกจีนแห่งนี้



ถึงแม้เหมือนโลกจะหยุดหมุน
แต่หน้าต่างเพื่อมองความเป็นไปของโลก ไม่ได้ถูกปิดกั้นไปด้วย



ที่นี่ยังมี Internet Wi-fi ให้ได้ใช้้สำรวจความเป็นไปของโลกภายนอก
โลกที่ดูเหมือนจะห่างจาก มุมจีนๆแห่งนี้ในจังหวัดพิษณุโลก
ร้านกาแฟสด ที่เพิ่มเติมอีกอารมณ์ อารมณ์แบบจีนๆ

โดยที่เห็นราคาของกาแฟกับบรรยากาศและความรู้ที่ได้รับแล้วนั้น..ฮืมมมม
.............( ช่องว่าง )................
หากใครผ่านมาให้ลองเข้าสมผัสดู แล้วเติมในช่องว่างนี้ให้กับตัวเอง
(ส่วนตัวผมแล้วคุ้มค่ามากๆ เมื่อแลกกับอารมณ์และความรู้ที่ได้)








สำหรับผม แว๊ปไป แว๊ปมา
โผล่มาครั้ง ก็เลือกเวลาอาหารและน้ำชาของโกเวส พอดี

เจ้าบ้าน ที่ต้อนรับผู้ผ่านทางอย่างเป็นกันเอง
พร้อมอาหาร และน้ำชาที่ผู้ใหญ่อย่าง อ.เศวต
รินให้กับผู้น้อยต้วจ้อยที่เดินทางผ่านมาอย่างผม
ทำให้วันนี้เป็นวันที่แสนวิเศษ
และเป็นรางวัลชีวิตที่สวยงามของผมอีกวัน

สถานที่ที่น้ำใจหลากท่วมจนเต็มล้นให้กับทุกคน
ณ ร้านกาแฟสดบ้านหมึกจีน แ่ห่งนี้








ขอขอบคุณ ร้านกาแฟสดบ้านหมึกจีน coffee and china's art gallery
ที่หากใครผ่านมาพิษณุโลกอย่าลืมแวะมาทักทายกันนะครับ
บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา ไนท์บราซาร์ พิษณุโลก
ผ่านมาแวะมาพูดคุยกันได้เสมอ

บางทีอาจเห็นมนุษย์หน้ามึนๆ อย่างผม
นั่งเสก็ตซ์รูปผู้คนไปมาอยู่แถวนั้นก็ได้
และเมื่อถึงเวลานั้นอย่าลืมทักทายผมบ้างนะครับ



*****-----------**************-----------******


ชมภาพบรรยากาศภายในร้านเพิ่มเติมครับ


(พระมหาวิเชียร ชินวโส แห่งสวนพุทธธรรมเวฬุวันพิษณุโลก ก็มาเยี่ยมเยียนลูกศิษย์(โกเวส)ครับ)



(บางท่านเมื่อแวะมาแล้วก็ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกัน)




(กาแฟสดบ้านหมึกจีนตอนกลางคืนครับ)


(ลูกค้าที่เข้ามานั่งพูดคุยกันยามค่ำคืน)




alphafo


Keywords : กาแฟสดบ้านหมึกจีน วาดภาพจีน ร้านกาแฟสดพิษณุโลก ท่องเี่ที่ยวพิษณุโลก coffee and china's art gallery Chinese Art Galleries




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2555 8:50:27 น.
Counter : 3181 Pageviews.  

สบายดีปากเซ 4 (ตอนจบ) : ชนเผ่าที่ตาดผาส้วม




"เอาตัวเองให้รอดเหอะ แล้วค่อยเสนอหน้ามาบอกคนอื่น"

ผมเคยโดนด่ามาแบบนี้ เชื่อว่าผู้ให้หลายๆคนก็เคยโดนว่าแบบนี้
เพราะการเสนอหน้าของเราเอง ให้ในสิ่งที่ตนเองมีมาก(ใจ)
ให้ในสิ่งที่ตนเข้าใจมาแบบง่ายๆ แบ่งปันกันแบบง่ายๆ(ทักษะ ความรู้)
....ไม่เว้นแม้กระทั่ง หลายๆครั้งที่เรานึกด่าตัวเอง ว่า....
เอาตัวเองยังไม่รอด แล้วจะเสนอหน้าทำไม?

เราคงเอาตัวรอดเพียงคนเดียว
ถ้าบนโลกใบนี้ทุกอย่างเทียมเท่ากัน ไม่มีใครคิดต่างกัน
ทุกคนมีวิถีชีวิตที่เหมือนกัน กิน นอน แบบเดียวกัน ทำตัวเหมือนๆกัน
เหมือนกันกับลิงหรือสัตว์อื่นๆบนโลก
ที่อยู่เพียงเพื่อขยายเผ่าพันธ์และเอาชีวิตให้รอด
ด้วยพื้นฐานความจำเป็นง่ายๆของชีวิตเพียงไม่กี่อย่าง

ถ้าเป็นแบบนี้เผ่าพันธ์มนุษย์ คงไม่มีใครชี้นำใคร
ไม่มีใครแนะนำใครถึงมุมมองที่ตนเห็น
ไม่มีมุมมองใหม่ๆมาเล่าขาน ไม่มีการเรียนรู้ใหม่
คงมีแต่การเรียนรู้ตามกันมา หากินกันเอง
ขาดการสร้างสรรค์ ขาดซึ่งการให้และการพึ่งพาซึ่งกันและกัน

เพราะทุกคนล้วนแต่ต้องการเอาตนเองให้รอด
รอดจากสังคมนั้น โดยไม่สนคนรอบข้างหรือใครผู้ใดที่ผ่านสายตา



แต่สังคมมนุษย์ในมิตินี้หาเป็นเช่นนี้ไม่

ความแตกต่างยังคงมีอยู่ในตัวมนุษย์
เมื่อมีกลุ่ม มีชุมชน มีคนรอบข้าง สังคม
มีการกระทำแบบส่วนรวมในสถานที่นั้นๆยอมรับ

เมื่อความแตกต่างเกิดขึ้น การให้ การชี้แนะ การแนะนำ
การส่งเสริมให้ผู้ที่สนใจ อยากรู้ อยากเป็นจึงเกิดขึ้น
มันเป็นการส่งผ่านข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน
หาใช่การเสนอหน้าเข้าไปยุ่ง กับผู้ที่มีอารยธรรมสูงกว่า(หรือเปล่า?)
ที่ไม่ยอมรับความต่างอื่นๆบนโลกใบเดียวกัน

"ให้กับผู้ที่ต้องการ" ไม่รู้ซิ ผมคิดแบบนั้น
ให้สิ่งที่เขาต้องการมีคุณค่ามากกว่า ให้กับคนที่มองไม่เห็นคุณค่า
จากนั้นก็ทิ้งๆขว้างๆ

......นี่แค่โลกใบเดียวกัน
คงยังไม่ต้องพูดไปถึงจักรวาลเดียวกัน หรือคนละจักรวาล
คงไม่ต้องกล่าวถึงมิติที่คู่ขนาน หรือ มิติที่ซ้อนทับ
ไม่ต้องกล่าวถึงความสั้นยาวของเวลาที่แต่ละคนมีไม่เท่ากัน



นี่ผมมายืนอยู่กลางหมู่บ้านที่นำเอกลักษณ์ของแต่ละชนเผ่ามารวมกันแล้วหรือนี่
อย่างที่เคยบอกว่า โลกส่วนตัวของผมที่ค่อนข้างสูง
ทำให้ถูกหลุมดำดึงเข้าไปได้ง่ายๆ แค่เห็นอะไรผ่านตาก็จินตนาการกระจาย

"แล้วจินตนาการของป้าชาวเผ่าที่นั่งดูดยาสูบอยู่นี้ จะเป็นยังไนะ
เล่นอัดยาสูบไปซะขนาดนั้น ถ้าโชว์เป็นรอบก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าอัดยาติดๆกันมากๆ จิ้น(จินตนาการ)ของป้าแกคงกระจายไม่ออก
บรรยากาศคงมาคุน่าดู"


ก็แค่คิดกับแว๊ปแรกที่เห็นเท่านั้นเอง



เข้ามาถึงก็เห็นเด็กๆแต่งชุดชาวเผ่าวิ่งเล่นกันให้เพลิน
จะชัดที่สุดก็กลุ่มที่ยืนร้องเพลงเต้นรำกันบนชานบ้านกลางลาน
เต้นเสร็จหนึ่งเพลง ก็พากันเดินจูงแขนกันออกมารับทริป
ไม่รู้ว่าจะเป็นกิจกรรมช่วงวันหยุดยาวแบบประเทศไทยเราหรือเปล่า
ที่ให้เด็กๆได้มีกิจกรรมพิเศษ มาอยู่กับครอบครัวที่ประจำอยู่ที่นี่
ดูๆแล้ว คงหลายสิบครอบครัว ที่มาอยู่ประจำใช้ชีวิตแบบชนเผ่าของตนแต่ละเผ่า

บางคนไม่ได้เต้น แต่แต่งชุดประจำเผ่าวิ่งเล่นการละเล่นพื้นบ้านก็ดูสนุกดี
อย่างน้อยก็สนุกกันเป็นกลุ่ม ไม่นั่งสนุกคนเดียวกับเกมบนหน้าจอโทรศัพท์
หรือมัวแต่หมุนเกมเล่นบนแท๊บเล็ต แช๊ทกันจนมือหงิก
(เทคโนโลยีต่างๆดีนะครับถ้าใช้เป็นและถูกเรื่อง)



มองอีกมุมพวกเขาก็ขาดโอกาสในการมองเห็นโลกใหม่
ที่กำลังพัฒนาแบบก้าวกระโดด
ชนิดข้ามคืนเทคโนโลยีก็เปลี่ยน
แต่สำหรับพวกเขาแล้ว โลกยังคงเดิม มีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย
และศิลปะ วัฒนธรรมประจำชนเผ่า ที่น่าภูมิใจของพวกเขาเหล่านั้น

เขาคงไม่สนุกด้วย ถ้าเราจะเอาเรื่องของเราไปเล่าให้เขาฟัง
และถ้าผมติดอยู่ในป่าแล้วเผลอเล่าเรื่องของสังคมอื่นที่เหมือนมีมนต์วิเศษ
พวกเขาคงบอกผมเหมือนกันว่า "เอาตัวเองให้รอดเหอะ ไปหาของป่ามากินซะ"
นี่เองที่ผมคงเอาตัวไม่รอด แหงๆ แต่เชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็คงไม่เกินความพยายาม
เพียงแต่เรายอมรับที่จะเรียนรู้หรือเปล่า เท่านั้นเอง
บางแห่ง บางที่ การฟังและเงียบ คงจะดีที่สุด



“ช่องที่เห็น เขาเจาะเอาไว้ล้วงสาวครับ”.....

นั่นไง ผมได้ยินเสียงแว่วๆมาใกล้ๆ
การล้วงสาวเป็นประเพณีหนึ่งของชาวเผ่านี้
คงเหมือนกับประเพณีของชาวลาวในประเทศไทย
ที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นเชลยศึกในสมัยก่อนโน้น
แต่ถูกเรียกว่า "แหย่สาว" ที่ไทยใช้ไม้แหย่ แต่ที่นี่ ใช้มือแหย่

การแหย่สาวไม่ว่าจะไม้หรือมือก็เหมือนกัน คือ
เมื่อหนุ่มสาวชอบพอกัน ก็จะนัดให้หนุ่มมาล้วงมือที่ช่องนี้
ถ้ามาจีบหลายคน สาวจับมือคนไหนก็นั่นแหละ
บางทีไม่จับมือก็ได้ แต่ชายหนุ่มจะมีเทคนิคดีๆ คือเอากำไรไปวางไว้
ถ้าสาวใส่กำไรอันไหน ก็นั่นแหละ เป็นอันว่าบรรลุผล

และหลังจากนั้นทั้งคู่ก็จะพากันไปพลอดรักกันที่บ้านเสาเดียว



ว่ากันว่าเขามาคุยจีบกันเฉยๆน่ะ ไม่มีการผิดผี
เมื่อทั้งคู่ปีนบันไดขึ้นไป ก็ชักบันไดเก็บ
ให้หนุ่มๆที่อกหัก มองตามดูด้วยความจำยอม

แน่นอนแหละว่า จินตนาการผมกระจายขึ้นมาอีกรอบ
แต่ไม่บอกหรอกว่ากระจายไปแนวไหน

แต่ของชาวลาวเวียงจันทน์ในไทย จะใช้ไม้แหย่ข้างฝาบ้านสะกิดสาวคุยกัน
และคุยกันผ่านข้างฝาบ้านนั่นเอง ไม่มีเรือนเสาเดียวให้ชักบันไดเล่น



บ้านของบางชนเผ่า จะเป็นงานแกะสลักไม้เป็นรูปจระเข้
ที่ชนเผ่านี้เชื่อกันต่อๆมาว่าจะช่วยปกปักรักษา
และคุ้มครองให้คนในบ้านปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ
บันไดบ้านของแต่ละเผ่าก็ต่างกัน
บางบ้านเป็นไม้ซุงท่อนเดียว นำมาบากเป็นขั้นๆ
บางบ้านใช้ไม้ท่อนมามัดกันทำเป็นท่อนไต่ขึ้นไป
ก็แล้วแต่เทคนิคของเผ่าใคร ว่าจะสร้างสรรค์แบบไหนอย่างไร



บางเผ่า มีลายทอผ้าประจำตระกูลวางเรียงกันไว้สำหรับขาย
ราคาที่เห็นบางผืนราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับความลำบากที่ต้องทอมือ
ด้วยเครื่องทอแบบภูมิปัญญาของชนเผ่า
ผ้าบางลาย(อย่างที่เห็นในรูป) ราคาสะดุ้งเล็กน้อย
ผืนนี้ 24,000 บาท ไม่ใช่เงินกีบนะ เงินบาท

สอบถามไปมาเจ้าของบอกว่า เป็นลายประจำเผ่า
ทำไม่ได้อีกแล้ว
เรียกว่า ชิ้นเดียวในโลก ประมาณนั้นเลย

ผมยืนดูลายผ้ากับพี่แอ้ ที่เป็นผ้าทอมือย้อมสีจากเปลือกไม้ผืนใหญ่
ราคาไม่แพงอย่างที่คิด แต่ก็ประมาณเงินเดือนข้าราชการในลาวทั้งเดือนทีเดียว
ที่ดูท่าทางคุณยายแล้ว ยังเสียดายผ้าผืนนี้ด้วยซ้ำไป
แต่ด้วยบอกราคามาแล้ว ไม่ลดด้วย

ผมถามพี่แอ้ว่า ถ้าให้พี่ถักแล้วขายราคานี้ พี่จะทำหรือเปล่า?
คำตอบที่ได้ เป็นคำตอบเดียวกับผม คือ "ไม่"
ไม่ใช่ไม่ขาย แต่ทำไม่ได้เลยต่างหาก....
ในที่สุด พี่แอ้ ก็เด็ดมา 1 ผืน ...สวยมาก




ผมไม่รู้หรอกว่าผู้คนที่อยู่ในนี้รวมๆกันแล้วมีทั้งหมดกี่ชีวิต
แต่แว่วๆมาว่ามีเกือบร้อยเหมือนกัน มีอาหารครบ 3 มื้อฟรีจากภัตตาคาร
สำหรับลูกหลานก็ทำงานที่ตาดผาส้วมรีสอร์ทนี่เลย

น่าเสียดายที่เม็ดฝนเหมือนจะเร่งไม่ให้ผมถามใครมาก
เสียดายการบรรเลงเพลงของลุง ที่ถือพิณประจำเผ่ามาเตรียมการแสดงโชว์
เสียดายอีกหลายๆอย่างที่ตามเก็บรายละเอียดได้ไม่หมด
เมื่อถึงเวลาที่ต้องเติมเต็มกระเพาะด้วยอาหารกลางวันกับร้านอาหาร
ที่อยู่ติดๆกับ ตาดผาส้วม ที่เรากำลังจะไปดูบรรยากาศของธรรมชาติ



บนสะพานไม้ไผ่ ที่เดินไปโยกไป ไม่ได้ทำให้ใครหลายๆคนหวาดกลัว
กลับเพลินกันซะอีกที่ได้มุมดีๆในการบันทึกภาพแห่งความทรงจำ
นั่งพักเก็บภาพถ่าย รับอากาศเย็นๆที่ลมพัดหอบเอาไอน้ำเข้ามาประทะใบหน้า

ก่อนที่จะถึงเวลาที่จะได้ที่นั่งเพื่อเพิ่มพลังก่อนกลับประเทศไทย



ความงามของ น้ำตกตาดผาส้วม ส้วมที่ไม่เหม็นหรือไว้ทิ้งของเสีย
แต่ในภาษาลาวแปลว่า ห้องนอน ห้องหอ หรือห้องรโหฐาน






ก่อนจบทริป ถ้าผมไม่ได้วาดรูปเลยคงต้องรู้สึกผิดอย่างมหันต์
ได้พี่แอ้ พยาบาลผู้มีใจงดงามไม่แพ้ตัวตนที่แท้จริง มาเป็นแบบให้
ผมใช้เวลาไม่นานนัก ก็ส่งภาพให้กับพี่แอ้ที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะชอบแบบไม่ได้เอาใจ
พี่เขาคงชอบจริงๆนั่นแหละ ถึงแม้ว่าผมจะวาดออกมาไม่ดีแค่ไหนพี่เขาก็คงชอบ
เพราะวาดออกมาจากข้างใน...ข้างในทั้งแบบและคนวาด
นี่ถ้าผมรู้มาก่อนว่าพี่แอ้เสียสละให้กับผู้คนมามากมาย มือผมคงเกร็งแหงๆ
การเสียสละที่มากกว่าคำว่าหน้าที่...



ในที่สุดหลังจากการแวะซื้อสินค้าที่ระลึกจากสถานที่ต่างๆระหว่างทางกลับ
ก็มาถึงด่านช่องเม๊ก กลับเข้าสู่ประเทศไทย
การเดินทาง ความเหน็ดเหนื่อย ถูกความประทับใจบังทับหมด
สายลม อายหมอกยังคงครอบคลุมความทรงจำดีๆไว้สิ้น



ผมรอดแล้ว อย่างน้อยก็เอาตัวเองรอดจนจบทริปนี้
ไม่รู้ว่าจะได้ไปที่ไหนต่อ แต่เผมเชื่อแน่ว่า
ทุกที่เราสามารถสร้างสุขได้ทั้งตัวเราเองและส่งมอบต่อให้กับผู้อื่น


ขอขอบคุณบริษัทพรสกุลทัวร์ ที่ให้โอกาสในการเดินทางไปในทริปนี้ด้วย

ขอบคุณคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่สหกรณ์ออมทรัพย์วชิรพยาบาลจำกัด
ที่มอบสิ่งดีๆให้ตลอดทริปการเดินทาง

ขอบคุณทุกท่านที่เดินทางไปด้วยกันในทริปนี้ที่แสนใจดี อบอุ่นและให้โอกาส

ขอบคุณทีมงานทั้งไกด์และสต๊าฟทุกท่านทั้งฝั่งไทยและลาว
ที่ร่วมงานกันจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ยอมรับเลยว่าน่ารักกันทุกคน

เป็นความประทับใจ ที่มิรู้ลืมครับกับทริปสำคัญทริปนี้

ALPHA FO ขอขอบคุณครับ




สำหรับลิงค์ตอนที่ผ่านมาตามนี้เลยครับ
• สบายดีปากเซ 4(ตอนจบ) : ชนเผ่าที่ตาดผาส้วม:29/07/11
• สบายดีปากเซ 3 : คอนพะเพ็ง ตาดฟาน:28/07/11
• สบายดีปากเซ 2 : หลี่ผี:27/07/11
• สบายดีปากเซ 1 : ปราสาทวัดพู:26/07/11



alphafo

Keywords : งานศิลป์ เที่ยลาวใต้ จำปาสัก ปากเซ หมู่บ้านชนเผ่า ตาดผาส้วม งานเสก็ตซ์ ดรอวอิ้ง วาดไปเที่ยวไป




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 2 สิงหาคม 2554 10:24:05 น.
Counter : 2025 Pageviews.  

สบายดีปากเซ 3 : คอนพะเพ็ง ตาดฟาน




ไม่ใช่หูฉลามน้ำแดง ไม่ใช่ขาหมูน้ำแดง
และไม่ใช่น้ำแดงแฝงพวงมะม่วง(มดแดงตะหาก)
แต่น้ำขุ่นแดงกับหน้าฝน เป็นของคู่กัน(เกี่ยวกันไหมเนี่ย)

หลังจากออกมาจากหลี่ผี ขากลับได้มีโอกาสแวะที่คอนพะเพ็ง
ที่เขาว่ากันว่าเป็นมหานทีแห่งแม่น้ำโขง น้ำตกแองการ่าแห่งเอเชีย
ที่ไกลจากเมืองปากเซร่วม 150 กม.



เรามาถึงนี่พร้อมสายฝนปรอยๆ สายลมบางๆ
และน้ำที่ไหลมารวมกันจนเป็นสีแดง
ผมยังเรียกสีแดงอยู่ดี ทั้งๆที่ใจนึกอยากเรียกว่าน้ำเป็นสีน้ำตาล
เรียกตามทิษฎีสีที่เคยร่ำเรียนมา

แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ปัญหาเพราะใครๆเขาก็เรียกขานกันว่า"น้ำแดง"
ผมได้เดินดูน้ำตกแดงๆในระยะเวลาที่ไม่นานนัก
สวยไปอีกแบบจากภาพตอนที่น้ำไม่แดงหรือไม่ใช่หน้าฝน
ก่อนที่จะหันไปดูโมเดล ของเกาะแก่งต่างๆและสายน้ำที่ไหลมารวมกัน


การรวมกันของแม่น้ำที่หลากสาย
ที่ต่างก็ไหลผ่านมาต่างพื้นที่ ต่างประสบการณ์ที่คอนพะเพ็ง



ความอ่อนล้าไม่ได้ทำให้พวกเราสลบไสลในช่วงหัวค่ำ
กับการเต้นแบบ บัดสลบ

"บัดสลบ" เป็นการเต้นรำแบบชาวลาว มีท่าบังคับตามเสต๊ป
ชาวลาวมักจะเต้นกันในงานมงคล งานรื่นเริง เป็นการเต้นที่พอดีจริงๆ
ไม่หวือหวา เร่งรีบ หรือเชื่องช้าจนเกินไป เอาเป็นว่าเรากระดิกได้แบบเพลินๆ
แน่นอน งานนี้งานรื่นเริง จะพลาดได้ไง

ผมเองก็แอบสับขาไปกับเขาด้วย
แต่...พลาด สนิท ผมไม่ผ่านท่าบังคับ
ได้แต่ซอยเท้ายิกๆ เหมือนจะไปซ้อมวิ่งที่ไหน
สุดท้ายก็ต้องหยุดทำการ ก่อนที่จะโดนอย่างอื่นแทรกคลื่นมาจนสลบ

แอบไปซอยเท้าตามที่มุมโต๊ะข้างห้อง

และแล้วในที่สุดบัดสลบก็ทำผมสลบถึงเช้า
ต้องรีบสลบก่อนที่ทริปในวันต่อไป จะสลบไสลจริงๆ



เช้านี้อากาศดีจริงๆ ดีพอๆกับเช้าเมื่อวาน
หลังอาหารเช้าแบบสบายๆ พร้อมขนสัมภาระและสัมพารกขึ้นรถ
พวกเราก็เดินทางแวะชิมชาที่ไร่ชา
ถึงแม้หลายๆท่านจะซื้อชากลับบ้าน แต่สำหรับผมแล้ว มาชิมจริงๆ (หลายแก้วด้วย)
ก่อนที่จะเดินไปในไร่ พร้อมกดชัตเตอร์ให้เห็นหมอกที่หนาทึบ
ซึ่งบังเขาทั้งลูกได้อย่างแนบเนียน

มองอีกมุมก็สวย แต่ถ้ามองอีกมุมก็หน้ากลัว
สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางกลางอากาศอย่างเครื่องบิน

หรือแม้แต่ซุปเปอร์แมนเองก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย



เราเดินทางต่อไม่นานนักก็ถึง "ตาดฟาน"
"ฟาน" ภาษาของที่นี่ที่แปลว่า "เก้ง"
น้ำตกที่สูงที่สุดในแขวงจำปาสัก บางทีก็เรียกอีกชื่อว่า น้ำตกดงหัวสาว

การเร่งรีบเดินไปเพื่อให้ถึงจุดชมวิวไม่ง่ายนัก
เมื่อมีร้านค้าให้เลือกซื้อสินค้า ทั้งผ้าและของป่าให้เลือกอย่างมากมาย
รวมถึง "เนื้อเก้ง" ตากแห้ง



แม่ค้าขายเนื้อเก้งหน้าตาดี ซึ่งต่างก็มีวิถีชีวิตของตน
และเด็กๆนักร้อง ที่นั่งเรียงรายระหว่างทางเขาดูจุดชมวิว
ที่ต่างร้องเพลงกันเจี๊ยวจ๊าว เพื่อแลกกับค่าน้ำใจ
แต่สำหรับผม และมุมมองของผมมันก็เหมือนกับการเปิดหมวกร้องเพลง
พอใจก็ให้เงิน หรือ อยากจะฟังเฉยๆก็ไม่มีใครว่าอะไร

สำหรับบางคนเลือกที่จะให้......อย่างพี่แอ้
พี่แอ้บอกว่า เพราะมีแต่คนคิดว่าให้แล้วถึุงไม่มีใครให้
ฉะนั้น การที่พี่แอ้ถูกเด็กๆรุมรอบ คงไม่ใช่เรื่องแปลก

และแล้วเด็กๆก็ได้รับ น้ำใจอันนั้นแบ่งเบากันไปจนเบ่งบานกันไปทุกคน



จุดเด่นของของตกตาดฟานนี้อยู่ตรงสายน้ำ 2 สายที่ไหลลงจากหน้าผาสูง
ผมไม่รู้ว่าแม่น้ำทั้งสองสายมาจากไหน และที่ใด
แต่เขาว่าสายน้ำทางซ้ายมือไหลมาจากห้วยผักกูด
และทางขวามือเป็นสายน้ำที่ไหลมาจากอุทยานแห่งชาติดงหัวสาว
ถ้ามีเวลาพอ อยากไปสัมผัสด้วยตัวเองจัง
คงดีกว่ายืนมองความสวยงามอยู่ฝั่งตรงข้ามแบบนี้

จุดชมวิวที่เรายืนดูและถ่ายรูปกันตั้งอยู่คนละฟากเขากับตัวน้ำตก
วัดระดับความสูงจากระดับสายตาแล้วคงเท่าๆกัน
หมอกหนายังคงไม่จางไป

ผมเดินไปเรื่อยๆด้วยสายตาที่พยายามสอดส่ายมองหาน้ำตก
เห็นแล้ว....มองเห็นไกลๆ
แต่อยาก มองใกล้ๆให้ชัดขึ้น
การจ้องแบบไม่ละสายตา ทำให้เราไม่พลาดสิ่งเล็กๆที่อาจมองข้ามไป



และแล้ว หมอกหนาๆก็เลื่อน เคลื่อนย้ายไปอย่างรวดเร็ว
ทำให้พวกเราเห็นน้ำตกสายยาวเหยียดอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ
เสียง ฮือ ของหลายๆคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นครางพร้อมๆกันออกมาแบบเบาๆ
แต่เสียงเบาหลายๆเสียงพร้อมกัน ก็ทำให้เราได้ยืนได้อย่างชัดเจน

นี่ถ้าผมกระพริบตาช่วงหมอกหนาพัดผ่านคงพลาดโอกาสเห็นสิ่งนี้



สำหรับผมแล้วคุ้ม กับการได้เห็นม่านที่ธรรมชาติเปิดให้ประหลาดใจเล่นๆ
การเดินทางครั้งนี้ คงเป็นเหมือนกับการขึ้นโครงภาพของงานเขียนสีน้ำมัน
การขึ้นภาพจากภาพรวมทั้งหมด
จากนั้นค่อยๆเก็บรายละเอียด ทีละส่วน.... ที่ละส่วน
ค่อยๆเรียบเรียง และ เลือกว่าจะเก็บรายละเอียดในส่วนไหนของภาพเขียน



ใกล้เที่ยงแล้ว เรายังต้องเดินทางกันเพื่อตามเก็บบางส่วนให้เติมเต็มภาพ
บางส่วนที่อาจอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก หรืออาจไกลโพ้นจนมองไม่เห็น

แต่สำหรับตาดผาส้วมและหมู่บ้านจำลอง 8 ชนเผ่าต่างๆของชาวลาวแล้ว
เราคงใช้เวลาไม่นาน ในการเดินทาง ไปศูนย์วัฒนธรรมชนเผ่า แห่งนี้
ผมอยากเห็นจริงๆว่าประเพณีล้วงสาวของเขาเป็นแบบไหน ล้วงในอะไร?

รอชมต่อตอนหน้านะครับ
ตอนสุดท้ายแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างให้น่าติดตามค้นหา
ยังมีอีกหลายแห่งที่ยังไม่ได้ไป
รอหน่อยนะครับ

สำหรับลิงค์ตอนที่ผ่านมาตามนี้เลยครับ
• สบายดีปากเซ 4(ตอนจบ) : ชนเผ่าที่ตาดผาส้วม:29/07/11
• สบายดีปากเซ 3 : คอนพะเพ็ง ตาดฟาน:28/07/11
• สบายดีปากเซ 2 : หลี่ผี:27/07/11
• สบายดีปากเซ 1 : ปราสาทวัดพู:26/07/11



alphafo

Keywords : งานศิลป์ เที่ยลาวใต้ จำปาสัก ปากเซ งานเสก็ตซ์ ดรอวอิ้ง วาดไปเที่ยวไป




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2554 2:30:53 น.
Counter : 1554 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.