การวาดภาพหุ่นนิ่ง (Basic Art _Drawing 2)
(Basic Art _Drawing 2) ทำไมต้องหุ่นนิ่ง หุ่นนิ่งแสดงว่ามันไม่ขยับ เพราะไม่ขยับ มันจึงเป็นหุ่นนิ่ง ฮืม..... ผมเปล่ากวน(...)นะครับ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
ที่ผมไม่ได้กวน เพราะผมไม่มีกระทะกับตะหลิว (ยังอีก) ^_^!
อ่ะ...การที่เราต้องฝึกวาดภาพหุ่นนิ่งนั้น เพราะว่า ..มันเป็นพื้นฐานอีกอย่างหนึ่งของการวาดภาพน่ะครับ การที่ต้องวาดหุ่นนิ่ง เพราะเราต้องฝึกการสังเกตุ และพิจารณา ทั้งขนาด รูปทรง รูปร่าง เส้น สี แสง เงา มุมมอง ขนาด รูปร่าง เส้น จะไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน
ยกเว้นแสงและเงา ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นเวลาร่างรูปเราจึงต้องรีบล็อค แสงเงาไว้ด้วยเพื่อกันพลาด
ต้องฝึกการควบคุมน้ำหนักของเส้น เพื่อเพิ่มน้ำหนัก ย้ำนะครับ ว่าฝึกเพิ่มน้ำหนัก(ไม่ใช่น้ำหนักตัว) ไม่ใช่ลดน้ำหนัก โดยการใช้ยางลบ การใช้มือและนิ้วจึงเป็นสิ่งสำคัญ อารมณ์ที่เย็นเจี๊ยบ แบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปจึงจำเป็นต้องบังเกิดขึ้น ใจร้อนไม่ได้ อย่างที่เราได้ทราบกันมาในเรื่องของพื้นฐานการวาดภาพตอนแรก
ความรวดเร็ว ไม่ใช่ใจร้อนนะครับ เร็วกับใจร้อนไม่เหมือนกัน ที่เร็วนั้นเพราะว่าเขาแม่น ผ่านการฝึกฝนมาจนเข้าใจลักษณะของทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว ทำให้การตัดสินใจ วางแผนตั้งแต่องค์ประกอบการร่างภาพ จนถึงการใช้น้ำหนักจนภาพ เสร็จสมบรูณ์ ได้ภาพอย่างใจหวัง ไม่ใช่ก็ใกล้เตียง อุ่ย..เคียง เขาเรียกว่ามีแบบและแผนในหัวครับ
เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่เริ่มต้น มาตั้งแต่พื้นฐานการวาดภาพครั้งที่แล้ว ก็มาต่อตรงนี้ได้เลยครับ มาต่อตรงนี้เพื่อ... เราจะตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น โดยมองจากโครงร่างพื้นฐานแบบง่ายๆ อย่างรูปเรขาคณิตต่างๆ ตั้งแต่ วงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมเฉยๆ หรือจะเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู คางแมวอะไรก็ได้ แต่อย่าให้ถึงกับครางครวญ ก็แล้วกัน
พื้นฐานอันนี้ จะส่งผลไปถึงการร่างรูป วาดรูปคนเหมือน ทิวทัศน์ ไปจนถึงการเสก็ตซ์ ทั้งหลายทั้งปวงเลยครับ แต่ถ้าเรามีมีพื้นฐานอยู่แล้ว ก็ลุยได้เลย งานไหนๆก็ลุยทั้งนั้นได้ครับ
เอาเป็นว่า... ผมจะแนะนำการร่างภาพแบบง่ายๆอย่างที่บอกไว้ในหกแถวขึ้นไปนี้^นะครับ สิ่งที่ต้องศึกษาเพิ่มเติม
คือเรื่องของ เพ็อเสป๊กทีพของรูปเรขาคณิตต่างๆควบคู่ไปด้วยครับ เพ็อเสป๊กทีพตัวนี้ก็สำคัญครับ มันจะทำให้เรารู้ถึงระยะโดยการใช้เส้นได้อย่างดี ถ้าเรารู้จักการใช้เส้นแบบเพ็อเสป๊กทีพตัวนี้ จะทำให้งานเราง่ายขึ้น ไม่ถูกหลอกตาจากแสงหรือเงา สรุปว่า...รู้แล้วดีครับ
แต่จะติดปัญหาคือใช้เส้นแบบนี้เบ่งไม่ได้เท่านั้นเองครับ ไม่เหมือนเส้นสีเขียว หุหุ
ตัวอย่างภาพดรออิงภาพนี้ ผมจะใช้กาและถ้วยชาซึ่งเป็นเซรามิคครับ แต่ท่านสามารถไปประยุกต์เอาเองได้ทั้ง แก้ว ขวด ผ้า ดินสอ ปากกา ไปยาลใหญ่.. เริ่มแรก ต้องมองด้วยสายตาคร่าวๆก่อนครับว่าบริเวณไหน เส้นแกนจะอยู่อย่างไร วัสดุเป็นแบบไหน สี่เหลี่ยมหรือวงกลม สัดส่วนประมาณด้วยสายตาประมาณเท่าไหร่
จากนั้น ก็ร่างเส้นแกนบนประดาษเบาๆ ร่างตามแบบที่เราได้มองด้วยตาจินตนาการด้วยสมอง จนชัดเจนยิ่งกว่าตาที่สแกนได้ของซุปเปอร์แมน
มองส่วนโ้ค้งเว้าให้ทะลุ ปรุโปร่ง (ชำนาญกันอยู่แล้ว) นั่นแหละคือต้องอาศัยจินตนาการเป็นสำคัญ
อย่าลืมเรื่องเส้น ของวัตถุที่ต้องขนานกันด้วย เส้นที่ 1 โค้ง 2,3 และ 4 ก็ต้องโค้งตาม อย่าให้เส้นแต่ละเส้นชี้โด่เด่กันไปคนละทิศทาง
เมื่อได้เป็นรูปร่างแบบคร่าวๆแล้ว ลงน้ำหนักรวมให้กับวัตถุที่เราวาดให้หมดทั้งภาพ มือที่ปลิดปลิลวดุจขนนก ใจที่ผ่อนคลาย ต้องเบายิ่งกว่าตีนแมวย่องเบา ย้ำนะครับว่านี่เป็นการค่อยๆเพิ่มน้ำหนัก อย่าใจร้อน หรือเร่งรีบ
เพราะถ้าพังจะแก้ไขลำบากครับ พยายามอย่าใช้ยางลบนะครับ เพราะจะทำให้กระดาษช้ำ ภาพที่ได้จะขุ่นมัวจนใจเราเรามัวหมอง ซะจนเกือบจะมอดไหม้เลยทีเดียว
เมื่อลงน้ำหนักรวมแล้ว ทีนี้ก็ต้องค่อยๆเก็บน้ำหนักทีละนิดละครับ ค่อยๆเพิ่ม ค่อยๆเก็บ หมั่นสังเกตุและวิเคราะห์ ตาดู สมองวิเคราะห์พร้อมตัดสินใจ ในขณะที่มือค่อยๆบรรจงฝนเส้นเข้าไป ทีละเส้น ทีละเส้น.... อย่าพยายามลากเส้นยาวเหมือนตอน ล็อคน้ำหนักนะครับ อันนั้นมันเส้นร่างกับล็อค เพราะถ้าลากยาวเกินไปแล้วจะทำให้เราจะต่อน้ำหนักยากครับ ทำให้ภาพแบนสนิท
พยายามใช้เส้นสั้น ต่อกันไปเรื่อยๆจนเกิดน้ำหนัก ค่อยๆเพิ่ม ทีละนิด ๆ ทีละนิด นิด นิ น.. ....... (อย่าเพิ่งหลับ)
ค่อยๆเพิ่มจนเต็มภาพ อย่าใจร้อนรีบเสร็จ
ทีนี้ก็เริ่มเน้น บริเวณของส่วนที่อยู่ในที่มืดสนิท มืดตื้ดตื้อ ...อย่าเพิ่งเอาให้มืดแบบตึ้ดตื้อ เอาไว้สะกิดตอนท้ายๆ เมื่อได้โครงสร้าง แสงเงาโดยรวม จากนั้นเราก็จะเริ่มออกลาย โดยการร่างเส้นที่เป็นลาย ซึ่งการร่างเส้นลายแบบนี้เราต้องสังเกตุด้วยว่ามันจะตีคู่ไปกับก้นกับปากกา เพราะถ้ามันไม่ไปคู่กันแสดงว่า เราตาเอียงแหงๆ
ค่อยๆเก็บไปทีละลาย โดยการร่างเบาๆ ถ้าคนที่ฝึกฝนจนชำนาญแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องร่างแบบนี้ครับ เขาสามารถลงได้เลย เพราะเส้นร่าง อยู่ในสมองและจิตนาการของเขาเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว
เมื่อร่างโครงสร้างเสร็จแล้วเราก็มาค่อยๆเก็บเงาครับ ค่อยๆต่อไป ตอนเก็บต้องสังเกตุเส้นด้วยว่า อย่าให้มันเข้มสุด มันต้องเข้มตามระนาบของแสงและเงาไปด้วย เพราะตอนนี้ ส่วนที่เข้มที่สุด คือ ส่วนที่ลึกและอยู่หน้าสุด เท่านั้นเอง อย่าลืม เข้มสุดแล้ว มันลบไม่ได้ แต่ถ้ายังเข้มไม่พอเราสามารถเพิ่มได้
คราวนี้เราก็มาเน้น เน้นนนนนนนน....ในส่วนบริเวณที่อยู่ในเงา เน้น.....ไม่ใช่การขีด แต่เป็นการเน้นนนนนนนนนนน..แบบเน้นๆ
นั้นไง...!!!! ไหนบอกไม่ใช้ยางลบ ใช้เห็นๆ หุหุหุ .... มาถึงการใช้ยางลบ ใช้เพื่อสะกิดบริเวณ ส่วนขาวที่เราเว้นไว้ ให้ชัดเจนชึ้น เขาเรียกว่าสะกิดไฮไลท์ ที่ไม่ใช่สะกิดไฮร๊อค เมื่อเน้นเสร็จ แล้วจะสะกิดอีกทีผิดตรงไหน ไม่ผิดๆ เน้นไปสะกิดไป เน้นไปสะกิดไป เรื่อยๆจนกว่าจะพอใจ ไม่มีใครว่า .....ตามสบาย
ที่ต้องสะกิด เพราะตอนที่เรากำลังเพลินอยู่นั้นมืออาจจะเพลอไปถูภาพเข้า ทำให้ภาพบริเวณไฮไลท์มีอาการขุ่นมัวบ้าง เราจึงจำเป็นต้องสะกิดเพื่อให้ภาพนั้นสดใส โดยไม่ต้องใช้โอโม(ผงซักฟอก) แต่ใช้ยางลบแทน..
สะกิดแล้วเน้น หรือเน้นแล้วสะกิด หรือสะกิดไปเน้นไป จนเสร็จ แต่ก่อนจะสมบรูณ์ ลองถอยออกมาดูนิดหนึ่ง เพื่อสำรวจดูว่า มันแบนไป มันไม่กลม เงาขาด หรือไฮไลท์หาย ก็จะได้เพิ่มเติม และแล้วสมบรูณ์ก็หยิบชิ้นปลามันไปจนได้.... เพราะมัน....เสร็จสมบรูณ์ไปแล้ว
ลองทบทวนนะครับ
(ร่างภาพเป็นเรขาคณิตแล้วค่อยๆเพิ่มน้ำหนัก)
(เริ่มเก็บแสงเงารายละเอียดของภาพ)
(เน้นน้ำหนักในเงา และตัดน้ำหนักที่สว่างสุด เก็บรายละเอียดจนเสร็จ)
Keywords : พื้นฐานการวาดภาพ เสก็ตซ์รูป เทคนิค ขั้นตอน วาดรูป
Create Date : 26 กรกฎาคม 2552 | | |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2558 14:14:24 น. |
Counter : 20889 Pageviews. |
| |
|
|
|