ผมเคยเขียนเรื่อง
การอ่านจากหน้าจอฤาจะสู้การอ่านจากหน้ากระดาษ เอาไว้เมื่อปีที่แล้ว โดยมีความเห็นจากผู้คนหลายคนว่ายังไงแล้วการอ่านหนังสือจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็คงจะสู้อ่านหนังสือจริง ๆ ไม่ได้ ซึ่งก็คงจะจริงในหลายด้านครับ เช่นการไม่ได้ความรู้สึกในการสัมผัสเนื้อกระดาษ ต้องมีคอมพิวเตอร์ติดตัวไป คอมพิวเตอร์ต้องใช้ไฟถึงแม้จะเป็นโน้ตบุ๊กก็คงอยู่ได้ประมาณสัก 4-5 ชั่วโมง และข้อจำกัดสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการที่ต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ อาจจะมีผลต่อสายตาของเรา แต่ข้อดีประการหนึ่งของหนังสือแบบอีบุ๊กก็คือเราสามารถที่จะพกพาหนังสือหลาย ๆ เล่มไปกับเราได้โดยง่าย
แต่ถ้ามีเครื่องที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่ออ่านอีบุ๊กซึ่งสามารถแก้ปัญหาข้างต้นได้ก็อาจทำให้อีบุ๊กเป็นที่นิยมกันก็ได้ และในปีนี้ก็อาจเป็นปีทองสำหรับเครื่องประเภทนี้ครับเพราะมีหลายบริษัทที่ได้เข้าร่วมในตลาดนี้แข่งกับเจ้าตลาดเดิมอย่าง Kindle ของบริษัทขายหนังสือออนไลน์รายใหญ่คือ Amazon ซึ่งก็น่าจะทำให้ราคาของเครื่องถูกลงและเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคอย่างเรามากขึ้น หน้าตาของ Kindle ก็ดูได้จากรูปครับ โดยรุ่นล่าสุดของเครื่องนี้(ในขณะที่เขียน) คือ
Kindle DX ซึ่งสามารถเก็บอีบุ๊กได้ประมาณ 3,500 เล่ม และเมื่อชาร์จแบตเตอรีเต็มแล้วจะอยู่ได้ถึง 1 สัปดาห์ครับ สำหรับเทคโนโลยีสำหรับการแสดงผลของเครื่องนี้จะใช้หมึกอิเลกทรอนิกส์ (electronic ink) ครับ
Amazon บอกว่าเทคโนโลยีการแสดงผลแบบหมึกอิเลกทรอนิกส์นี้จะทำให้เราอ่านหนังสือได้นานโดยสายตาไม่ล้า ก็ต้องอ้างตามที่ Amazon บอกครับเพราะยังไม่มีใช้จริง สนนราคาของเครื่อง Kindle DX คิดเป็นเงินไทยก็ตกอยู่ราวสองหมื่นกว่าบาทครับ จริง ๆ มีรุ่นที่ถูกกว่าราว ๆ หมื่นบาทต้น ๆ แต่ก็จะได้หน้าจอที่เล็กกว่า และก็จะมีคุณสมบัติที่ด้อยลงไป สำหรับเครื่องอ่านอีบุ๊กก็ยังมีอีกจากหลายเจ้าครับเช่น Sony ซึ่งก็มีเครื่องอ่านอีบุ๊กที่เรียกว่า Reader และ Nook ของ Barnes&Noble ร้านขายหนังสือรายใหญ่คู่แข่งของ Amazon เป็นต้น
อ่านถึงตรงนี้แล้วสมมติว่าถ้าเราอยากซื้อเครื่องอ่านอีบุ๊กมาใช้สักเครื่องหนึ่งจะต้องคำนึงถึงอะไรบ้างครับนอกจากเรื่องราคาแล้ว เรื่องแรกก็น่าจะเป็นเรื่องวิธีการที่เราจะซื้อหนังสือมาอ่านกันครับ ซึ่งแต่ละเจ้าก็มักจะมีร้านหนังสือของตัวเอง เช่น Amazon ก็มี Kindle Store ครับ อีกจุดหนึ่งก็คือเราต้องดูว่าถ้าเราอยู่ในประเทศอย่างประเทศไทยเราจะสามารถซื้อหนังสือมาอ่านได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบรายละเอียดนะครับเพราะยังไม่เคยใช้จริง ๆ แต่เท่าที่ศึกษามาสำหรับ Kindle ทาง Amazon เขาจะมีโปรแกรมให้คนที่ยังไม่มีเครื่อง Kindle สามารถอ่านอีบุ๊กของเขาได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows และเครื่อง Mac และยังรวมถึง Smart Phone อย่าง iPhone และ Black Berry ซึ่งโปรแกรมนี้ฟรีนะครับ ผมก็ใช้อยู่เพื่ออ่านอีบุ๊กที่ซื้อมาจาก Amazon เมื่อเราซื้ออีบุ๊กมาไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราแล้ว เราก็สามารถที่จะนำเข้าเครื่อง Kindle ได้
อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของรูปแบบไฟล์ที่เครื่องเหล่านี้รองรับ ซึ่งจากข้อมูลทีศึกษามาเครื่องเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอ่านไฟล์ HTML (เว็บ), TXT (ข้อความ), MP3 (เพลง), และ JPG (ภาพ) ได้ และบางเครื่องยังอ่านไฟล์ PDF ได้อีกด้วย แต่ที่น่าสนใจจริง ๆ คือรูปแบบไฟล์ของอีบุ๊กที่เครื่องเหล่านี้รองรับ สำหรับ Kindle นั้นจะอ่านไฟล์ที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตัวเองเท่านั้นคือ azw แต่ไม่สนับสนุนรูปแบบที่เป็นแบบเปิดเผยรหัส (open source) ที่เรียกว่า ePub ซึ่งตรงนี้มีความสำคัญเพราะสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ หลายแห่ง รวมถึง Google classic's book มีหนังสือในรูปแบบ ePub นี้ และเครื่องอ่านอีบุ๊กยี่ห้ออื่นต่างก็สนับสนุน ePub ซึ่งเหตุผลที่ Kindle ไม่สนับสนุน ePub อาจเป็นเพราะทาง Amazon ต้องการจะให้แน่ใจว่าจะสามารถควบคุมเรื่องการจัดการลิขสิทธิ์ได้
นอกจากเครื่องอ่านอีบุ๊กแล้วอุปกรณ์ที่น่าจะมาแรงในปีนี้อีกตัวหนึ่งก็คือ tablet สำหรับตัวอย่างของเครื่องประเภทนี้ก็เช่น
iPad ของ Apple ซึ่งเริมวางขายแล้วในเดือนนี้ (ในต่างประเทศนะครับ) อันนี้ขอนอกเรื่องนี้สักหน่อยนะครับ โดยส่วนตัวค่อนข้างผิดหวังกับ iPad เพราะคิดว่าน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่ปรากฏว่าคุณสมบัติโดยรวมน่าจะเป็น iPod Touch หรือ iPhone ซึ่งมีหน้าจอขนาดใหญ่ซะมากกว่า ดูเจ้า iPad ได้จากรูปครับ
แต่นักวิเคราะห์เขามองกันว่าทาง Apple นำเอา iPad มาแข่งกับตลาดของเครื่องอ่านอีบุ๊ก เพราะจริง ๆ แล้วถ้าเทียบกันแล้วราคาของ iPad (รุ่นถูกสุด) จะใกล้เคียงกับ Kindle DX โดย iPad นอกจากจะอ่านหนังสือได้แล้วยังทำอะไรได้เหมือน ๆ กับ iPod Touch เช่นท่องเน็ต ดูหนังฟังเพลง และยังอ่านเอกสารเป็นสีได้ด้วย ผมได้ลองเข้าไปอ่านตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ ของต่างประเทศ ซึ่งพูดถึงหรือเปรียบเทียบเจ้าสองตัวนี้ ก็ได้พบว่าพวกฝรั่งเขาก็มีอาการสาวกเหมือนกับเว็บบอร์ดบ้านเราเหมือนกัน คนที่เป็นสาวก Kindle ก็จะโจมตี iPad คนที่เป็นสาวก Apple ก็จะกล่าวโจมตี Kindle แต่เท่าที่อ่านความเห็นของคนที่เป็นกลาง ข้อดีของ Kindle ก็คือใช้การแสดงผลแบบหมึกอิเลกทรอนิกส์ซึ่งจะทำให้อ่านได้นานโดยไม่ปวดตา และเนื่องจากเป็นเครื่องอ่านหนังสืออย่างเดียวผู้อ่านก็จะไม่ถูกรบกวนสมาธิจากเรื่องอื่น ๆ ส่วน iPad ข้อดีก็คือการทำอะไรได้มากกว่าแค่อ่านหนังสือ หน้าจอเป็นแบบสัมผัสและเป็นหน้าจอสี ซึ่งคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ ก็อาจทำให้การอ่านหนังสือมีชีวิตชีวามากกว่า เช่นมีภาพเคลื่อนไหวหรือวีดีโอ ถ้าถามผมตอนนี้ค่อนข้างจะเอนเอียงไปทาง iPad แต่ถ้าจะให้ดีจริง ๆ ต้องลองใช้เองทั้งสองเครื่องครับ แต่ยังไม่มีงบก็ขอป่าวประกาศขอบริจาคถ้าใครจะส่งเจ้า Kindle และ iPad มาให้ผมได้ลองใช้ก็ยินดีนะครับ
กลับมาเรื่อง tablet ต่ออีกหน่อยนะครับ จริง ๆ แนวคิดของ tablet ไม่ใช่เรื่องใหม่ Microsoft ได้พูดถึงคอมพิวเตอร์แบบนี้มาก่อนหน้านี้นานมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับมากนัก อาจจะเนื่องมาจากราคาของเครื่อง ฮาร์ดแวร์ที่ยังไม่รองรับเช่นเรื่องของหน่วยเก็บข้อมูลที่เป็นฮาร์ดิสก์ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสมกับการใช้งานแบบเคลื่อนที่ และเรื่องของเครื่อข่ายแบบไร้สายซึ่งอาจจะยังไม่ครอบคลุมเท่าในปัจจุบัน สำหรับใครที่ต้องการจะใช้เครื่องประภทนี้และยังไม่ถูกใจกับ iPad ผมแนะนำให้รอเป็นช่วงปลาย ๆ ปี เพราะน่าจะมีเครื่ืองประเภทนี้ออกมาให้เราเลือกใช้กันมากขึ้น
ขณะที่กำลังเขียนเรื่องนี้ก็เจอบทความของ
blognone เกี่ยวกับเรื่อง
ห้องสมุดไร้หนังสือ...กำลังจะมา เข้าพอดี ลองเข้าไปอ่านกันดูนะครับ สำหรับผมเองตอนนี้ก็ต้องพยายามตัดกิเลสครับพยายามยึดหลักจำเป็นหรืออยากได้ แต่แหมพออ่าน
ข่าวนี้แล้วรู้สึกอยากได้ iPad ขึ่นมาทันทีเลยครับ
คำสำคัญ E-book, iPad, Kindle, Tablet
อ้างอิง
Wired Magazine
งบประมาณยังไม่มีเลยค่ะ สงสัยจะไม่มีวันได้เป็นเจ้าของไอพอด อิอิ