ทำฟัน จัดฟัน แถว ฝั่งธน ปิ่นเกล้า จรัญสนิทวงศ์ บางพลัด อรุณอมรินทร์ บรมราชชนนี บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ตลิ่งชัน ราชพฤกษ์ ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ ใครสนใจ จัดฟัน รีเทนเนอร์ ฟอกสีฟัน รากเทียม ครอบฟัน สะพานฟัน ใส่ฟันปลอม รักษารากฟัน รักษาโรคเหงือก ถอนฟัน ผ่าฟันคุด ทำฟันเด็ก อุดฟัน ขูดหินปูน ปัญหาข้อต่อขากรรไกร นอนกัดฟัน นอนกรน ถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ค่ะ... AG Dental Plus Clinic , where you can have more beautiful and confident smile !
Group Blog
 
All Blogs
 

ผ่าฟันคุด

วันนี้หมอเอาขั้นตอนการผ่าฟันคุดมาให้ดูกันแบบจะๆ ไปเลยค่ะ หมอจริง ! คนไข้จริง ! ฟันคุดจริง !
ไม่ใช้ตัวแสดงแทน 555




คุณหมอพิชิต ศัลยแพทย์ประจำคลินิกเอจีเดนทัลพลัส ฝากบอกว่า.... มีเลือดและความรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการชมนะคะ

ดูขั้นตอนการผ่าฟันคุด คลิกเลย !





ข้อปฏิบัติตัวหลังการถอนฟันหรือผ่าฟันคุด


1. กัดผ้าก็อตให้แน่นเพื่อห้ามเลือด 1-2 ชม. หากยังมีเลือดออกเพิ่ม ให้ใช้ผ้าก็อตสะอาดวางบริเวณแผล แล้วกัดแน่นต่อจนเลือดหยุดไหล

2. ห้ามรบกวนบริเวณแผล ปล่อยให้แผลอยู่นิ่งๆ ห้ามใช้ลิ้นหรือสิ่งอื่นใดแตะดุนแผลเล่น

3. ห้ามบ้วนน้ำ ห้ามบ้วนน้ำลายหรือเลือด ให้กลืนน้ำลายลงคอได้เลย เนื่องจากการบ้วนอาจทำให้แผลขยับ และเลือดไหลไม่หยุด

4. ใช้น้ำแข็งห่อผ้า หรือ cold gel ประคบข้างแก้ม เพื่อให้เลือดหยุดเร็วขึ้น

5. ในวันแรก ควรทานยาแก้ปวดทุก 4-6 ชั่วโมง เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด

6. ในวันแรก ควรทานอาหารอ่อนหรือเหลว เพื่อป้องกันเศษอาหารเข้าไปติดบริเวณแผล กลางคืนนอนหนุนหมอนสูงเพื่อช่วยลดการบวมบริวเวณผ่าตัด

7. ให้แปรงฟันได้ตามปกติ แต่ระวังอย่ากระแทกโดนบริเวณแผล และห้ามบ้วนน้ำแรงๆ งดใช้น้ำยาบ้วนปากในช่วง 1-2 วันแรก เพราะจะทำให้แผลหายช้า

8. ในวันที่ 3 หลังถอนฟันหรือผ่าฟันคุด ให้อมน้ำเกลืออุ่นๆ บ้วนปากบ่อยๆ 3-5 ครั้งต่อวัน จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น (เกลือ 1 ช้อนชาผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว)

9. กรณีผ่าฟันคุด หรือถอนฟันซี่ยาก จะได้รับยาปฏิชีวนะสำหรับป้องกันการติดเชื้อ ต้องทานตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ให้ทานยาต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน การทานยาไม่ต่อเนื่องอาจทำให้เกิดการติดเชื้อภายหลังการผ่าตัดได้

10. การบวมช้ำ หรือมีจ้ำเขียว เป็นการตอบสนองตามปกติของร่างกาย ให้ประคบอุ่นๆเพื่อช่วยลดการบวม

11. ไม่ควรสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ และงดการออกกำลังกายหนักๆ

12. หากมีการปวด หรือบวมมากผิดปกติ ควรรีบติดต่อทันตแพทย์




 

Create Date : 27 มกราคม 2554    
Last Update : 24 เมษายน 2555 1:32:43 น.
Counter : 10640 Pageviews.  

ช่วยด้วย! ฟันผุ

หลายๆคนคงเคยรู้สึกว่า... เราก็แปรงฟันอยู่ทุกเช้า และก่อนนอน แต่ทำไมไปตรวจฟันทีไร ก็เจอฟันผุทุกที


สาเหตุที่ทำให้เกิดฟันผุ มาจากการแปรงฟันได้ไม่สะอาดเพียงพอค่ะ คือแปรงไม่ทั่วถึงทุกซอกทุกมุม เวลาที่เราแปรงฟันไม่สะอาด มันก็จะเหลือคราบอาหาร และคราบจุลินทรีย์ทิ้งไว้ (เชื้อโรคนั่นเอง) ซึ่งจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดฟันผุ และโรคเหงือกอักเสบตามมาได้ค่ะ

ฟันผุเกิดจาก คราบน้ำตาล+เชื้อโรคในช่องปาก+ระยะเวลานานๆ

องค์ประกอบแรก คือ คราบน้ำตาล มาจากอาหารที่เราทานอยู่ทุกมื้อทุกวันนี่แหละค่ะ จำได้ไหมคะ ตอนเด็กๆที่เราเคยเรียนกันมาว่าอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต พอย่อยโดยเอ็นไซม์จากน้ำลายในช่องปากแล้ว ก็จะกลายเป็นน้ำตาล เพราะฉะนั้น เรากินข้าว กินขนม กินน้ำอัดลม น้ำผลไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขนมหวาน สุดท้ายแล้วพอโดนย่อย ก็จะกลายเป็นน้ำตาลทั้งนั้น

องค์ประกอบที่ 2 ก็คือ เชื้อโรคในช่องปาก ... ในร่างกายของคนเรามีเชื้อแบคทีเรีย เชื้อจุลินทรีย์ อยู่แล้วค่ะ มีทั้งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่พวกให้โทษก็มีเยอะค่ะ ถ้าเราทำความสะอาดเก่งๆ แปรงฟันสะอาด แบคทีเรียพวกนี้มันก็จะอยู่กับเราอย่างสันติค่ะ คือถูกเรากำจัดออกไป(ก็โดยการแปรงฟันนี่แหละ)อยู่เรื่อยๆ ไม่สามารถเพิ่มปริมาณได้มากจนทำร้ายเราได้ แต่ถ้าเราทำความสะอาดไม่ทั่วถึง แบคทีเรียพวกนี้มันก็จะเริงร่า พากันสร้างบ้านอย่างสุขสบายในปากเรา ยิ่งได้อาหาร(น้ำตาลนั่นเอง) ก็ยิ่งตัวอ้วน ออกลูกออกหลานกันใหญ่ ประกอบกับองค์ประกอบที่ 3 ก็จะทำให้เกิดฟันผุได้ค่ะ

องค์ประกอบที่ 3 คือ ระยะเวลานานๆ หมายถึงว่า ถ้ามีเชื้อโรค และมีอาหารให้เชื้อโรคเจริญเติบโต (น้ำตาล) และปล่อยทิ้งไว้นานๆ ก็จะทำให้ฟันผุได้ค่ะ เริ่มต้นจากเชื้อโรค หรือแบคทีเรียจะมาย่อยสลายอาหารประเภทน้ำตาล ซึ่งจะทำให้เกิดสภาพความเป็นกรดในช่องปาก ส่งผลให้ฟันเราถูกดึงแร่ธาตุออกไป (ถูกดึงแคลเซียม และฟอสฟอรัส) ถ้าเกิดสภาพความเป็นกรดบ่อยๆ ฟันถูกดึงแร่ธาตุออกไปบ่อยๆ ในที่สุดก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล สีดำ และเป็นรูฟันผุได้ค่ะ

เพราะฉะนั้น เราจึงต้องแปรงฟันให้สะอาดทั่วทุกซอกทุกมุม จะได้ไม่มีคราบอาหาร คราบน้ำตาลทิ้งไว้ แบคทีเรยมันจะได้ไม่มีอาหารให้เจริญเติบโตค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะกินขนมไม่ได้เลยนะคะ ทานทุกอย่างได้ตามปกติ แล้วก็แปรงฟันให้สะอาด แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ


ติดตามวิธีการแปรงฟันให้สะอาดทั่วถึงทุกซอกทุกมุมได้จาก....blog แปรงฟันอย่างไรให้ถูกวิธี นะคะ




 

Create Date : 22 มกราคม 2554    
Last Update : 24 เมษายน 2555 1:29:43 น.
Counter : 686 Pageviews.  

หนูน้อยฟันสวย

SmileySmileyหนูน้อยฟันสวยSmileySmiley




วันนี้เอาใจสมาคมคุณแม่ค่ะ หมอมีวิธีดูแลสุขภาพฟันและช่องปาก สำหรับเด็กในวัยต่างๆ มาฝากค่ะ เพียงปฏิบัติตามคำแนะนำง่ายๆเหล่านี้ เจ้าตัวเล็กที่บ้านก็จะเป็นหนูน้อยฟันสวยได้ค่ะ...

เด็กแรกเกิด – อายุ 6 เดือน
1.ให้เด็กกินนมแม่ดีที่สุด หากกินนมขวด อย่าผสมน้ำตาลหรือน้ำผึ้ง เพราะจะทำให้เด็กติดรสหวาน
2.ทำความสะอาดช่องปากวันละ 2 ครั้ง โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำต้มสุกเช็ดเบาๆ ที่เหงือก กระพุ้งแก้ม และลิ้น
3.ให้เด็กกินนมเป็นมื้อ และควรให้เลิกนมตอนกลางคืนเมื่อเด็กอายุครบ 6 เดือน

เด็กอายุ 6 เดือน - 1 ปี
1. เด็กวัยนี้ไม่ควรให้นมเวลาเด็กนอนหลับ
2. เริ่มฝึกให้เด็กดื่มนมจากแก้วหรือดูดจากหลอด
3. ไม่ควรให้เด็กดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน หรือน้ำผลไม้โดยใช้ขวดนม
4. เมื่อฟันเริ่มขึ้น ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำต้มสุกเช็ดเบาๆ ที่ฟัน เหงือก กระพุ้งแก้ม และลิ้น
5. เมื่อฟันขึ้นเต็มซี่ อาจเริ่มใช้แปรงสีฟันที่มีขนนิ่มแปรงฟันให้เด็ก

เด็กอายุ 1 ปี – 1 ปีครึ่ง
1. ให้เด็กเลิกดูดขวดนม แต่ให้ดื่มนมจากแก้ว หรือใช้หลอดดูดแทน ดื่มนมรสจืดเท่านั้น
2. ให้เด็กกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ อย่าให้ดื่มนมมากจนกินอาหารหลักได้น้อย นมเป็นเพียงอาหารเสริม
3. ไม่ควรใช้ปากเป่าอาหารป้อนให้เด็ก หรือใช้จาน ช้อน ส้อม แก้วน้ำ ร่วมกับเด็ก
4. ควบคุมเรื่องขนมหวานที่มีลักษณะเหนียวติดฟันในช่วงอาหารระหว่างมื้อ
5. แปรงฟันให้เด็กอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน

เด็กอายุ 1 ปีครึ่ง - 3 ปี
1. เด็กวัยนี้จะเริ่มมีฟันกรามน้ำนมขึ้น และจะทยอยขึ้นจนครบ 20 ซี่ ให้ใช้แปรงสีฟันขนนิ่มแปรงฟันให้เด็ก วันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน
2. อาจเริ่มฝึกให้เด็กแปรงฟันเอง แล้วผู้ปกครองช่วยแปรงซ้ำให้ทั่วทุกซี่ทุกด้านของฟัน
3. เมื่อฟันหลังเริ่มเบียดชิดกัน ผู้ปกครองควรใช้ไหมขัดฟันขัดซอกฟันให้เด็กวันละครั้งก่อนนอน
4. ฝึกให้เด็กกินอาหารเป็นเวลา ไม่กินจุบจิบ
5. เลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้ หลีกเลี่ยงขนมหวานที่มีลักษณะเหนียวติดฟัน
6. เด็กวัยนี้ควรเลิกนมขวดได้แล้ว

เด็กอายุ 3 ปี – 5 ปี
1. ให้เด็กแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ แตะที่ขนแปรงเป็นจุดพอชื้น แปรงวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน แล้ว ผู้ปกครองช่วยแปรงซ้ำให้
2. ผู้ปกครองใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดบริเวณซอกฟันให้เด็กวันละ 1 ครั้งก่อนนอน
3. เลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้ หลีกเลี่ยงขนมหวานที่มีลักษณะเหนียวติดฟัน หากทานขนมควรทานหลังอาหารมื้อหลัก ไม่ควรทานจุบจิบ
4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีรสหวาน หรือมีความเป็นกรด เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม



ขอขอบคุณข้อมูลจาก ทพญ.พรศริน โตวิศิษฐ์ชัย กลุ่มงานทันตกรรม รพ.บางบ่อ ขอบคุณมากๆค่ะ




 

Create Date : 02 เมษายน 2553    
Last Update : 3 มิถุนายน 2554 0:45:41 น.
Counter : 1072 Pageviews.  

เสียวฟัน ทำไงดี?

เสียวฟัน ทำไงดี?


อาการเสียวฟัน เกิดขึ้นได้กับทุกคนค่ะ ใครที่มีอาการเสียวฟันอยู่ คงจะรู้ดีว่า เสียวฟัน ทรมานไม่ใช่เล่นเลย...
เสียวฟัน เกิดขึ้นได้อย่างไร ?สาเหตุของอาการเสียวฟัน เกิดได้จาก การสึกของเนื้อฟัน , เหงือกร่น , การแปรงฟันที่รุนแรงเกินไป หรือแปรงผิดวิธี , ฟันผุ,ฟันแตกร้าว , การทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวบ่อยๆ
ทำไมจึงรู้สึกเสียวฟัน ?
การเสียวฟัน เกิดจากการที่เนื้อฟันไม่มีอะไรมาปิดหุ้ม เนื่องจากสูญเสียส่วนของเคลือบฟันชั้นนอกไป ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า ภายในเนื้อฟันนี้จะประกอบไปด้วย ท่อฟันขนาดเล็กๆ หลายพันท่อ ซึ่งบรรจุไปด้วยของเหลว โดยท่อฟันเล็กๆเหล่านี้จะนำไปสู่โพรงประสาทที่อยู่ด้านในตัวฟันค่ะ
เมื่อเคลือบฟันชั้นนอกถูกทำลาย หรือเกิดเหงือกร่น จนในที่สุดไม่มีอะไรมาปิดหุ้มเนื้อฟันไว้ ก็จะทำให้ประสาทรับรู้เกิดความรู้สึกเจ็บปวด เมื่อสัมผัสกับอาหาร หรือเครื่องดื่มที่ร้อน,เย็น,หวาน,หรือเปรี้ยว สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นประสาทฟันทำให้เกิดความเจ็บปวด ซึ่งก็คืออาการเสียวฟันนั่นเอง...

เสียวฟัน ป้องกันได้
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดอาการเสียวฟัน คือต้องดูแลรักษาฟันและเหงือกให้แข็งแรงอยู่เสมอค่ะ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเคลือบฟันถูกทำลายไป ทำง่ายๆได้โดยการ
• แปรงฟันให้สะอาดอย่างถูกวิธี วันละ 2 ครั้ง โดยต้องเลือกแปรงสีฟันที่มีขนนุ่ม แปรงอย่างเบามือ และที่สำคัญต้องแปรงให้ถูกวิธีค่ะ / การแปรงฟันรุนแรงเกินไป เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฟันสึก / การแปรงฟันผิดวิธี อาจทำให้กำจัดคราบจุลินทรีย์ออกได้ไม่หมด นำไปสู่การเกิดโรคเหงือกอักเสบ ทำให้กระดูกรอบๆเบ้าฟันละลายตัว และเกิดเหงือกร่นตามมาได้ค่ะ
• ทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟันเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง ป้องกันปัญหาเกี่ยวกับโรคเหงือกอักเสบ
• ดูวิธีการแปรงฟันที่ถูกต้อง และการใช้ไหมขัดฟัน ได้จากลิงค์นี้ค่ะ

• //www.bloggang.com/mainblog.php?id=agdentalplus&month=25-03-2010&group=5&gblog=1

• หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวบ่อยๆ รวมไปถึงน้ำอัดลมด้วย หลังจากทานแล้ว ให้ดื่มน้ำเปล่าตามหรือบ้วนปากมากๆ ไม่แนะนำให้แปรงฟันทันทีหลังจากทานอาหารเปรี้ยวๆ เพราะในตอนนั้น ช่องปากจะมีสภาพเป็นกรดค่ะ การแปรงฟันในช่วงนั้น ยิ่งทำให้ฟันสึกได้มากค่ะ
• หมั่นพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกๆ 6 เดือน เพื่อตรวจเช็คสุขภาพฟัน และขูดหินปูน เพื่อให้ฟันสะอาด&เหงือกแข็งแรง

เสียวฟัน แก้ไขได้
หากสาเหตุของการเสียวฟัน มาจาก การสึกของเนื้อฟัน , เหงือกร่น , การแปรงฟันที่รุนแรงเกินไป หรือแปรงผิดวิธี , การทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวบ่อยๆ ในกรณีนี้ ยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน สามารถช่วยคุณได้ โดยมีวิธีดังนี้ค่ะ
หลังจากแปรงฟัน(ขนแปรงนุ่ม +แปรงเบาๆ+แปรงถูกวิธี)และบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว ให้บีบยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน ปริมาณเท่าเม็ดข้าวโพด ใช้นิ้วป้ายไปทาบริเวณที่เสียวฟัน นวดวนทิ้งไว้สักครู่ ประมาณ 5-10 นาที แล้วบ้วนออก โดยไม่ต้องบ้วนน้ำแล้ว หากไม่เกิดอาการระคายเคืองที่ริมฝีปากและกระพุ้งแก้ม ก็สามารถทิ้งไว้ได้นานขึ้นค่ะ หลังจากนั้นห้ามรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม 30 นาที ถ้าเป็นตอนกลางคืน ก็นอนทั้งอย่างนั้นได้เลยค่ะ เพียงเท่านี้ อาการเสียวฟันของคุณจะดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ค่ะแต่หากสาเหตุของอาการเสียวฟัน เกิดจาก ฟันผุ หรือฟันแตกร้าว แนะนำให้รีบไปพบทันตแพทย์เพื่ออุดฟัน หรือรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไปค่ะ ^^




 

Create Date : 26 มีนาคม 2553    
Last Update : 24 เมษายน 2555 1:35:06 น.
Counter : 2073 Pageviews.  

หินปูน เรื่องใหญ่

หินปูน ภัยร้ายใกล้ตัว 


&


โรคเหงือก สัญญาณอันตราย


คุณเคยมีอาการเหล่านี้ไหมคะ ? เลือดออกตอนแปรงฟัน เหงือกบวมแดง มีกลิ่นปาก เหงือกร่น ปวดเหงือก ฟันโยก อาการแสดงเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าเกิดโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ขึ้นแล้วค่ะ

โรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์เกิดขึ้นได้อย่างไร
สาเหตุสำคัญเกิดจากคราบจุลินทรีย์หรือพลัคที่ติดอยู่บนตัวฟันเนื่องจากแปรงออกไปไม่หมดค่ะ มีลักษณะเป็นคราบสีขาวขุ่นนิ่ม ซึ่งเป็นตัวการทำให้เหงือกอักเสบ และเมื่อเราไม่สามารถทำความสะอาดฟันและเหงือกได้อย่างทั่วถึงสะอาดหมดจดทุกวัน ก็จะเกิดการสะสมมากขึ้นๆจนก่อตัวเป็นหินปูน พูดง่ายๆก็คือ หินปูนเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรคที่ทำร้ายเหงือกและฟันของเรา จะพบหินปูนได้มากบริเวณด้านหลังของฟันหน้าล่าง และบริเวณที่ทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง

อาการในระยะเริ่มแรกจะเกิดเหงือกอักเสบ บวมแดง เลือดออกตามไรฟัน เมื่อคราบจุลินทรีย์สะสมมากขึ้นเข้าไปในร่องเหงือก เกิดเป็นร่องลึกปริทันต์ จากนั้นกระดูกเบ้าฟันจะเริ่มละลายตัว มีอาการเหงือกร่น จนลุกลามมากขึ้นทำให้ฟันโยก เนื่องจากกระดูกเบ้าฟันละลายตัวไปมาก และฟันหลุดไปในที่สุด

โรคเหงือกป้องกันและรักษาได้
• วิธีป้องกันโรคเหงือกอักเสบที่ดีที่สุดและสามารถทำได้ด้วยตัวเองก็คือ การแปรงฟันอย่างถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำทุกวัน
• ควรตรวจเช็คและขูดหินปูนกับทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อสุขภาพเหงือกและฟันที่ดี
• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะจะส่งผลให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ หรือโรคปริทันต์ง่ายและรุนแรงกว่าคนทั่วไป
• หากเกิดโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์รุนแรง ต้องได้รับการขูดหินปูน ร่วมกับเกลารากฟันเพื่อทำความสะอาดบริเวณรอบๆรากฟันส่วนที่ลึกลงไป จากนั้นทันตแพทย์จะนัดกลับมาตรวจเช็คเป็นประจำทุก 3-6 เดือน


ข้อปฏิบัติตัวหลังการขูดหินปูนและรักษาโรคเหงือก



1. หลังจากขูดหินปูนหรือเกลารากฟันรักษาโรคเหงือก อาจรู้สึกว่ามีเลือดออกซึมๆที่ขอบเหงือก เป็นอาการปกติ ไม่ต้องกังวลใจค่ะ
2. ภายหลังการขูดหินปูน คนไข้บางรายอาจเกิดอาการเสียวฟันได้บ้าง ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ การใช้ยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟันจะทำให้หายเร็วขึ้น
3. แปรงฟันอย่างถูกวิธีและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง นานครั้งละ 3-5 นาที โดยใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ช่วยป้องกันฟันผุ
4. พบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันและขูดหินปูนเป็นประจำทุก 6 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์




 

Create Date : 26 มีนาคม 2553    
Last Update : 3 มิถุนายน 2554 0:46:31 น.
Counter : 3177 Pageviews.  

1  2  

pink dent
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




หมอกิ๊ฟ - ทพญ.ปัทมา จิรรักษ์โสภากุล ทันตแพทย์ประจำคลินิกทันตกรรมเอจีเดนทัลพลัส
Friends' blogs
[Add pink dent's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.