All Blog
[รีวิว] เซรั่มรักษาสิว My Act จากหมอยาพาสวย




รีวิว เซรั่มรักษาสิว My Act จากหมอยาพาสวย


สวัสดีค่า วันนี้อีฟมีไอเท็มสู้สิว เซรั่มรักษาสิว My Act จากเพจหมอยาพาสวย มารีวิวให้ชมกันค่ะ

บล็อกนี้เราจะไม่พูดพล่ามทำเพลงใดๆ เนื้อล้วนไม่มีน้ำ 555

ปะๆ ไปดูกันเลย


เซรั่มรักษาสิวเซ็ทนี้ มี 2 สูตรค่ะ คือ

My Act 1 สำหรับสิวอักเสบและรอยแผลสิว (15 ml)

My Act 2 สำหรับสิวอุดตันและรอยดำ (15 ml)


สิ่งที่น่าสนใจคือเซรั่มรักษาสิวอันนี้ไม่ใช่ยา แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเป็นสารสกัดจากธรรมชาติซึ่งช่วยรักษาสิวและบำรุงผิวไปในตัว จึงไม่มีอาการข้างเคียงและไม่ระคายเคืองผิว สามารถทาได้ทั่วหน้าและใช้ได้ทุกวัน หญิงตั้งครรภ์ให้นมบุตรก็ใช้ได้ และสิ่งที่เค้าเคลมแรงคือ

เจ้าเซรั่มตัวนี้เนี่ยสามารถช่วยย่นระยะเวลาการรักษาสิวอันยืดเยื้อยาวนานให้เหลือแค่ 14 วัน!


โม้ปะเนี่ย?! อีฟก็อยากรู้เลยลองใช้ดู จะเป็นยังไงไว้เดี๋ยวเฉลย อิอิ




My Act 1 สำหรับสิวอักเสบและรอยแผลสิว

มีส่วนผสมสำคัญจากดอก Lilac ซึ่งจะไปฆ่าเชื้อและยับยั้งเชื้อสิว (P.acne) สิวยุบภายใน 12 ชม. มีสารสกัดจากดอกเห็ดช่วยทำให้หน้าไม่มันรูขุมขนเล็กลง รักษารอยแผลเป็นและรอยดำจากสิว แถมทำให้ผิวชุ่มชื้นด้วย




My Act 2 สำหรับสิวอุดตันและรอยดำ

สารสกัดจากธรรมชาติจะช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวระคายเคือง แสบ แดง แห้ง คัน สิวลดลงใน 2-4 สัปดาห์ แถมช่วยให้รอยสิวรอยดำจางลงด้วย



เนื้อของทั้งสองตัวจะคล้ายๆกัน คือเป็นเจลใสๆ

ในรูป My Act 1 (ด้านขวา) จะขุ่นและข้นกว่า My Act 2 (ด้านซ้าย) เล็กน้อย เวลาทาก็จะเย็นๆ ลื่นๆ ไม่มีกลิ่น ซึมเข้าผิวเร็วมาก แล้วก็ไม่ทำให้หน้ามันและเหนียว หลังทาแต่งหน้าต่อได้เลย ไม่เป็นคราบ (จริงๆ ถ้ารักษาสิวอยู่ก็ควรงดแต่งหน้าจ้า)



อีฟเป็นสิวอุดตัน แต่บางทีไปบีบแล้วหัวสิวออกไม่หมด มันก็กลายเป็นสิวอักเสบ ก็เลยใช้ทั้ง 2 สูตรเลยค่ะ โดยจะทาตัวรักษาสิวอุดตัน My Act 2 ให้ทั่วก่อน แล้วตามด้วย My Act 1 เฉพาะตรงที่มีสิวอักเสบ ทาหลังอาบน้ำ ทั้งเช้า-กลางคืน

หลังจากทาได้ 1 สัปดาห์สิวอุดตันลดลง แต่ถ้าจะให้หายทั้งหมดคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนค่ะ เพราะปกติสิวอุดตันต้องใช้เวลาและความอดทน 55


รูปนี้คือ ก่อนทา / หลังทา 5 วัน / หลังทา 7 วัน


เท่าที่ใช้มาก็ไม่มีอาการแสบ คัน หรือผิวแห้งนะคะ ตัวเจลช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไม่เหมือนตอนใช้ยารักษาสิวทั่วไป ชอบตรงนี้ ส่วนเรื่องผลลัพธ์สิวลดก็ตามรูปเลยค่ะ ใช้แรกๆสิวจะผุด แล้วก็ค่อยๆหลุดไป ไม่ปุบปับเหมือนตอนใช้ยาแรงๆ ส่วนสิวอักเสบแต้มคืนเดียวก็ยุบแล้ว เด็ดจริง ราคาหลอดละ 650 บาท สำหรับอีฟถือว่าคุ้มนะกับการไม่ต้องทรมานกับอาการข้างเคียง ให้คะแนน 5/5


อีฟมีคลิปสาธิตตอนทาให้ดูด้วยนะ เดี๋ยวไว้สิวหายหมดแล้วจะเอารูปมาอวดอีกที อิอิ



ส่วนใครที่มีปัญหาสิวแล้วสนใจหามาลองก็เข้าไปที่ เพจหมอยาพาสวย หรือช่องทางอื่นๆ ตามนี้ได้เลยค่ะ


ช่องทางติดตามข่าวสาร 
Facebook : หมอยา พาสวย
Line : @Moryatalk
Youtube : หมอยาพาสวย
Web site : //www. moryatalk.com


วันนี้ไปแล้วว เจอกันใหม่บล็อกหน้าจ้า จุ๊บๆ












Create Date : 24 กันยายน 2560
Last Update : 29 กันยายน 2560 12:15:53 น.
Counter : 2886 Pageviews.

0 comment
[รีวิว] Biore Perfect Cleansing Water Acne Care คลีนซิ่งวอเตอร์ที่เกิดมาเพื่อคนเป็นสิว


รีวิว Biore Perfect Cleansing Water Acne Care คลีนซิ่งวอเตอร์ที่เกิดมาเพื่อคนเป็นสิว


สวัสดีค่ะทุกคน

สิวนี่นับเป็นปัญหาโลกแตกอย่างนึงเลยนะคะ เป็นแล้วเป็นอีกได้ ไม่หายขาด สาเหตุส่วนหนึ่ง (ส่วนใหญ่เลยแหละ) มาจากการล้างหน้าล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด พอสิวเห่อ เราก็ต้องใช้เครื่องสำอางกลบสิวอีก แล้วก็เช็ดไม่สะอาดอีก ทำให้เป็นสิวเพิ่ม วนเวียนอยู่แบบนี้ ไม่สนุกเลย


อีฟเองก็กำลังพยายามรักษาสิวอุดตันโดยโฟกัสไปที่การเช็ดหน้าให้สะอาดขึ้น และได้ลองใช้คลีนซิ่งวอเตอร์ใหม่ที่เป็นสูตรสำหรับคนเป็นสิว เลยจะมารีวิวให้ได้ชมกัน

 


คลีนซิ่งวอเตอร์ขวดนี้ก็คือ บิโอเร เพอร์เฟค คลีนซิ่ง วอเตอร์ แอคเน่ แคร์ สูตรน้ำเกลือชิโซะมินท์ เค้าเคลมว่าส่วนผสมไมเซล่าจะช่วยดูดจับคราบเมคอัพ ทำให้เช็ดเมคอัพหมดจด แม้เครื่องสำอางกันน้ำ แถมยังช่วยลดแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวด้วย เพราะมีส่วนผสมของน้ำเกลือธรรมชาติ และสารสกัดจากชิโซะมินท์ ไม่มีสี ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ คนเป็นสิวอย่างเราสบายใจ ^^

ขนาดที่อีฟได้มาลองเป็นขวดเล็ก 90 ml ราคา 129 บาท



แอบสปอยล์ด้วย แผ่นสำลีเลอะคราบเครื่องสำอางด้านบนแล้ว ทีนี้มาดูกันว่า เช็ดเมคอัพด้วยคลีนซิ่งน้ำเกลือลดสิวต้องใช้สำลีกี่แผ่น


นี่คือก่อนเช็ดหน้าค่ะ อีฟแต่งหน้าด้วยเมคอัพกันน้ำทั้งหมด


ใช้คลีนซิ่งแค่ประมาณ 2-3 ปั๊มต่อสำลี 1 แผ่น อีฟจะแปะไว้ก่อนประมาณ 10 วินาที แล้วค่อยเริ่มเช็ด จะทำให้เมคอัพโดนดูดออกมาที่แผ่นสำลีได้ดีขึ้น


เช็ดเมคอัพออกง่ายมาก ไม่ต้องถูแรงเลยค่ะ ความรู้สึกตอนเช็ดจะเย็นๆ เหมือนตอนใช้น้ำเกลือเช็ดหน้า เช็ดลิปสติกออก ส่วนมาสคาร่ากันน้ำเช็ดออกแต่ต้องใช้เวลา แนะนำใช้อายรีมูฟเวอร์จะง่ายกว่า


เปรียบเทียบให้ดูอย่างละครึ่งหน้านะคะ

ซ้าย: ยังไม่เช็ด  /  ขวา: เช็ดด้วยคลีนซิ่งวอเตอร์น้ำเกลือลดสิว


ใช้สำลี 6 แผ่น คราบเมคอัพก็หมดแล้วค่ะ


ผิวสะอาดพร้อมโชว์หน้าสดแล้วค่า 555

อีฟชอบตรงที่เช็ดเมคอัพออกง่ายแล้วก็ความทูอินวัน คือลดแบคทีเรียไปในตัว ไม่ต้องเช็ดหลายรอบให้ผิวโดนเสียดสีเยอะ เพราะปกติเช็ดเครื่องสำอางเสร็จ อีฟก็ต้องมาเช็ดหน้าด้วยน้ำเกลือเพื่อรักษาสิว ใช้คลีนซิ่งวอเตอร์ตัวนี้ก็ช่วยประหยัดเวลาได้ แถมช่วยลดสิวด้วย เลิฟ ให้คะแนน ⅘ หักตรงราคาที่ค่อนข้างแรงเมื่อเทียบกับปริมาณ แล้วจะซื้อไหม? ก็ซื้อนะ 5555


รีวิวคลีนซิ่งน้ำเกลือลดสิวตัวเด็ดจบแล้วจ้า ใครสนใจก็จงพุ่งตัวไปที่ Tops, Boots, Watsons, Matsumoto KiyoShi, Tsuruha, Lotus, Big C และร้านค้าชั้นนำทั่วไป


มี 2 ขนาด

ขนาด 300 มล. ราคา 390 บาท

ขนาด 90 มล. ราคา 129 บาท


ติดตามข้อมูลข่าวสารโปรโมชั่นต่างๆของบิโอเรได้ที่

https://www.facebook.com/Biorethailand/











Create Date : 22 กันยายน 2560
Last Update : 24 กันยายน 2560 0:29:46 น.
Counter : 4931 Pageviews.

0 comment
[รีวิว] ศึกชิงตำแหน่งอายไลเนอร์ ‘ถูกและดี’ ในดวงใจ มาดูกันว่านางใดจะได้มงไปครอง




ศึกชิงตำแหน่งอายไลเนอร์ ‘ถูกและดี’ ในดวงใจ

มาดูกันว่านางใดจะได้มงไปครอง




สวัสดีค่ะทุกคน ^^


สำหรับสาวๆแล้ว อายไลเนอร์เป็นเครื่องสำอางที่สำคัญสุดๆ ชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะการเขียนอายไลเนอร์ หรือที่เรียกกันว่า กรีดตา มันช่วยทำให้ดวงตาของเราดูคมชัด แล้วก็กลมโตขึ้น แล้วยังสามารถช่วยปรับเปลี่ยนลุคได้ตามสไตล์ของเรา ไม่ว่าจะแบ๊วหรือเฉี่ยวก็ทำได้ แค่มีอายไลเนอร์แท่งเดียว


แต่ถ้าอายไลเนอร์ที่เราเขียนซะสวยในตอนแรกมันไหลเยิ้มเป็นแพนด้า หรือหลุดลอกระหว่างวันก็คงไม่ดี ฉะนั้นอายไลเนอร์ที่จะเลือกใช้จึงต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานคือ ให้เส้นสีดำชัดเจน แห้งเร็ว ติดทน กันน้ำ และต้องเขียนง่าย มือใหม่ใช้ได้ มือเก๋าก็ใช้ดี


และวันนี้อีฟจะมาหาสุดยอดอายไลเนอร์แบบปากกาที่คุณภาพดีงามตอบโจทย์ในราคาไม่เกิน 300 บาทกันค่ะ โดยผู้เข้าประกวดของเราในวันนี้มีทั้งหมด 4 นาง ได้แก่


Mistine Maxi Black

Mistine Super Black

Lifeford

Mei Linda


ทั้ง 4 แท่งนี้ อีฟซื้อมาใช้เองทั้งหมด จะมีทั้งแท่งที่หยิบใช้บ่อยแล้วก็แท่งที่ไม่ค่อยได้ใช้ ตามความชอบส่วนตัว แต่ไม่เคยเอามาลองเปรียบเทียบกันแบบจริงๆจังๆ วันนี้เลยจะมาทดสอบให้ดูพร้อมๆกันเลย ว่าตัวไหนเด็ดสุด แล้วจะตรงกับแท่งที่อีฟชอบหรือเปล่า


ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญมุงจ้าาาา



อันดับแรกมาดูเรื่องหัวปากกากันค่ะ เนื่องจากสิ่งที่เราต้องการจากอายไลเนอร์หัวปากกา คือ ความเขียนง่าย ลื่น และเส้นเล็ก คมชัด ผู้เข้าชิงที่ตอบโจทย์ข้อนี้ที่สุดคือ Lifeford High Precise Eye Pen เพราะนางเป็นแบบปลายพู่กัน แหลมปรี๊ด เขียนง่าย ได้เส้นที่มีขนาดเล็ก คม เฉียบ ทำให้เราควบคุมเส้นที่จะเขียนได้ง่าย ค่อยๆเติมได้ ไม่ต้องกลัวเลอะ ใช้ไปจนจะหมดหัวก็ไม่แตก คือดีงามจริงในเรื่องนี้


Mistine Maxi Black และ Mistine Super Black ให้คะแนนเท่าๆกัน เพราะมันคล้ายกันมาก ตอนซื้อมาใช้ใหม่ๆ คือดีงาม เขียนง่าย แต่พอใช้ไปนานๆ หัวแตกซะงั้น ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะปิดฝาไม่ดี แต่พอซื้อแท่งใหม่มา ระวังตอนปิดฝาสุดฤทธิ์ หัวปากกาก็ยังแตก ซึ่งมันเป็นปัญหา ทำให้เขียนยากขึ้น เพราะอาจจะเลอะได้ ถ้าซูมดูรูปจะเห็นว่ามันมีเศษเส้นฝอยๆ ที่แตกออกมาจากหัวปากกา


ส่วน Mei Linda หัวปากกาเป็นแบบฟองน้ำ ดีที่ใช้ง่าย โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ ที่ยังมือไม่นิ่ง และหัวไม่แตก แต่จะได้เส้นที่ค่อนข้างใหญ่กว่าอีก 3 รุ่น ถ้าอยากได้เส้นเล็กต้องเขียนอย่างเบามือ




ความดำสนิท คมชัดระดับ High definition ต้องยกให้ Mistine Super Black จากรูปจะเห็นว่า สีดำเข้มที่สุด แต่จะมีความวาวสะท้อนแสงอยู่ ส่วน Mistine Maxi Black ความดำสูสี แต่จะแมตต์กว่า ไม่สะท้อนแสง เวลาเขียนก็เลยดูธรรมชาติกว่า ขณะที่ Lifeford กับ Mei Linda ดำพอๆกัน แต่สู้ 2 นางด้านบนไม่ได้



ซูมให้ดูกันชัดๆ





คราวนี้จะมาทดสอบประสิทธิภาพการกันน้ำเพื่อดูว่า ถ้าเกิดโดนเหงื่อโดนฝนแล้วอายไลเนอร์ตัวไหนจะไหลเป็นทางหรือเปล่า


ในรูปคืออีฟเปิดน้ำก๊อกใส่แบบแรงและนานพอสมควร แต่ทั้ง 4 นางก็ยังติดทน ไม่ไหล ไม่หลุดเลย สรุปคือสามารถกันน้ำได้ทั้งหมด สบายใจได้ว่าเหงื่อออกแล้วจะไม่แพนด้า ปรบมือ




แล้วถ้าระหว่างวันเราเผลอเอามือไปขยี้ตา อายไลเนอร์จะหลุดหรือเปล่า? อีฟจัดการทดสอบด้วยการเอามือถูแขนตรงที่เขียนอายไลเนอร์ ผลปรากฏว่า Mistine Maxi Black ติดทนสุดๆ เอาว่าด้วยแรงขยี้ตาปกติคงทำอะไรนางได้ เพราะนี่ถูจนเหนื่อยยังหลุดไปแค่นิดเดียว รองลงมาคือ Mistine Super Black ส่วน Lifeford และ Mei Linda ติดทนพอๆ กัน ถ้าถูแรงๆนานๆ ก็หลุด



ทุกคนก็ได้เห็นคุณสมบัติของอายไลเนอร์ทั้ง 4 รุ่น ไปแล้วนะคะ คิดว่านางไหนสมควรได้มง? ตัวส่วนตัวอีฟชอบ Mistine Maxi Black ที่สุด ใช้บ่อยสุด เพราะดำสนิท ติดทน แต่ติดตรงหัวปากกาชอบแตก อยากจะเอาหัวของ Lifeford มาใส่ เพราะหัวปากกานางคือ the best แล้วจริงๆ ส่วน Mistine Super Black ชนะเลิศเรื่องความดำ และสุดท้าย Mei Linda  มีดีที่ใช้ง่าย ราคาถูกสุดด้วย อีฟซื้อมาไม่ถึง 100 บาท น้องๆ นักศึกษาหรือใครที่เพิ่งฝึกเขียนอายไลเนอร์และยังไม่อยากลงทุนเยอะ รุ่นนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ


รีวิวนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของอีฟจากที่ได้ลองใช้มานานพอสมควร จะเห็นว่าแต่ละรุ่นต่างก็มีข้อดี ข้อเสียของตัวเอง สุดท้ายแล้วจะเลือกซื้ออันไหน ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเนอะ

ก็หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ


แล้วพบกันใหม่ บ๊ายบายค่า






Create Date : 10 กันยายน 2560
Last Update : 10 กันยายน 2560 0:32:10 น.
Counter : 1506 Pageviews.

0 comment
[รีวิว] รองพื้น SOLA PRIMER TEINT FOUNDATION SPF 20 กับงานผิวฉ่ำเนียนแบบสาวเกาหลี


[รีวิว] รองพื้น SOLA PRIMER TEINT FOUNDATION SPF 20 กับงานผิวฉ่ำเนียนแบบสาวเกาหลี


สวัสดีค่ะ วันนี้อีฟจะมารีวิวรองพื้นสูตรน้ำจากแบรนด์ฝั่งเกาหลีซึ่งเน้นงานผิวเนียนใส แต่ยังดูฉ่ำน้ำเป็นธรรมชาติ ตามเอกลักษณ์ผิวของสาวเกาหลี จริงๆ แล้วอีฟติดใจงานผิวแบบนี้จากการใช้คูชั่นแบรนด์เกาหลีแต่ไม่เคยใช้รองพื้นสัญชาติเกาหลี เพราะส่วนใหญ่เจอแต่สีรองพื้นสำหรับคนผิวขาวถึงขาวโอโม่ ผิวสองสีอย่างข้อยก็เลยได้แต่มอง T-T


และรองพื้นจากแบรนด์แดนกิมจิตัวแรกที่อีฟได้ลองใช้ก็คือ SOLA PRIMER TEINT FOUNDATION SPF 20 ค่ะ

คุณสมบัติเด่นๆ ที่ทางแบรนด์เคลมคือ เป็นรองพื้นสูตรน้ำ เนื้อบางเบา ไม่อุดตันรูขุมขน เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบทารองพื้นหนาๆ  ติดทนนาน 18 ชม. ช่วยควบคุมความมันระหว่างวัน ไม่ต้องเติมแป้ง หน้าไม่มันเยิ้ม ไม่เปลี่ยนสี เนื้อครีมแห้งเร็ว เกลี่ยง่ายเหมาะสำหรับผิวผสม-ผิวมัน พร้อมปกป้องผิวจาก UVA/UVB ด้วยประสิทธิภาพกันแดดที่ระดับ SPF20



หน้าตารูปทรงขวดดูทันสมัย แข็งแรงทนทาน ไม่แตกง่าย อีฟชอบตรงใช้งานง่าย เปิดฝาออกจะเจอหัวปั๊ม เวลาใช้ไม่ต้องกลัวว่าเนื้อรองพื้นจะหกเลอะเทอะ



สิ่งหนึ่งที่ปลาบปลื้มคือ รองพื้นรุ่นนี้มี 3 เบอร์ คือ เบอร์ 10 / 20 / 30 ซึ่งเบอร์ 30 เนี่ยผิวสองสีก็ใช้ได้ แล้วสีก็ออกโทนเหลือง ไม่ต้องกลัวหน้าเทาอีกต่อไป (ต้องกราบขอบพระคุณทางแบรนด์ที่ทำสีนี้มาขายด้วยค่ะ) มั่นใจมากว่าทาแล้วจะรอด 555  


เนื้อรองพื้นเหลวขั้นสุด และด้วยความเหลวเป็นน้ำนี้ ทำให้เกลี่ยง่าย ลื่นปื๊ด ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ก็ได้ ใช้มือเกลี่ยได้สบาย แต่ว่าแห้งเร็วมากกกกก แนะนำให้แต้มแล้วเกลี่ยทีละจุดเอา อย่าแต้มทั่วหน้าแล้วค่อยเกลี่ยนะ เพราะจะเกลี่ยไม่ทัน


พอแห้งแล้วเนื้อรองพื้นจะเนียนสนิทไปกับผิว ไม่เหนียวเหนอะหนะ คือถ้าผิวแห้งไม่ต้องลงแป้งเพิ่มก็ได้ อย่างในรูปคืออีฟเกลี่ยรองพื้นที่หลังมือและไม่ได้ทาแป้ง จะเห็นว่า ผิวดูเนียน แต่ไม่ถึงกับแมตต์มาก ยังมีความฉ่ำวาวอยู่ แต่ไม่มันเยิ้ม



ส่วนเรื่องการปกปิด อีฟว่าปกปิดอยู่ในระดับ light-medium coverage คือแล้วแต่เราว่าจะลงให้ได้ระดับไหน ถ้าคนที่ผิวดีอยู่แล้ว ไม่ได้มีปัญหาผิว พวกสิวหรือริ้วรอยอะไร  ทาบางๆ แค่ปั๊มเดียวก็ทั่วหน้าแล้วค่ะ ซึ่งจะได้ผิวที่ดูเนียน กระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอกันทั้งหน้า แต่ถ้าผิวมีปัญหารอยสิวก็สามารถลงเพิ่มย้ำลงไป เพื่อเพิ่มการปกปิดได้ แต่ถ้ารอยชัดมากๆ อาจต้องใช้คอนซีลเลอร์ช่วยเป็นจุดๆ ไป เพราะรองพื้นตัวนี้จะไม่ได้ปกปิดระดับเนียนกริ๊บขนาดนั้นค่ะ


รูปนี้คือผิวหน้าก่อนทาและหลังทา ผิวหน้าอีฟจะเป็นผิวผสม มันช่วงทีโซนและหน้าแก้ม ส่วนอื่นๆ จะแห้งค่ะ โดยเฉพาะแถวข้างจมูก มีปัญหารูขุมขนกว้างชัดเจนมากตรงหน้าแก้ม แล้วก็รอยดำจากสิว ซึ่งรองพื้นตัวนี้สามารถช่วยอำพรางรูขุมขนได้ ภาพนี้ซูมใกล้อาจจะยังเห็นอยู่ แต่ถ้ามุมที่ถ่ายปกติจะดูเนียนค่ะ รอยสิวถ้าดูใกล้ๆ ก็ยังเห็นจางๆ ถ้าอยากได้แบบเป๊ะเลย ต้องใช้คอนซีลเลอร์ แต่อันนี้อีฟอยากให้ดูเฉพาะการปกปิดของรองพื้น เลยไม่ทาคอนซีลเลอร์ค่ะ



ส่วนอันนี้คือตอนแต่งเสร็จแล้ว ผิวที่ได้ก็จะประมาณนี้ค่ะ อีฟชอบที่ผิวยังดูเป็นผิว ไม่ได้ดูหนา เอาว่าถ้าแต่งหน้าด้วยสีอ่อนๆ ผู้ชายจับโป๊ะไม่ได้อะ 555 แล้วก็ด้วยความที่สีรองพื้นเป็นโทนเหลือง มันทำให้ผิวดูไบรท์ ดูกระจ่างใสขึ้น



ความดีงามคือสีไม่ดรอประหว่างวันจริงๆ  ทาสีไหนได้สีนั้น ไม่หมอง ควบคุมความมันได้ ไม่ทำให้หน้ามันเพิ่ม แล้วก็กันน้ำได้ด้วยนะ เหงื่อออก หน้าก็ไม่เป็นคราบ สามารถซับออกได้โดยที่หน้าไม่เละ



ทดสอบความติดทน คุมมัน กันเหงื่อด้วยการออกไปตะลอนจนค่ำ แล้วไปหาของกินริมข้างทาง ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวของประเทศกรุงเทพ



ติดทนจริง ซับเหงื่อแล้วก็ยังผ่องใช้ได้อยู่



จากที่ลองใช้มา อีฟว่าเป็นรองพื้นที่น่ามีไว้ในกรุตัวหนึ่ง เพราะมันบางเบา ดูเป็นธรรมชาติ สามารถทาได้ทุกวัน แถมคุณภาพดีงามเกินราคาหลักร้อยของนางด้วยค่ะ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ นะคะ

บ๊ายบายค่า










Create Date : 06 กันยายน 2560
Last Update : 6 กันยายน 2560 0:37:15 น.
Counter : 2075 Pageviews.

0 comment
[รีวิว] แป้งพัฟโกโก้ Quinn’s Skin ปกปิดโอ(เค)หรือโม้ มาดูกัน!


[รีวิว] แป้งพัฟโกโก้ Quinn’s Skin ปกปิดโอ(เค)หรือโม้ มาดูกัน!


สวัสดีค่ะ วันนี้อีฟจะมารีวิวแป้งพัฟ Quinn’s Skin Cocoa Powder SPF 50++ เป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์คนไทยเพื่อหญิงไทย โดดเด่นที่มีส่วนผสมจากผงโกโก้และกลิ่นหอมของโกโก้ ก่อนหน้านี้อีฟไปอ่านรีวิวของหลายคน วันนี้ได้ลองใช้ด้วยตัวเอง เลยจะมาแบ่งปันผลการทดลองใช้กับเพื่อนๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อมาใช้ดีไหมนะคะ



เริ่มที่หน้าตาผลิตภัณฑ์ ก็ตามรูปเลยค่ะ ตลับสีดำ มี 2 ชั้น ชั้นบนเป็นเนื้อแป้ง ชั้นล่างเป็นที่ใส่พัฟ ซึ่งอีฟว่าสะดวกดี รักษาความสะอาดได้ง่าย เพราะไม่ต้องเอาพัฟมาวางทับบนเนื้อแป้ง หลังจากใช้งานเสร็จ



ในส่วนของพัฟที่ให้มานั้น นุ่มที่สุดเท่าที่เคยใช้พัฟแถมที่ให้มากับตลับแป้งเลย มันช่วยให้เกลี่ยแป้งง่าย ทำให้เนื้อแป้งติดผิวได้ดีขึ้นเวลาที่กดย้ำๆ อันนี้ชอบมาก อยากให้แป้งทุกอันแถมพัฟนุ่มๆแบบนี้ 555



เนื้อแป้งละเอียดและนุ่ม เวลาทาเนียนไปกับผิวดี ไม่เป็นคราบ คือตอนทารู้สึกว่ามันบางเบา ไม่หนักหน้า แต่ให้การปกปิดดี สามารถใช้พัฟกดย้ำตรงที่อยากปิดเพิ่มได้ แล้วก็ช่วยพรางรูขุมขนได้ค่ะ



เฉดสีมีให้เลือก 3 สี คือ เบอร์ 0 ขาวอมชมพู / เบอร์ 1 ขาวเหลือง / เบอร์ 2 ผิวสองสี



เฉดสี 1 กับ 2 แป้งเป็นอันเดอร์โทนเหลือง หายห่วงเรื่องหน้าเทา ผิวไม่ขาวก็ใช้ได้ ส่วนตัวอีฟผิวสองสี ใช้เบอร์ 2 สำหรับทั้งหน้า และใช้เบอร์ 1 สำหรับไฮไลท์ค่ะ  



เอาจริงๆ ตอนแรกไม่ได้คาดหวังการปกปิดอะไร แค่แตะๆป้ายๆกับหลังมือแล้วรู้สึกว่ามันนุ่มแล้วก็หอมกลิ่นโกโก้ แต่พอทากับหน้าแล้วแบบ เฮ้ย เกินความคาดหมายมาก เพราะช่วงที่ลองใช้หน้าอีฟมีสะเก็ดแผลและรอยดำจากการแกะสิว (ไม่ดีๆ ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างน้าาาา) ตั้งแต่ช่วงหน้าแก้มจนถึงคาง แป้งตัวนี้สามารถปิดรอยที่ว่าได้ ในรูปคือไม่ได้ใช้รองพื้นหรือคอนซีลเลอร์เลย ทาแป้งพัฟโกโก้ตัวนี้ล้วนๆ


ตรงรอบๆสะเก็ดแผลที่ลอกเป็นขุยแห้งๆ ถ้าทาแป้งลงไปเลยมันจะไม่ค่อยติด อีฟใช้วิธีนวดด้วยน้ำมันมะพร้าวก่อนเพื่อให้บริเวณนั้นมันนุ่ม แล้วพอทาแป้งลงไปมันก็จะเนียน ไม่เป็นคราบ จะเห็นว่าสะเก็ดแผลและรอยดำที่ชัดมากๆ จะยังเห็นอยู่ลางๆ แต่ถ้าไม่สังเกตหรือมองไกลๆก็ยังถือว่าโอเคอยู่ ไม่น่าเกลียด ส่วนรอยจางๆ ปิดได้มิดเลยค่ะ



อันนี้เป็น Finished Look ที่ได้จากแป้งตัวนี้ค่ะ แทบไม่เห็นรอยสิวเลยใช่ม้าาา



ส่วนตัวอีฟชอบงานผิวที่ได้จากแป้งตัวนี้ มันดูไม่โบ๊ะไม่หนา แล้วก็ไม่หนักหน้า คุมมันกันเหงื่อโอเคเลย เหงื่อออกก็ไม่เป็นคราบ ซับแล้วยังผ่องอยู่ ให้ผ่าน ถือเป็นอีกตัวเลือกที่ดีสำหรับแป้งผสมรองพื้นราคาหลักร้อย ถ้าใครสนใจก็สามารถหาซื้อได้ที่เพจเฟสบุ๊ก Quinn’s Skin ค่ะ (เสิร์ชกูเกิ้ลโลด) สำหรับวันนี้อีฟก็ขอจบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้ เจอกันใหม่คราวหน้า บ๊ายบายค่าาา







Create Date : 06 กันยายน 2560
Last Update : 6 กันยายน 2560 0:35:55 น.
Counter : 2159 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  

คริสต์มาสอีฟ
Location :
อุดรธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]



***Welcome to my blog***

My name is Eve.
Here is my space used to share my makeup tutorials, reviews and much more.
Hope you enjoy :)

Facebook Page: https://www.facebook.com/abcdever
YouTube: abcd_eve
New Comments