วันที่ 4 ของทริปวันนี้เราจะไปสาธารณะเชคกัน ใน 3 ประเทศของทริปนี้ผมชอบออสเตรียมากที่สุด อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่ถูกจริต
ของคนที่ชอบเที่ยวธรรมชาติมากกว่าเที่ยวเมือง ออสเตรียมีธรรมชาติที่สวยงามมากและค่าครองชีพก็ถูกกว่าสวิสเซอร์แลนด์ที่เคยไป
ในทริปก่อนๆ คงจะมีโอกาสได้กลับมาเจาะลึกออสเตรียอีกครั้ง
ผมตื่นมาตั้งแต่เช้ามืดกะว่าจะออกไปดูทางช้างเผือก แต่ไม่ไหวครับอากาศเย็นมากถุงมือก็ไม่มีแถมมุมก็ไม่ได้อีกเลยกลับเข้าบ้านพักมา
รอจนเช้าค่อยกลับออกไปอีกรอบ หน้าบ้านมีทุ่งหญ้ากับสายหมอกก็สวยไปอีกแบบ
บรรยากาศสงบยามเช้าของฮัลสตัตต์ เริ่มมีคนทะยอยออกมากันเยอะทั้งนักท่องเที่ยว ผู้คนท้องถิ่นที่ออกไปทำงาน นักเรียนทะยอยมา
โรงเรียน เพิ่งได้เห็นรถเมล์ตอนเช้านี้ ไม่รู่เมื่อคืนน้องๆกลุ่มคนไทยมีรถกลับกันรึเปล่า เพราะตอนกลางคืนดูเงียบมาก
Schloss Grub หรือ Castle Grub ปราสาทส่วนตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1522 และมีการเปลี่ยนผู้ครอบครองมา
เรื่อยจนสมัยนาซีถูกยึดโดยรัฐบาลนาซี ปัจจุบันเป็นของ Herbert Handlbauer
พระอาทิตย์ขึ้นแสงอุ่นๆเริ่มมา แต่เห็นแสงแบบนี้อีกไม่นานครับฝนถล่มแบบไม่น่าเชื่อ
ได้เวลากลับไปที่พักเพื่อกินข้าวเช้าและเตรียมตัวเดินทางกันต่อครับ ลำธารใสๆไหลมาจากไหนก็ไม่ทราบแต่สุดทางที่ทะเลสาบ ดูเหมือน
มันจะมีน้ำทิ้งจากครัวเรือนมาด้วย แต่มันได้รับการบำบัดมาจนใสมาก ตรงตึกสีเหลืองๆด้านในขวามือนั่นเป็นสถานีรถรางขึ้นไปชมวิวบน
ยอดเขาซึ่งเป็นเหมืองเกลือโบราณ แต่วันที่ผมมานี่มันไม่เปิดให้บริการครับ เปิดแต่ส่วนของพิพิธภัณฑ์ด้านล่าง
นั่งจิบกาแฟยามเช้าบนระเบียงข้างบ้าน บรรยากาศน่าหยุดเวลาไว้ตรงนี้จริงๆครับ
วิวจากหน้าต่างห้องครัว หลังอาหารเช้าและจัดเตรียมอาหารมื้อกลางวันแล้ว เราก็เก็บข้าวของขึ้นรถเครียมเดินทางสู่เมืองเชสกี คลุม
ลอฟ Cesky Krumlov สาธารณรัฐเชค ระยะทาง 210 กิโลเมตร
จากแดดดีท้องฟ้าสดใสเพียงไม่กี่นาทีฝนก็ตั้งเค้ามาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่นาทีก็ตกลงมาอย่างหนัก เราขับรถลุยฝนออกจาก Hallstatt
ขึ้นไปทางเหนือ
แวะเติมน้ำมันที่เมือง Bad Goisern ซึ่งห่างจาก Hallstatt ไปไม่ไกลเผื่อไว้ก่อนเพราะต้องขับไปยาวๆ เราถามหาซื้อสติ๊กเกอร์ Vignett
ของ Czech แต่ไม่มีขายเค้าบอกมิแต่ของ Austria พนักงานบอกต้องไปซื้อใกล้ๆพรมแดน นั่นแหละปัญหาเพราะเวลาขับรถผมไม่รู้เลย
ว่าอะไรคือสัญลักษณ์ที่บอกว่าเราข้ามพรมแดนแล้ว เพราะมันก็คือถนนเส้นเดียวกันและไม่มีด่านพรมแดน
มากันไกลพอสมควรฟ้าเริ่มใสขึ้น ได้เวลาอาหารกลางวันเราแวะปั๊มระหว่างทาง แต่ปั๊มนี้ไม่มีร้านสะดวกซื้อก็เลยยังไม่ได้ซื้อ Vignett แต่
ยังดีที่มีที่นั่งกินข้าวและมีห้องน้ำสะอาดให้เข้าแถมวิวดีพอใช้ได้
กว่าเราจะได้ Vignett ของ Czech ก็ผ่านพรมแดนเข้ามาใน Chech แล้วเพราะเส้นทางหลังจากที่เราแวะกินข้าวกลายเป็นเส้นทางสายรอง
ผ่านไปตามชนบทจนไปเจอปั๊มน้ำมันก็อยู่ใน Chech Republic แล้ว พอซื้อ Vignett เสร็จเลี้ยวออกจากปั๊มไม่ถึง 5 กม. ก็เจอด่านตรวจ
เลย ตำรวจขอดูพาสปอร์ตและถามหา Vignett ซึ่งผมยังไม่ได้แกะมาติดกระจก ตำรวจก็เลยติดให้แล้วให้ไปต่อ จนมาถึง Cesky Krumlov
ถนนในเมืองเล็กมากเราเลยจอดรถไว้แล้วเดินหาโรงแรมที่พัก ตรงจุดที่เราจอดรถไว้เป็นจุดชมวิวของเมืองพอดี
จากจุดชมวิวที่เราจอดรถ ขับลงเนินมาประมาณสักร้อยเมตรเราก็ถึงจคุรัสกลางเมืองและลานน้ำพุ Jihočeské divadlo เราขับรถลงมาทาง
ช่องระหว่างตึกสีส้มกับสีเหลือง ส่วนโรงแรมอยู่ทางด้านที่ยืนถ่ายรูปนี่ครับ
คืนนี้เราพักกันที่นี่ครับ Muzeum Residence ห้องแบบ Family Room ใหญ่มาก 2 ห้องนอน มีโซฟานั่งเล่นมีครัว โรงแรมน่าจะรีโนเวท
จากอาคารเก่าไม่มีลิฟท์และบันไดแคบ ตอนลากกระเป๋าขึ้นไปนี่เหนื่อยเลยครับ พักที่นี่ต้องมาถึงที่พักก่อน 6 โมงเย็นครับเพราะพนักงาน
เลิกงาน 6 โมงและจะไม่มีพนักงานอยู่กลางคืนต้องใช้ Key Card ในการเข้า-ออก ราคาห้องพัก 78 ยูโร นับว่าถูกที่สุดตลอดทริปนี้
หลังจากเซ็คอินพนักงานให้บัตรจอดรถเราราคาที่พักรวมค่าที่จอดรถด้วยครับ แต่ที่จอดรถนี่ขับไปไกลมาก เนื่องจากเมือง Ceskey
Krumlov มีเมืองโบราณอยู่ชั้นในและเมืองใหม่อยู่ชั้นนอก หลังเอากระเป๋าลงจากรถแล้วเราต้องขับอ้อมออกไปเมืองชั้นนอกเพื่อไปจอด
รถในที่จอดรถสาธารณะ แต่หลังจากจอดรถเสร็จเดินกลับมาโรงแรมไม่ไกลเลย จากที่จอดรถมองเห็นซุ้มประตูนี้เดินลอดซุ้มกลับเข้าเขต
เมืองโบราณได้เลยครับ
ลอดซุ้มประตูมาจะเจอสะพานข้ามแม่น้ำเดินข้ามไปแล้วเดินค่ออีกไม่เกิน 200 เมตรก็ถึงโรงแรมครับ เชสกี ครุมลอฟ(Cesky Krumlov)
ไข่มุกแห่งโบฮีเมียเมืองเล็กโรแมนติกตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัลตาวา(Vltava) ตอนต้นใกล้แหล่งกำเนิดของแม่น้ำ ก่อนที่จะไหลต่อไปเป็น
กระแสน้ำสายใหญ่ผ่านกรุงปรากซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญทางการค้าขายในโบฮีเมีย
ปราสาทคลุมลอฟมองเห็นได้จากแทบทุกส่วนของเมือง ที่ Czech เค้าไม่รับเงินยูโรต้องเอาเงินยูโรไปแลกเป็นเงิน โคลูนาเชคฯ (CZK)
จากลานจอดรถเดินข้ามสะพานมาจะเจอร้านแลกเงินอยู่หลายร้านครับ ส่วนใหญ่พวกร้านขาย Souvenir จะมีเคาท์เตอร์แลกเงินอยู่ด้วย
1 EUR ประมาณ 27.XXXX CZK
ปราสาทครุมลอฟเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในสาธารณรัฐเช็ก โดยเป็นรองจากปราสาทฮรัดชานี (Hradčany) ที่กรุงปราก
ซึ่งปราสาทจัดว่ามีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับตัวเมืองที่มีพื้นที่น้อย
ตระกูลวีเทค (Vitek) เป็นเจ้าของแรกของปราสาทครุมลอฟ ต่อมาในปีค.ศ. 1302 เมืองและปราสาทได้ตกเป็นของท่านลอร์ดแห่ง
โรเซนเบิร์ก (The Lords of Rosenberg) หลังจากตระกูลวีเทคได้เสียชีวิตลง หลังจากนั้นปราสาทได้ตกทอดมายังตระกูลโรเซนเบิร์ก
ในปีค.ศ. 1601 ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลโรเซนเบิร์กได้ขายที่ดินและเมืองเชสกี้ ครุมลอฟ ให้กับจักรพรรดิแห่งโบฮีเมีย Rudolf ที่ 2
แห่ง Habsburg และได้ส่งต่อให้ลูกชาย Julius dAustria ต่อมาในปีค.ศ. 1622 จักรพรรดิ Ferdinand ที่ 2 แห่ง Habsburg ได้ยกเมือง
เชสกี้ ครุมลอฟให้เป็นของขวัญแก่ Johann Ulrich แห่งตระกูลEggenberg ในปีค.ศ. 1719 ถึง 1945 เชสกี้ ครุมลอฟตกทอดมายัง
Adam Franz แห่ง Schwarzenberg ซึ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกคนเดียวของตะกูล Eggenberg จากเยอรมัน จึงทำให้ตระกูล
Schwarzenberg ย้ายมาจากเยอรมันและเข้ามาอยู่ในแคว้นโบฮีเมียอย่างถาวร
ช่วงยุค interwar (ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและตอนเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง) เมืองเชสกี้คลุมลอฟเป็นส่วนหนึ่งของ
ประเทศเชคโกสโลวาเกีย ช่วงปีค.ศ. 1938 ถึง 1945 เมืองนี้ถูกยึดโดยนาซีเยอรมนีให้เป็นส่วนหนึ่งของ Sudetenland หลังสงครามโลก
ครั้งที่สอง เมืองนี้ได้กลับมาเป็นของประเทศเชคโกสโลวาเกียอีกครั้ง
เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 1945) สงบลง เชสกี้ ครุมลอฟเป็นเมืองที่รอดพ้นจากการทำลายล้างจากภัยสงคราม
ปราสาทและหอคอยปราสาทครุมลอฟ ตลอดจนทรัพย์สินอื่นๆของตระกูล Schwarzenberg ก็ตกเป็นของรัฐบาล
ในช่วงคอมมิวนิสต์ (ค.ศ. 1948 - 1989) เมืองเชสกี้ คลุมรอฟมีความทรุดโทรมลงมาก ต่อมาได้มีการบูรณะเมืองให้สวยงามดังเดิมอีก
ครั้ง ภายหลังการปฏิวัติในปี ค.ศ 1989 ในปัจจุบันเมืองนี้เป็นเเหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งเขตเมืองเก่านี้ได้รับการ
ขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 1992
ออกจากปราสาทมาเราก็เดินเล่นในเมืองกันแล้วไปหาอาหารเย็นกินกันก่อนที่จะกลับที่พัก อย่างที่เคยบอกครับร้านค้าในยุโรปปิด 6 โมง
พอ 6 โมงปุ๊บปิดปั๊บครับ ยังดีที่ร้านอาหารยังเปิดอยู่
แต่ที่เปิดอยู่ก็แค่บางร้านนะครับ ร้านริมน้ำด้านปราสาทปิดเกือบหมด เราข้ามแม่น้ำมาฝั่งที่พักมีร้านริมน้ำเปิดอยู่ แต่ไม่ได้ออกไปนั่งริมน้ำ
เพราะอากาศหนาวมากเดี๋ยวจะกินไม่อร่อย
มาประเทศแถบนี้ผมว่าพนักงานร้านอาหารดูเป็นมิตรและบริการดีแทบทุกร้าน แต่ถ้าเป็นร้านแบบแฟรนไชนส์อย่าง Mc Donald หรือพวก
พนักงานสาวร้านไอศครีมหน้าหงิกหน้างอมาก ที่นี่เบียร์ถูกกว่าน้ำมากก็เลยกินเบียร์แทนน้ำ
หลังอาหารมาเดินย่อยกันก่อนครับ ร้านปิดหมดแล้วเดินดูหน้าร้านเล่น
เราเดินกลับมาที่จุดชมวิวตรงที่เราจอดรถไว้ตอนมาถึงอีกครั้ง มารอเก็บแสงดึก จะบอกว่าแสงเย็นก็ไม่ใช่เพราะมันสองทุ่มแล้วเรียกแสง
ดึกแล้วกันครับ
กว่าฟ้าจะเป็นสีน้ำเงินเข้มก็เกือบสามทุ่ม ยืนหนาวๆรออยู่นานเลยครับ ที่นี่มีคนไทยมาเที่ยวกันเยอะครับ ที่ยืนรอถ่ายรูปกันส่วนใหญ่ก็เป็น
คนไทย มาเองบ้าง มากับทัวร์บ้าง ซอยด้านล่างก็มีคนไทยกลุ่มนึงเดินคุยกันมา ได้ยินเค้าคุยภาษาไทยกัน เพราะจากบนนี้มันไม่ได้สูง
มากนัก
เดินกลับมาที่พักเงียบมาก บรรยากาศชวนเสียวสันหลังดีครับ 5555 พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปปรากกันครับ