ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2557
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
24 สิงหาคม 2557
 
All Blogs
 
ทอย (51)

“...มาลองกันอีกครั้งดีกว่า”

คุณนายวิกเซ่นเอ่ยขึ้นอย่างลังเลหลังจากที่ทุกคนในกลุ่มต่างพากันเงียบไป นางนึกไม่ออก มันไม่น่าจะมีเรื่องใดที่มีแรงมากพอที่จะดึงดูดทั้งหมดเอาไว้ในโลกความฝันแห่งนี้ได้อีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่เกี่ยวข้องกับเฒ่าเฮฟที่ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เฝ้าดูท่าทางแปลกประหลาดของแต่ละคน ก่อนจะส่ายหน้า แล้วเดินลากขาออกห่างจากกลุ่มไปอย่างเงียบๆ

“ลองดูอีกทีก็ดีเหมือนกัน” สโนวคิดว่าอย่างน้อยมันก็คงดีกว่าที่จะไม่ทำอะไรเลย

“ครั้งนี้ให้ฉันลองบ้างดีไหม ฉันน่าจะยังมีพลังเหลืออยู่มากพอที่จะพาทุกคนข้ามไปได้” กู๊ดแมนเสนอตัวเป็นทางเลือก ก่อนที่จะรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้ว มันมักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอ ลึกลึกลงไปคุณรู้อยู่ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ควรพูด แต่แล้วทันใดนั้นคุณก็พูดมันออกไป

“คุณกำลังจะบอกว่ามันเป็นความผิดพลาดของฉันใช่ไหม” เขาไม่ชอบน้ำเสียง ท่าทาง กับสายตาของนางในตอนนี้เป็นที่สุด เพราะมันมักจะเริ่มต้นขึ้นแบบนี้แทบทุกครั้ง จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จากคำพูดที่ไม่ทันระวัง กลับกลายเป็นการทะเลาะ เป็นเรื่องใหญ๋โตขึ้นมาก่อนที่ทั้งคู่จะทันรู้ตัว

“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เขารีบส่ายหน้าพร้อมย้ำกับตนเองว่าอย่าได้คิดที่จะอธิบายอะไรในตอนนี้ ถ้าอยากจะให้มันจบลงโดยเร็ว “เธอลองดูอีกครั้งก็ดีเหมือนกัน” แค่นั้นแล้วก็ปิดปากเงียบ นางจ้องเขาราวกับคาดหวังว่าเขาจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เมื่อไม่มี และไม่มีใครเสนอทางเลือกอื่นอีก นางจึงนางหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับก้มหน้าก้มตาขีดเขียนตัวเลขเดิมอีกครั้ง อย่างไม่ค่อยมั่นใจ

ตัวเลขสองร้อยเก้าสิบเก้าล้านเจ็ดแสนเก้าหมื่นสองพันสี่ร้อยห้าสิบแปดที่ถูกเขียนขึ้นใหม่ค่อยๆ ยุบตัวลงไปในผืนดินด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาลที่เกิดจากมวลซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณในชั่วเสี้ยววินาที พวกมันยุบตัวรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเพียงจุดสีขาว แล้วร่างของพวกเขาทั้งหมดก็ถูกยืด บิด หมุนเป็นเกลียวร่วงลงไปในจุดซึ่งตอนนี้กลายเป็นสีดำสนิทจากการที่แม้แต่แสงก็ยังไม่อาจเล็ดลอดกลับออกมาจากหลุมนี้ ข้ามผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ทะลุหายออกไปจากโลกแห่งความฝันใบนี้

กู๊ดแมนไม่รีรอที่จะรีบนำทางทุกคนไปยังถ้ำอันเป็นจุดหมายทันที

น่าแปลกที่ไม่มีชาวบ้านคนใดมองมาเลยในตอนที่เหตุการณ์อันน่าพิศวงทั้งหมดนี้เกิดขึ้น และหลังจากงานฉลองในค่ำคืนนั้นสิ้นสุดลง ทุกคนต่างก็พากันลืมเลือนเรื่องราวของผู้มาเยือนจากต่างถิ่นในงานเฉลิมฉลองของวันกลางฤดูร้อนครั้งสำคัญนั้นไปจนหมด จะมีก็เพียงสายตาวาวคู่หนึ่งซึ่งแอบเฝ้ามองออกมาจากในเงื้อมเงามืดแห่งยามราตรี ซึ่งเจ้าของเงาร่างอ้อนแอ้นอันเป็นปริศนานั้นก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน หรือโลกความฝันแห่งนี้เช่นกัน

'หรือจะ เป็น ดี'

เงาที่ซ่อนตัวอยู่นั้นทอดถอนใจออกมา นางไม่ใช่ทั้งผีดูดเลือดตัวน้อย ไม่ใช่มารดาของเด็กหญิง หรืออย่างน้อยนางก็จำไม่ได้ว่าเคยเป็นใครคนใดคนหนึ่ง แต่นางกับผีดูดเลือดสองแม่ลูกนั้นก็มีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง ท่านหญิง ที่ลินคอนรู้จักได้ตื่นขึ้นแล้ว นางเองก็ถูกสาวน้อยหมวกแดงจู่โจมด้วยความฝันที่ด้านนอกของตึกนคราภิวัฒน์ และถูกส่งมาสู่โลกความฝันแห่งนี้เช่นเดียวกันกับสไตน์ที่ล่วงหน้ามาก่อน

ส่วนหนึ่งของนางในอดีตครั้งที่ยังเป็นผู้นำในการก่อสงครามกับพวกมนุษย์ได้แยกออกมากลายเป็นร่างของมารดา ส่วนที่เหลือนั้นก็ได้กลายเป็นผีดูดเลือดตัวน้อย ทั้งสองหลงทางอยู่ในป่าจนกระทั่งมาพบเจอหมู่บ้านแห่งนี้เข้า หมู่บ้านที่นางจดจำได้ว่าจะค่อยๆ เติบโตขึ้น เพิ่มจำนวนประชากรมากขึ้น ท่าเรือข้ามฟากแห่งนั้นก็จะกลายเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแห่งแรกที่รู้จักกันในนามของสะพานลอนดอนเก่า ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยสะพานลอนดอนใหม่ในอีกหลายสิบปีต่อมา หรือก็คือสะพานลอนดอนในปัจจุบันที่ผู้คนในมหานครต่างรู้จักเป็นอย่างดี รวมไปถึงสะพานอื่นๆ อีกมากมายหลายแห่ง ถนน บ้าน อาคารสูงแบบต่างๆ สวนสาธารณะ และขอบเขตของเมืองที่ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ

'โลกแห่งนี้อาจเป็นอดีตของมหานครจริงๆ ก็เป็นได้'

แต่คงไม่มีใครสามารถยืนยัน บางทีแม้แต่ตัวของสาวน้อยหมวกแดงเองก็อาจจะไม่รู้ก็เป็นได้ นางเองก็ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า ในโลกแห่งความฝันอันมากมายมหาศาลนั้นจะมีโลกแบบนี้ซุกซ่อนอยู่ด้วย นางทอดสายตามองดูเหล่าผู้คน และสิ่งต่างๆ ที่กำลังดำเนินไปจากภายในเงามืด ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งที่นางคุ้นเคยมาอย่างยาวนาน นางเคยเป็นแบบนั้น และอาจจะยังคงเป็นอยู่เสมอ

ความคุ้นเคยในแบบของผู้ที่ชมชอบการเล่นหมากกระดานของนางมองเห็นเป็นโอกาส โอกาสมากมายที่มีอยู่ในทุกทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ โอกาสที่จะได้แก้ไขในทุกเหตุการณ์ที่นางเคยทำผิดพลาดลงไปในอดีต โอกาสที่จะได้ย้อนกลับไปเดินหมากตัวแรกตั้งแต่เริ่มต้นกระดานใหม่อีกครั้ง

'ผู้คนต่างก็เฝ้าคิดถึงโอกาสเช่นนี้อยู่ไม่ใช่หรือ'

ทั้ง สไตน์ ทอย และคนอื่นๆ ต่างก็มีส่วนกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ ในค่ำคืนนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ทำให้ จอห์น เวย์ ได้จัดการกับกองโจรสี่สิบตามที่มีบันทึกเอาไว้ มันอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกสนใจในตัวของทั้งสองคนนี้ตั้งแต่ที่ได้พบกันครั้งแรกในงานเลี้ยงบนตึกนคราภิวัฒน์ นางมีข้อมูลที่น่าสนใจของคนทั้งสองอยู่แล้วในฐานข้อมูลที่ได้เก็บสะสมมาอย่างยาวนาน ข้อมูลนับเป็นอาวุธชิ้นสำคัญของนาง แต่ในช่วงเวลานั้นนางเพียงตัดสินใจทำทุกสิ่งลงไปตามลางสังหรณ์ของตนแต่เพียงอย่างเดียว

หากโลกแห่งนี้เป็นอดีต นั่นย่อมหมายความว่านางจะต้องรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน อาจแก้ตัวว่าได้หลงลืมไปเพราะกาลเวลาที่ยาวนาน แต่หากนางไม่ได้ถูกส่งให้ย้อนเวลากลับมา หรือทำบางอย่างที่ต่างออกไป เหตุการณ์ทั้งหมดก็จะถูกเปลี่ยนแปลง มันอาจไม่ได้เกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นแล้วอดีตในความทรงจำของนางจะเปลี่ยนตามไปด้วยหรือไม่ จะมีสิ่งใดในอดีตที่จะถูกเปลี่ยนไปอีกหรือไม่ นับเป็นความน่าปวดหัวสำหรับแนวคิดเรื่องการเข้าไปยุ่มย่ามกับเส้นทางแห่งกาลเวลาทั้งหลาย

'พวกเขาออกไปจากโลกความฝันแห่งนี้ได้แล้ว' เพราะนางตื่นขึ้นแล้ว นางที่อาจจะเป็นแรงดึงดูดสุดท้ายที่เคยดึงพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ 'แล้วฉันควรจะทำอย่างไรต่อไป' การออกหน้าไปต่อสู้กับสาวน้อยหมวกแดงคนนั้นโดยตรงไม่ใช่วิธีการในแบบของนาง มือสังหารหนุ่มที่ชื่อทอยคนนั้นนับว่ามีการพัฒนาได้ดีทีเดียว แต่มันดีพอที่นางจะฝากความหวังทั้งมวลไว้กับเขาแล้วหรือไม่

'หรือฉันควรจะใช้โอกาสที่ได้รับมาอย่างไม่คาดฝันนี้ให้เต็มที่แทน' ใช้ชีวิตต่อจากนี้ไปในโลกอดีต เพื่อแก้ไขทุกสิ่งที่เคยทำผิดพลาดให้ถูกต้อง

เพียงแต่ชีวิตที่ไม่เคยพลาดผิดแบบนั้นจะมีอยู่จริงหรือ ต่อให้นางสามารถล่วงรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่ก็เพียงในขอบเขตของความทรงจำของนางที่ผ่านมา ถึงนางจะรู้ถึงผลจากการตัดสินใจในครั้งก่อน แต่ก็เพียงในขอบเขตของผลอันเกิดจากการกระทำนั้น ซึ่งไม่ได้รับรองเลยว่าหากนางทำในสิ่งที่ต่างออกไป ผลของมันจะต้องกลายเป็นความสำเร็จ เพราะความเป็นไปได้หลังจากนั้นก็ยังคงมีอีกหลายเส้นทางอยู่ดี

นางพลันสะดุ้งพร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟากฟ้า รอยยิ้มเยียบเย็นประดับอยู่บนริมฝีปาก ราวกับว่ามีใครกำลังแอบเฝ้ามองนางอยู่จากบนนั้น
“นี่ถึงจะเป็นกับดักที่แท้จริงของเธอสินะ แม่สาวน้อยหมวกแดง”

นางกระซิบ พร้อมเผยให้เห็นเขี้ยวที่ไม่ได้ใช้มาเนิ่นนาน นับเป็นการเปิดเผยด้านที่น่ากลัวของนางซึ่งแม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังเข้าใจว่าได้ถูกกลบฝังไปหมดสิ้นแล้ว

“เธอคงรู้อยู่แล้วว่ามีโลกแห่งความฝันแบบนี้อยู่” หากนางตัดสินใจที่จะจากไปก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหาหนทางกลับมาใหม่ได้อีกหรือไม่ หรือหากจะอยู่ที่นี่ต่อไป เมื่อนางเริ่มลงมือแก้ไขบางสิ่งในอดีตที่ยังคงติดค้างอยู่ภายในใจเรื่อยมา แล้วหากผลของมันยังคงนับเป็นความผิดพลาดอีกครั้ง นางจะทำอย่างไร นางใช่จะพยายามหาหนทางอื่นที่เหมือนกับการใช้ไม้ขีดไฟวิเศษเพื่อกระโดดข้ามไปสู่โลกความฝันแห่งอดีตใบอื่นๆ อีกหรือไม่ มันจะกลายเป็นเส้นทางที่ไม่มีจุดจบ เป็นการค้นหาชีวิตอันสมบูรณ์พร้อมที่ไม่สิ้นสุดหรือไม่

'เหมือนเป็นการไล่ล่าหาสรวงสวรรค์ที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวในท่ามกลางความฝันทั้งมวล' ถ้านางจะค้นพบวิธี และมันจะมีโลกแบบนั้นอยู่จริง

แต่การรับรู้ในสิ่งเหล่านี้ใช่จะทำให้นางตัดสินใจเลือกได้อย่างง่ายดายหรือไม่ 'ไม่อย่างแน่นอน' เพราะถึงอย่างไรมันก็นับเป็นโอกาสที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ

'หรือจะให้ถูก มันเป็นโอกาสอีกครั้งที่ไม่ควรเกิดขึ้นมากกว่า' ว่าแล้วนางก็แยกเขี้ยวเข้าใส่ฟากฟ้ายามราตรีนั้น

#####

“รีบนำทางด้วยค่ะ”

สโนวที่เคยมีอาการเมาเมื่อต้องเดินทางข้ามผ่านความฝันในครั้งแรกกลับรีบกระตุ้นให้กู๊ดแมนออกเดินไปภายในถ้ำที่มีแสงเรืองจากพืชแปลกๆ ที่ขึ้นอยู่ตามผนังถ้ำ ทั้งพื้น ผนัง และแม้แต่เพดานนั้นเฉอะแฉะจากน้ำท่วมที่กู๊ดแมนเล่าให้ฟัง มีแอ่งน้ำ และหยดน้ำที่หยาดลงมาราวกับเป็นสายฝนอยู่เกือบทุกที่ เสื้อผ้าของทุกคนจึงเปียกชื้นจนทั่วหน้าในเวลาเพียงไม่นาน

ทอยขยับขึ้นมาเดินคู่ไปกับกู๊ดแมนที่เงยหน้าขึ้นเป็นระยะเพื่อสูดดมกลิ่นต่างๆ ในอากาศ ทั้งๆ ที่ตรงหน้าก็มีเพียงเส้นทางสายเดียวเท่านั้น เขาก้าวยาวๆ อย่างรวดเร็ว และคอยเหลือบมองคุณนายวิกเซ่นอยู่เป็นระยะ ซึ่งนางก็สามารถติดตามมาได้โดยไม่แสดงอาการบาดเจ็บออกมาให้เห็น

“...สารวัตรโฮมกับคุณวสันต์เป็นอย่างไรกันบ้างครับ” ทอยถามขึ้นเบาๆ

“ผมยังไม่ได้กลิ่นเลือด...” 'นอกจากที่อยู่รอบตัวเธอ' ส่วนหลังนี้เขาเพียงแค่คิดอยู่ภายในใจเท่านั้น เขารู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอดีตมือสังหาร แต่ไม่ว่าจะอดีต หรือไม่อดีต มันก็เป็นเหตุผลมากเพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะระมัดระวังสิ่งที่พูด “พวกเขาเดินมาตามเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นก็คงพอจะสรุปได้ว่าทั้งคู่น่าจะยังปลอดภัยกันดีอยู่”

“...คุณท่าทางระวังตัวมาก มีอะไรหรือเปล่าครับ” ทอยลดเสียงลงอีก แต่ก็ไม่ช่วยอะไรมากนักภายในถ้ำเงียบๆ ที่มีเพียงเสียงจากหยดน้ำ กับการก้าวเดินเท่านั้น

“เปล่า ก็แค่เป็นการระวังตัวทั่วไปเท่านั้นเอง” เขาตอบเลี่ยงๆ “ว่าแต่ เธอพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งไม่คาดฝันได้ไหม”

“อย่างเช่นการลอบจู่โจมจากศัตรูอย่างสาวน้อยหมวกแดงหรือครับ” ทอยแกล้งถาม

“หรืออาจจะเป็นจากอะไรอย่างอื่นก็ได้” เขาตอบพร้อมกับเงยจมูกขึ้นสูดดมกลิ่นที่ปะปนกันอยู่ในอากาศชื้นๆ พร้อมกับอยากจะบอกให้ทอยถอยห่างออกไปอีกสักนิด เพราะกลิ่นโลหิตจากร่างของเด็กหนุ่มนั้นค่อนข้างรบกวน และกระตุ้นให้เขารู้สึกถึงความกระหายเลือดขึ้นมา

“...มีกลิ่นของคนอื่นอยู่กับพวกเขาด้วยใช่ไหมครับ และก็ไม่ใช่สาวน้อยหมวกแดงด้วย” คำถามของทอยนี้ทำให้สโนวต้องตั้งใจรอฟังคำตอบ ส่วนคุณนายวิกเซ่นนั้นคงจะรู้อยู่แล้ว

เขาพยักหน้ายอมรับ “ใช่ ยังมีอีกคน” นอกจากกลิ่นของโฮมกับวสันต์แล้ว เขายังได้กลิ่นของคนแปลกหน้า กลิ่นที่เขาเคยลังเลตั้งแต่การมาถึงในครั้งแรก แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่ามันเป็นของใครอีกคนที่ไม่ใช่สาวน้อยหมวกแดง รวมไปถึงกลิ่นจากตะกร้าอาหารก่อนหน้านั้นที่จะต้องเป็นของจริงอย่างไม่ต้องสงสัยด้วย มันไม่มีกลิ่นของโลหะที่เป็นอาวุธ หรือสิ่งอันตรายอื่นใดเท่าที่เขารู้

คุณนายวิกเซ่นเองก็ได้กลิ่นทั้งหมดนั้นเช่นกัน และไม่คิดจะตั้งคำถามกับจมูกของกู๊ดแมน ถ้าเขาไม่พูดถึงกลิ่นของอาหารพวกนั้นก็แสดงว่าเขาเคยได้กลิ่นมาก่อนแล้ว และไม่คิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องบอกเกี่ยวกับพวกมัน
เส้นทางข้างหน้าค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าสายน้ำที่พึ่งพัดผ่านไปนั้นจะไม่ได้ท่วมโถงถ้ำภายในไปทั้งหมดเพราะเมื่อไต่สูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ภายในถ้ำก็เริ่มกลับสู่สภาพชื้นแฉะแบบทั่วไป แสงสว่างเรืองจากพวกพืชประหลาดที่เกาะอยู่ตามผนังถ้ำก็ลดลงจากเดิมมาก

กู๊ดแมนรีบยกกำปั้นชูขึ้นในอากาศเป็นเครื่องหมายก่อนกระซิบเบาๆ “พยายามเดินให้เบาที่สุด อย่าส่งเสียง ห่างออกไปไม่ไกลข้างหน้านั้นมีสามคน สองคนคือเพื่อนเก่าของเรา ส่วนอีกคนนั้นผมไม่รู้จัก” ทั้งหมดต่างพยักหน้ารับรู้พร้อมกับลดความเร็วในการเคลื่อนที่ลง คนที่ลำบากที่สุดในกลุ่มก็คือสโนวที่ดูเหมือนจะทำให้เกิดเสียงเบาๆ ขึ้นในเกือบทุกย่างก้าว

ทอยที่รู้สึกได้ถึงความกังวลจากกู๊ดแมนจึงตัดสินใจยกกำปั้นชูขึ้นในอากาศเพื่อให้ทุกคนหยุด แล้วพยายามกระซิบให้เบาที่สุด “ให้คุณสโนวรออยู่ตรงนี้กับคุณนายวิกเซ่นดีไหมครับ” กู๊ดแมนดีใจที่เขาไม่ต้องเป็นคนยกข้อเสนอนี้ขึ้นมา เพราะรู้ว่าหากเป็นข้อเสนอจากเขาจะต้องถูกคุณนายวิกเซ่นหาเรื่องเข้าอีกแน่ เขาจึงพยายามที่จะวางท่าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

“แต่...” สโนวทำท่าจะโต้แย้ง แต่ครั้งนี้คุณนายวิกเซ่นกลับยกมือให้เธอเงียบแล้วยอมรับข้อเสนอแต่โดยดี ซึ่งนับว่าผิดปกติวิสัยของนางเป็นอย่างยิ่ง แต่กู๊ดแมนคิดว่าเขาเข้าใจได้ นางได้รับบาดเจ็บมาอย่างหนัก ตอนนี้นางจึงแทบไม่มีประโยชน์แถมยังอาจจะเป็นตัวถ่วงด้วยซ้ำ นางจึงกำลังรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อเร่งฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสามารถต่อสู้ได้อีกครั้งโดยเร็วที่สุด

กู๊ดแมนกับทอยจึงเคลื่อนที่ต่อไปเพียงสองคน เส้นทางข้างหน้าที่ค่อยๆ โค้งไปทางด้านซ้ายมีแสงสว่างเรืองออกมามากกว่าปกติ อีกทั้งยังมีเสียงคุยกันเบาๆ ดังมาให้ได้ยิน อีกสิ่งหนึ่งที่ทอยไม่รู้ก็คือ มันมีกลิ่นของการกินอาหาร เสียงกัดเคี้ยว ซึ่งสร้างความสงสัยให้กับกู๊ดแมนเป็นอย่างยิ่ง

สารวัตรโฮมกับสโนวผู้ช่วยสาวของเขากำลังพูดคุยอยู่กับใครอีกคนอย่างไม่ต้องสงสัย น้ำเสียงที่สโนวใช้นั้นฟังดูเป็นการพยายามที่จะปลอบโยน ในขณะที่โฮมไม่ค่อยจะพูดอะไรบ่อยนัก บรรยากาศโดยทั่วไปฟังดูเป็นมิตร ไม่ใช่การจับเป็นตัวประกัน การสอบสวน หรือมีการข่มขู่กันแต่อย่างใด

กู๊ดแมนกับทอยส่งสายตาให้กันด้วยความสงสัย การแอบฟังต่อไปเพื่อให้ได้คำตอบดูเหมือนจะเป็นวิธีการที่ช้าเกินไป กู๊ดแมนจึงขยับมือเพื่อบอกให้ทอยเป็นผู้นำในการบุกเนื่องจากร่างกายของเขาเองก็ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก พร้อมกับบอกให้เขาระวังตัวด้วย ซึ่งกู๊ดแมนเองก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามือสังหารอาจจะถูกทำร้ายด้วยอาหารหรืออย่างไรกัน


Create Date : 24 สิงหาคม 2557
Last Update : 24 สิงหาคม 2557 15:38:39 น. 0 comments
Counter : 578 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.