ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2557
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
23 มิถุนายน 2557
 
All Blogs
 
ทอย (42)

โรงช่างของเฒ่าเฮฟเหลือเพียงความอ้างว้างเงียบงัน สโนวนั่งอยู่อย่างเดียวดายภายในห้องหิน เหม่อมองผ่านช่องประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้ออกสู่ความว่างเปล่า ซึ่งความว่างเปล่าที่ว่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในห้วงคำนึงของเธอเองเท่านั้น สิ่งของต่างๆ มากมายภายนอกนั้นยังคงมีตัวตนอยู่ รวมถึงอากาศที่ไม่อาจมองเห็น มวลของพวกมันยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อปราศจากผู้อื่นมาร่วมรับรู้ ทั้งหมดนั้นก็ราวกับจะกลวงว่าง มีความเป็นจริงลดน้อยลงจากเดิม

'ปล่อยพวกเขาไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ แบบนี้จะดีหรือ' เสียงหนึ่งถามขึ้นภายในหัวของเธอ

'แบบนี้แหละดีแล้ว' อีกเสียงหนึ่งบอก 'ให้มันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น' เสียงนี้ดังอย่างมั่นใจ

'ก็แล้วใครเป็นคนตัดสิน ว่าอย่างที่มันควรจะเป็นนั้น คือเป็นอย่างไร หืม' อีกเสียงถามอย่างหาเรื่อง

“พอที” เธอพึมพำเบาๆ “เงียบกันได้แล้ว ปล่อยให้ฉันได้อยู่สงบๆ บ้าง”

'พวกเราก็แค่เป็นห่วง' อีกเสียงหนึ่งพยายามปลอบโยน 'เพราะเธอเอาแต่ทำตัวแบบนี้ ที่ผ่านมา ในท้ายที่สุดคนอื่นๆ ถึงพากันถอยห่างออกไปเสมอ'

เธอทอดถอนใจ “คนพวกนั้นก็คงไม่ต่างจากเสียงประหลาดที่กำลังถกเถียงกันอยู่ภายในหัวของฉันตอนนี้” เธอค่อนขอด “พวกเขาจะมองดู คิด และตัดสินฉัน เหมือนกับที่พวกเธอทั้งเจ็ดทำเป็นประจำอยู่แล้ว”

“อยู่คนเดียวน่ะดีที่สุด” เธอพูดปิดท้าย แต่ด้วยเสียงที่เจือด้วยความไม่แน่ใจ

อดีตที่ผ่านไป อดีตที่เธอไม่เคยอยากจดจำ อดีตที่เป็นเหมือนกับฝันร้ายซึ่งเธอไม่เคยตื่น และเธอก็ได้แต่นั่งมองดูพวกมันเล่นวนย้อนกลับไปกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับที่เธอกำลังทำอยู่ในตอนนี้ นั่งมองดูทุกสิ่งผ่านทางช่องประตู พร้อมกับซุกตัวซ่อนอยู่ภายในห้องที่ปิดทึบ

'ที่รัก ผมผิดไปแล้ว'

เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร แต่นั่นไม่ใช่เสียงของหนึ่งในคนแคระทั้งเจ็ดในหัวของเธอ เสียงในความคิดนี้เชื่อมโยงไปถึงใบหน้าของใครบางคน หรือที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ใบหน้าเสียทีเดียว เธอบอกไม่ได้แน่ชัดว่าใบหน้าของเขาเป็น หรือเคยเป็นอย่างไร แต่มันยังคงเป็น 'เขา' คนเดิมในห้วงความคิดของเธอเสมอ

'บางที การที่ไม่มีใครสามารถอยู่ใกล้เธอได้นาน อาจเป็นเพราะอย่างนี้ก็เป็นได้' เสียงที่อ่อนโยนนั้นกระซิบบอกเบาๆ

“...เธออาจพูดถูก” เธอลุกขึ้นยืนช้าๆ “แต่แค่มีพวกเธอทั้งเจ็ดอยู่ด้วย ฉันก็รู้สึกแย่เต็มทีแล้ว” ก่อนที่เธอจะบังคับให้ตัวเองก้าวเดินออกจากห้องไป

'เห็นไหมล่ะ มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย' เสียงหนึ่งว่า 'แค่ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเท่านั้น'

“ก็เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่ข้างนอกอีกแล้วน่ะสิ” เธอบอก และโดยไม่ทันระวัง เธอได้เตะเอาบางสิ่งที่ถูกวางทิ้งไว้หน้าประตูให้กระเด็นไป มันกลิ้ง กลิ้ง กลิ้ง และไปหยุดลงที่กำแพงอีกฟากหนึ่ง เธอเห็นสีแดงสดของมัน และรู้ได้ในทันทีว่าคืออะไร หรือใครที่เป็นคนทิ้งมันเอาไว้แบบนี้

“เกรท” เธอพึมพำ อีกเสียงหนึ่งดังประสาน 'เธอเป็นเด็กน่ารัก หัวไวดีทีเดียว' อีกเสียงหนึ่งว่า 'แต่ทำไมจะต้องทำให้มันยุ่งยากแบบนี้ด้วย'

เธอเดินไปหยิบแอปเปิ้ลแดงลูกดังกล่าวขึ้นมาพลิกดู ดมกลิ่น ก่อนเช็ดมันเข้ากับชายเสื้อ 'เดี๋ยว เธอคิดจะทำอะไร' เสียงหนึ่งร้องเตือนอย่างตื่นเต้น “เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว” เธอยกแอปเปิ้ลขึ้นจ่อที่ริมฝีปาก กัดมันคำเล็กๆ ราวกับเป็นการจุมพิตอันแสนหวาน เนื้อของมันกรอบ รสหวานอมเปรี้ยวฉ่ำอยู่ภายในปาก สักครู่หนึ่งเธอจึงยิ้ม พยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนวางแอปเปิ้ลที่เหลือทิ้งไว้บนโต๊ะที่เคยนั่งรับประทานอาหารกันในมื้อก่อน

เธอไม่คิดว่าจะหาเสื้อผ้าที่พอใส่ได้พบ แต่กลับเจอผ้าคลุมผืนใหญ่ที่น่าจะใช้ปกปิดเครื่องแต่งกายที่แปลกตาของเธอภายใต้แสงสนธยา และยามราตรีที่กำลังจะมาถึงได้ไม่ยาก

'ไหนบอกว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้' เสียงที่ดื้อดึงดังขึ้น “เธอก็รู้อยู่แล้วว่าฉันจะทำอะไร” เสียงนั้นเงียบไป เสียงทั้งเจ็ดพากันเงียบไป เธอเดินไปที่ประตูพร้อมกับจัดแจงผ้าคลุมบนร่างให้เข้าที่ เธอเอื้อมมือออกไปสัมผัสกับบานประตูหนาหนัก และมันให้ความรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังออกแรงเพื่อผลักให้ตัวเองถอยกลับเข้าไปภายในมากกว่าที่จะพยายามเปิดมัน

ความสัมพันธ์ในระดับต่างๆ กับผู้คนที่หลากหลายล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความลำบากใจให้กับเธอเสมอมา การที่ต้องคอยประเมินความรู้สึก สงวน หรือจะเปิดเผยท่าที ความคิดของตนได้มากน้อยแค่ไหน แค่รับมือกับคนแคระทั้งเจ็ดภายในหัวของเธอเองก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว การอยู่คนเดียวจึงกลายเป็นทางเลือกสุดท้ายที่แสนหวานสำหรับเธอเสมอมา

เธอได้รู้จักกับคุณนายวิกเซ่นมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มปลีกตัวออกห่าง เธอได้พบกับทอยก่อนหน้านี้เพียงครั้งเดียวเป็นระยะเวลาสั้นๆ และลังเลที่จะทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น ยิ่งกับเหล่าผู้คนในความฝันที่พึ่งได้พบเจอกันเพียงไม่นาน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทำไมคนอื่นๆ ผู้คนส่วนใหญ่ถึงสามารถจัดการกับเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย แล้วทำไมเธอจึงไม่อาจทำแบบนั้นได้บ้าง

'สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือต้องรีบหาตัวคุณครอสให้พบโดยเร็ว' เธอย้ำเตือนตัวเองอีกครั้งก่อนหลับตาลง ออกแรงต้านแรงผลักของบานประตูที่อยู่ภายในจิตใจ ความคิดบางอย่างค่อยๆ เปิดเผยชัดเจนขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“...ฉันขออะไรพวกเธอทั้งเจ็ดอย่างหนึ่งได้ไหม” เธอพูดขึ้นเบาๆ ในขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิท

เธอกระซิบบอกความต้องของตนกับตัวเองเบาๆ '...ได้...' เสียงทั้งเจ็ดนั้นดังขึ้นพร้อมกันอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน 'ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง' แล้วเธอก็ได้เห็นในสิ่งที่ต้องเห็น เธอเชื่อว่าตนเองได้เข้าใจในบางสิ่ง แต่เมื่อพยายามคิดถึง ก็ไม่อาจหาถ้อยคำมาใช้อธิบายได้ เธอออกแรงผลักประตูของโรงช่างให้เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับก้าวเดินออกไป

มันเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้ยินเสียงคนแคระทั้งเจ็ดในหัวของเธอ

แมลงวันตัวหนึ่งบินวนมาเกาะที่รอยกัดบนลูกแอปเปิ้ลซึ่งสโนววางทิ้งไว้บนโต๊ะ น้ำหวานที่ฉ่ำเยิ้มออกมาเป็นมันแวววาวส่องประกายอย่างเชิญชวน มันถูขาหน้าทั้งสองเข้ากับปากก่อนที่จะเริ่มลงมือดูดกินมื้อหวานอันแสนโอชะของมัน

#####

“กำลังตำรวจได้เข้ามาเตรียมพร้อมอยู่ในพื้นที่โดยรอบตัวตึกอย่างที่ท่านสั่งการเรียบร้อยแล้ว ครับผม”

ช่วงเวลาเช้า สาย เที่ยง จนถึงยามบ่ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผู้ว่าลินคอนใช้เวลาทั้งหมดนั้นอยู่ภายในห้องทำงานห้าเหลี่ยม คอยรับทราบข่าวสารที่ถูกส่งเข้ามาจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากในพื้นที่ที่มีผู้คนมารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก สภาพอากาศทั่วไปภายในเมืองนั้นยังคง เย็น และมืดหม่นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากแย่ลงกว่าเดิม

“ขอบใจมาก อ้อ อย่าลืมย้ำกับทุกคนอีกครั้งด้วยว่า ห้ามพกพาอาวุธติดตัว และถ้าไม่จำเป็นถึงที่สุดจริงๆ ก็ห้ามใช้กำลังโดยเด็ดขาด”

“ครับท่าน” นายตำรวจที่กำลังยืนรายงานชิดเท้าจนเกิดเป็นเสียงดัง “...แต่ มันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้หรือครับท่าน” เขาลดเสียงให้เบาลง “สภาพอากาศที่เลวร้ายอาจทำให้ใครหลายคนอึดอัด ถนนที่ถูกปิด กับใครบางคนที่อาจกลับมาฉลองคืนแห่งของขวัญไม่ทันเวลา เรื่องพวกนี้คงทำให้หลายคนไม่พอใจ”

“แต่ในวันพิเศษแบบนี้ มันจะทำให้เกิดเป็นการจราจลขึ้นมาได้เชียวหรือครับท่าน”

ลินคอนพยายามที่จะจดจำชื่อของนายตำรวจผู้นี้เอาไว้ให้แม่น เพื่อไม่เผลอผลักดันให้ไปสู่ตำแหน่งสำคัญในอนาคต 'ถ้ายังพอจะมีอนาคตเหลืออยู่นะ'

ร้านค้า กับเหล่าแม่บ้านจะเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้น ถนนที่ถูกปิดตายไปตั้งแต่เมื่อคืนหมายถึงอาหารสดนานาชนิด รวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ที่ใช้ในการเลี้ยงปากท้องของชาวมหานครซึ่งขนส่งจากแหล่งผลิตที่อยู่ภายนอกเข้าสู่เมืองเป็นขบวนยาวทุกวันไม่เคยหยุดต้องชะงัก ผลกระทบอาจยังไม่เกิดขึ้นในทันทีตราบเท่าที่ยังคงมีสินค้าเก่าเหลืออยู่ แต่ก็คงได้เพียงไม่นาน

เหล่าผู้คนที่รักซึ่งเดินทางกลับมาไม่ทัน ต้องติดอยู่ในระหว่างเส้นทาง หรือไม่รู้ชะตากรรมว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามชายขอบของเมืองจะเริ่มเกิดความสงสัย พวกเขาจะต้องออกไปสำรวจ และได้พบเจอกับสิ่งที่เขียนอยู่ในรายงานที่วางอยู่ตรงหน้า

หิมะที่ทับถมสูงหนาจนราวกับเป็นกำแพงสีขาวล้อมรอบเมืองเอาไว้ พายุแสนเลวร้ายที่ไม่อาจเดินทางฝ่าข้ามไป กับอากาศหนาวจัดที่พร้อมจะแช่แข็งทุกสิ่ง ซึ่งแตกต่างจากสภาพที่เป็นอยู่ภายในมหานคร

'ยังไม่รวมถึงบางคนที่อาจเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วเกิดความสงสัยขึ้นว่าที่มองเห็นอยู่นั้นอาจไม่ใช่เมฆอย่างที่คิด แต่ก็คงนึกไม่ถึงว่าจะพวกมันจะเป็นหิมะที่กองสุมกันอยู่บนนั้น'

ข่าวร้ายต่างๆ จะเริ่มแพร่กระจายออกไป ผู้คนจะออกมาจับกลุ่มซุบซิบนินทาถ่ายทอดความกังวลให้แก่กันและกัน ป้อนพวกมันอย่างกระหายก่อนจะค่อยๆ ขยายใหญ่โตขึ้น ก่อเกิดเป็นความรู้สึกไม่มั่นคง ทั้งหมดนั้นรวมกันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดี รอคอยเวลาที่จะมีใครสักคนที่พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า 'พวกเราต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น' หรือ 'ต้องมีใครบางคนรับผิดชอบในเรื่องทั้งหมดนี้'

นั่นเป็นเวลาที่สายตาทุกคู่จะจับจ้องมองตรงมาที่ชั้นบนสุดของตึกนคราภิวัฒน์แห่งนี้

“ถ้าไม่มีอะไรมันก็ดี แต่ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่า” ลินคอนยิ้ม แต่ก็แค่ริมฝีปากเท่านั้น “แล้วอีกเรื่องที่ผมให้คุณไปจัดเตรียมเรียบร้อยดีไหม”

“ครับผม ทั้งหมดเตรียมพร้อมรออยู่ในห้องโถงแล้วครับ”

“ดี ขอบคุณมาก” อย่างน้อยนายตำรวจผู้นี้ก็ทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเรียบร้อย “เอาล่ะ คุณออกไปได้แล้ว” เขาโบกมือ

“ครับท่าน” ก่อนที่นายตำรวจผู้นี้จะหมุนตัวกลับหลังหันแล้วเดินออกจากห้องไป

เขายกกาแฟที่เย็นชืดขึ้นจิบ ก่อนถือแก้วติดมือพร้อมกับเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ เมื่อมองออกไปในครั้งแรกเงาร่างของท่านหญิงในชุดราตรีสีดำเมื่อคืนนี้ที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำก็ย้อนกลับมาในห้วงคำนึงก่อนจะจางหายราวกับหมอกควัน แล้วเขาก็ได้พบเห็นความเป็นจริง บางสิ่งที่เขาคาดหมาย แต่ไม่อยากให้เกิดขึ้น

ผู้คนกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนท้องถนน และมุ่งหน้าตรงมาทางนี้

คงถึงเวลาที่เขาจะต้องเริ่มวิตกกังวลอย่างจริงจังได้แล้ว เขายกกาแฟขึ้นดื่มจนหมด เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานพร้อมกับเปิดลิ้นชักที่ตามปกติแล้วจะถูกปิดใส่กุญแจไว้เสมอ ขวานประจำตัวของเขานอนสงบนิ่งอย่างรอคอยเจ้าของอยู่ภายในนั้น เขาหยิบมันออกมาถือซึ่งทำให้หวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา สงความ ความโหดร้าย ความเศร้า และทุกสิ่ง

เขาหมุนควงมันด้วยมืออย่างคุ้นเคย ด้ามไม้ที่ครั้งหนึ่งเคยขัดมันด้วยเลือด และน้ำตา น้ำตาของเขา และเลือดของผีดูดเลือด ก่อนที่จะเก็บคืนไว้ในที่เดิม 'วันนี้คงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้า' อาวุธของเขาในตอนนี้ไม่ใช่ขวาน หรือปืนอีกต่อไปแล้ว

ลินคอนก้าวออกมาทางประตูหน้าของตึกนคราภิวัฒน์ เตรียมพร้อมรอรับฝูงชนที่ทยอยเข้ามาตามถนนซึ่งมีการจราจรเบาบางมาตั้งแต่เช้า และเวลานี้ก็ถูกปิดไปโดยปริยาย เขายืนอยู่อย่างมั่นคงบนยกพื้นที่จัดเตรียมไว้แต่แรกบริเวณลานเล็กๆ หน้าตึก เขาเอื้อมมือไปจับอาวุธของตนอย่างมั่นใจพร้อมกับเผยรอยยิ้มกว้างอย่างอบอุ่น ก่อนพูดลงในเครื่องขยายเสียงในมือ

“สวัสดีพี่น้องชาวมหานครที่รักทุกท่าน” น้ำเสียงนั้นถูกทำให้อบอุ่น และจริงใจ “ผมทราบดีว่าทุกท่านต่างกำลังมีเรื่องกังวลอยู่ภายในใจ และตัวผมในฐานะผู้ว่า ก็พร้อมที่จะไขข้อข้องใจให้กับพวกท่านทุกเรื่อง”

เขากวาดตามองไปรอบๆ พยายามสบสายตากับผู้คนให้ได้มากที่สุด ฝูงชนนั้นเป็นสิ่งอันตราย ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่มีใครที่ถือคบไฟ ใช้ถุงเก่าๆ สวมคลุมปกปิดใบหน้า หรือยกชูอาวุธในมือของตนพร้อมกับร้องตะโกนว่า 'ฆ่าเจ้าปีศาจ' 'เผานางแม่มด' หรือแค่ร้องตะโกน 'อาาาาา' อย่างเสียสติ แต่ก็ใช่ว่าจะควบคุมไม่ได้ เขาเริ่มควงขวานในจินตนาการด้วยมือในจินตนาการ พร้อมกับร้องตะโกนปลุกขวัญขึ้นในใจ 'การต่อสู้เริ่มแล้ว' เขาต้องพยายามจับกระแสความรู้สึกของฝูงชน หลังจากนั้นก็ต้องค่อยๆ ปรับมัน เปลี่ยนมันให้พุ่งไปในทิศทางที่เขาต้องการ

“เกิดอะไรข้างนอกกันแน่” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา และอีกหลายเสียงต่างช่วยกันประสาน

“เอาล่ะ เอาล่ะ” เขายกมือขึ้นปรามให้ฝูงชนเบาเสียงลง “อย่างที่หลายท่านอาจได้ทราบกันดีแล้ว รอบๆ มหานครของเรากำลังเกิดพายุหิมะรุนแรงพัดกระหน่ำจนทำให้ทั้งการเดินทาง และการติดต่อสื่อสารทั้งหมดถูกตัดขาด เราคงต้องรอให้สภาพอากาศดีขึ้นเสียก่อน จึงจะสามารถรับทราบถึงสภาพภายนอก และประเมินความเสียหายได้” ความเป็นจริงบางส่วน ส่วนที่เขาไม่อาจปิดบังอีกต่อไป

“หลายท่านในที่นี้อาจรู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องของอาหารการกิน และสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคทั้งหลาย” เขาเห็นหลายคนพยักหน้าตาม “จริงอยู่ที่เมื่อการขนส่งทั้งหมดถูกตัดขาด ย่อมจะไม่มีสินค้าใหม่เข้ามาสู่ตลาด และร้านค้าต่างๆ แต่ภายในมหานครเองก็ยังคงมีสินค้าเหล่านี้ที่กักตุนไว้สำหรับช่วงงานเทศกาลอยู่แล้ว” ความเป็นจริงอีกบางส่วน “ผมคาดว่าสภาพอากาศที่เลวร้ายนี้จะสิ้นสุดลงโดยเร็ว แล้วทุกอย่างก็จะกลับเป็นปกติ” เติมความหวังอีกสักเล็กน้อย

ผู้คนเริ่มหันไปซุบซิบกันเอง “แล้วทำไมในเมืองถึงไม่โดนอะไรเลย” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา “ใช่ ใช่ แล้วท้องฟ้านั่นมันเป็นอะไรกันแน่” อีกเสียงหนึ่งพร้อมกับชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงพึมพำที่ดังขึ้น พร้อมกับมือจำนวนมากที่ยกชูขึ้นติดตามมา

“เอาล่ะ เอาล่ะ” เขาต้องปรามฝูงชนอีกครั้ง “ในเรื่องนี้ ผมเองก็รู้สึกสงสัยไม่แพ้ทุกท่านเช่นกัน” คำโกหกที่จำเป็น ถ้าหากความจริงจะทำให้เกิดความสับสนยิ่งกว่า แต่คำตอบนี้ก็ก่อให้เกิดเสียงพึมพำราวกับฟองคลื่นที่กำลังค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้นเมื่อเข้าใกล้ชายฝั่ง คลื่นเตี้ยๆ เมื่อเห็นอยู่กลางทะเลกำลังจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของมัน

เขาคว้าขวานที่ควงไว้ในจินตนาการมาถือมั่น มือถูกยกขึ้นเพื่อเรียกหาอาวุธลับของเขาที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้วภายในห้องโถง ประตูตึกถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับกองกำลังจำนวนหนึ่งที่ทำให้ฝูงชนเงียบกริบ แต่มันจะกลายเป็นความเงียบอันน่าหวาดหวั่นก่อนที่คลื่นยักษ์จะซัดกวาดทุกสิ่งให้ราบเรียบกลืนทุกอย่างให้หายไปในชั่วพริบตาหรือไม่

กองกำลังดังกล่าวขยับเข้าสู่ตำแหน่งการยืนของตน รอคอยอย่างเป็นระเบียบอยู่ที่ด้านหลังของเขา


Create Date : 23 มิถุนายน 2557
Last Update : 23 มิถุนายน 2557 12:18:41 น. 0 comments
Counter : 528 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.