ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
5 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
ทอย (57)

“...ดูเหมือนคงต้องยอมรับว่ามันจบสิ้นแล้ว และพวกเราเป็นฝ่ายแพ้”

วสันต์มองดูแผ่นหลังของชายชรา ไหล่ทั้งสองของเขาสู่ตกลง ท่ายืนไร้เรี่ยวแรง เสื้อผ้าที่เคยเรียบร้อยอยู่เสมอกลับสกปรกมอมแมม ตามใบหน้า มือ และแขนยังคงมีร่องรอยคราบเลือดแห้งจากบาดแผลขีดข่วน เธอแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้านี้จะเป็นคนเดียวกันกับผู้ว่าการมหานครคนปัจจุบัน เอ เฮช ลินคอน ที่เธอรู้จัก

“ท่านไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ แบบนี้” เธอรำพึง

“คุณวสันต์...” เขายังคงยืนเหม่อมองออกไปยังสายน้ำดำมืดเบื้องหน้า สายน้ำที่ไหลผ่านเข้าสู่เงาของบางสิ่งที่มืดดำยิ่งกว่า สายน้ำที่บอกให้รู้ว่าเวลายังคงเดินอยู่เป็นปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าใด “ผมได้ผ่านสงคราม ผ่านความเลวร้าย ผ่านเรื่องราวในชีวิตมามาก ผมเป็นนักสู้...แต่ผมก็รู้ว่าเมื่อไรที่ควรจะหยุดเสียที”

กู๊ดแมนได้ทำการรายงานสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ท่านผู้ว่าฟังเรียบร้อยแล้ว

กู๊ดแมนผู้ซึ่งในระหว่างที่เกิดสงครามนั้นได้ทำงานบางอย่างที่มากไปกว่าการเป็นนักเขียน มีมนุษย์หมาป่าหลายคนที่ได้เข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายมนุษย์ในการทำสงครามกับผีดูดเลือด ทั้งสองฝ่ายนั้นไม่ค่อยถูกกันมานานแล้ว นานจนไม่มีใครรู้ว่าความบาดหมางนั้นเริ่มขึ้นจากสาเหตุใด และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น จนมีโอกาสได้รู้จัก และทำงานร่วมกันกับลินคอน ก่อนที่จะขอแยกตัวออกมาเมื่อสงครามสิ้นสุดลง แต่ในภายหลังทั้งสองก็ยังคงมีการติดต่อกันอยู่ ซึ่งเป็นเหตุผลให้ท่านผู้ว่าตัดสินใจส่งพวกโฮมให้ไปพบกับเขา

“...ดิฉันเชื่อว่า สารวัตรยังคงปลอดภัยดีอยู่ค่ะ” เธออยากให้น้ำเสียงของตัวเองมีความมั่นใจมากกว่านี้

“ก็อาจเป็นได้ เราไม่มีหลักฐานยืนยันว่าพวกเขาเสียชีวิตไปแล้ว” เขาถอนหายใจ “แต่เราก็ไม่มีหลักฐานว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่เช่นกัน” เขาหันหน้ากลับมาจากสายน้ำ สีหน้าของเขานั้นทำให้เธอรู้สึกหดหู่ มันดูไร้สิ้นความหวังอย่างสิ้นเชิง “ผมไม่ได้อยากที่จะพูดให้คุณต้องเสียใจหรอกนะ คุณวสันต์”

เธอพึ่งรู้ตัวว่าหยาดน้ำตาอุ่นๆ กำลังไหลลงมาตามร่องแก้ม บางทีร่องเล็กๆ พวกนี้อาจวิวัฒนาการขึ้นมาจากความโศกเศร้าของมนุษยชาติที่สะสมกัดกินเรื่อยมาก็เป็นได้

“และถึงแม้พวกเขาจะยังคงมีชีวิตรอดอยู่ สามคนนั้นจะไปทำอะไรสาวน้อยหมวกแดง ผู้ที่สามารถจัดการกับคนเก่าแก่ที่สำคัญมากถึงสองคนได้ นั่นยังไม่รวมถึงเรื่องที่ใครจะเป็นคนพาพวกเขากลับมหานครด้วย”

เธอต้องยอมรับอย่างเจ็บปวดว่าที่เขาพูดออกมานั้นก็มีส่วนถูก เธอเองก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน “...ดิฉันคิดว่าคุณทอยเป็นส่วนหนึ่งในแผนของท่านเสียอีก” เธอสงสัยเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว

เขาพยักหน้ายอมรับ ตามีประกายขึ้นเล็กน้อย “นักฆ่าหนุ่มคนนั้น เคย เป็นส่วนหนึ่งในแผนของผมจริง ผมคิดว่าความสามารถเฉพาะตัวของเขาอาจจะเป็นประโยชน์ให้กับงานของพวกเราได้บ้าง อันที่จริงแล้วผมสนใจในตัวของแจ็คจอบเสียบ ปู่ของเขามากกว่า ผมได้ข่าวในทางลับมาว่านักฆ่าคนนั้นได้เข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ภายในมหานครได้สักพักแล้ว” เพียงแต่ไม่มีข้อมูลว่าจอมเสียบรับทำงานอะไร โดยเฉพาะไม่ได้มีเป้าหมายเป็นบุคคลสำคัญ อย่างเช่น ผู้ว่าการมหานคร เป็นต้น จึงยังไม่มีคำสั่งให้ทางตำรวจเคลื่อนไหวอะไร
”แต่ถึงแจ็คคนนั้นจะไปกับพวกเขาจริง ก็คงจะทำอะไรได้ไม่มากนัก”

จากในเงามืด ท่านหญิงเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เงียบเงียบ โดยไม่ใส่ใจกับมนุษย์หมาป่าทั้งสองที่ทำท่าว่ากำลังคุมเชิงนางอยู่ นางไม่มีปัญหาอะไรกับพวกเขา ตราบเท่าที่พวกเขายังคงไม่สร้างปัญหาให้กับนาง นางกำลังรอ รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่นางลงมือเคลื่อนไหวทำบางสิ่งโดยที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร

นางกลับมาจากโลกในความฝันที่เป็นเหมือนกับอดีตที่เคยผ่านพ้นไปแล้ว กลับมาจากโอกาสครั้งที่สองที่จะได้แก้ไขชีวิตของตนเอง ได้ตัดสินใจเลือกทางเดินใหม่อีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก เพราะชีวิตไม่ใช่ข้อสอบที่มีคำตอบให้เลือกเพียงแค่ถูกกับผิด มันมีคำตอบซ่อนอยู่ในแทบทุกที่ ทุกเวลา ในทุกจังหวะของลมหายใจเข้าออก มากมายมหาศาลไม่รู้จบ

อันที่จริงแล้ว ตัวชีวิตเองก็ไม่ใช่คำถามด้วยซ้ำไป

นางกลับมาพบเจอกับเพื่อนเก่า ในมหานครแห่งเดิม ในสภาพที่ไม่คล้ายกับที่นางเคยรู้จัก เขาหลงทางเดียวดายอยู่ภายในเมืองที่ถูกถมทับด้วยหิมะน้ำแข็ง ความหนาวเย็น ความวุ่นวาย และความหวาดกลัว ติดอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ตัวหมากทุกตัว หรือแม้แต่กระดานเองกำลังจะถูกลบให้หายไปทั้งหมด

'ทำไมฉันถึงพาเขามายังสถานที่แห่งนี้'

นางเงยหน้าขึ้นมองสิ่งก่อสร้างที่อยู่เบื้องบนราวกับไม่เคยพบเห็นสิ่งที่ใหญ่โตนี้มาก่อน ตัวสะพานลอนดอนที่กำลังทอดเงาดำมืดของมันลงมาสู่สายน้ำเบื้องล่าง มันไม่ใช่สะพานลอนดอนแห่งเดียวกับที่นางพึ่งจากมา สะพานเก่าที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากด้วยไม้ หิน และหยาดเหงื่อแรงงานแห่งนั้นได้ถูกกาลเวลา ความเจริญ และความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นไม่รู้จบของมนุษย์ทุบทำลายลง ก่อนจะกลายมาเป็นสะพานลอนดอนใหม่ที่กว้างขึ้น แข็งแรงขึ้น แต่สุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้นการที่ต้องกลับมาเป็นสะพานเก่าอีกครั้ง เมื่อมีสะพานแห่งอื่นๆ ถูกสร้างเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของเมือง

'แล้วทำไมเธอคนนี้ถึงได้มาปรากฎตัวขึ้นที่นี่ด้วย' นางหมายถึงวสันต์ ผู้หญิงคนนี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้นางนึกไปถึงลูกสาวของเกรเทล คนที่นางพึ่งได้พบเจอ และบอกลากันเมื่อครู่นี้เอง โลกนี้อาจเต็มไปด้วยความบังเอิญ เพียงแต่นางไม่เชื่อในสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญนี้สักเท่าไรนัก

“เวลานี้ภายในมหานครเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ยังคงมีคนบาดเจ็บจากน้ำแข็งที่ถล่มลงมารอคอยความช่วยเหลือ มีกลุ่มคนที่เริ่มบ้าคลั่งไปกับคำว่าวันสิ้นโลก มีอีกหลายกลุ่มที่เริ่มกักตุนเสบียงอาหาร ร้านค้าหลายแห่งถูกปล้น รื้อ ทำลาย อีกหลายคนที่ต้องขังตัวเองกับคนที่รักไว้ในบ้านด้วยความหวาดกลัว และยังมีผู้คนที่ทำอะไรแปลกๆ อีกมาก พวกเขาทำในสิ่งที่ผมไม่มีวันคิดว่าใครจะทำได้ภายในเมืองของผมแห่งนี้”

น่าแปลกที่ดูเหมือนมันจะมีความโกรธมากว่าความเศร้าปะปนอยู่ในคำพูดของเขา

'อย่าโกรธไปเลยเอ็บที่รัก'

เสียงของหญิงชราที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคยอย่างประหลาดดังก้องขึ้นภายในหัวของนาง มันคล้าย แต่ก็ไม่ใช่เสียงกระซิบเสียทีเดียว และเมื่อดูจากปฏิกิริยาของทุกคนในที่นี้แล้ว นางคิดว่าทั้งหมดก็คงได้ยินเสียงนี้เช่นเดียวกัน

'ดูเหมือนว่าเหตุผลของความบังเอิญในครั้งนี้กำลังจะเปิดเผยตัวตนออกมาในไม่ช้าแล้ว'

#####

ในความว่างเปล่าที่ไม่ใช่ความเปล่าว่าง มันไม่ใช่ทั้งความมืด ไม่ใช่ทั้งสูญญากาศ ไม่ใช่ทั้งอวกาศ ไม่ใช่อะไรที่จะหาคำมาอธิบายได้ง่ายๆ ทั้งสามคนไม่ได้ยืน ลอย หรือทำกิริยาใดๆ ที่อ้างอิงได้กับวัตถุสิ่งอื่น เพราะมันไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ทิศทาง แรงโน้มถ่วง หรือแม่แต่ เวลา พวกเขาเพียงแค่คงรูปอยู่ในความไม่มีนั้นได้อย่างน่าประหลาด

ทอยยังคงจับมือของโฮมกับสโนวเอาไว้แน่น ราวกับว่ามันเป็นเพียงสองสิ่งในจักรวาลแห่งนี้ที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นแบบนั้น เขาได้ ก้าวถอยหลัง อีกครั้งก่อนที่จักรวาลความฝันในไกอาเน็ตจะล่มสลายกลายเป็นเพียงตัวเลข เป็นลำดับ ไม่เป็นสิ่งใดทั้งสิ้น จนกระทั่งหายไปราวกับไม่เคยมี มันไม่ได้หดตัวลง หรือเกิดการระเบิดซ้ำอีกครั้ง มันแค่หายไปเท่านั้น

แต่ทั้งสามยังคงอยู่ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าคือตอนไหน ดูเหมือนสถานที่ที่ไม่ใช่สถานที่แห่งนี้จะยังไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งเวลา
มันเป็นความว่างเปล่าที่กำลังเฝ้ารอ รอให้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น

“...มันเกิดอะไรขึ้น” โฮมถาม มือที่ถือปืนอยู่ค่อยๆ ลดลงช้าๆ ทอยสามารถรับรู้ได้ถึงความกลัวจากร่างของเขา “ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปไหนหมด”

“ผมไม่รู้” ทอยตอบไปตามตรง “แต่ห้ามพวกคุณปัดมือของผมออกอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เข้าใจไหมครับ” เขาบีบแขนของทั้งสองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

“ฉันเข้าใจ” สโนวตอบพร้อมกับยกแขนของตัวเองขึ้นเพื่อที่จะสามารถใช้มือของเธอจับแขนของเขาไว้ได้เช่นกัน “แต่ฉันคิดว่าจับกันไว้แบบนี้ดีกว่า” เธอมองตาเขา และมันสื่อความหมายบางอย่างที่เขาพยักหน้าว่าเข้าใจเช่นกัน

“พวกเธอทำได้อย่างไรกัน”

สาวน้อยหมวกแดงเอ่ยถาม เธออยู่ต่อหน้าทั้งสาม ราวกับอยู่ตรงนั้นมาตลอด ปืนในมือของโฮมขยับโดยที่เขาแทบจะไม่ต้องคิด ระยะเพียงแค่นี้เขาไม่จำเป็นต้องเล็งด้วยซ้ำ ไกถูกเหนี่ยว และ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีดสั้นที่อยู่ภายในกระบอกโลหะไม่ยอมดีดพุ่งออกมา บางทีกลไกของมันอาจขัดข้อง โฮมลองเขย่ามือเบาๆ แต่ก็ยังไม่มีอะไร เขาไม่กล้าที่จะยกมันขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบในเวลาเช่นนี้

ทอยใช้มือข้างที่สโนวจับแขนของเขาเอาไว้แล้วเพื่อล้วงเอาเหรียญออกมา เขาลองดีดมันขึ้น และมันก็ลอยออกไป ลอยห่างออกไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาคาดว่ากลไกส่วนเคลื่อนไหวของมันคงทำงานไปตามแรงจากนิ้วของโฮม แต่สปริงหลักภายในนั้นอาจไม่ยอมดีดตัวออกอย่างที่ควรจะเป็น เพราะมันไม่รู้ว่าต้องทำตัวแบบนั้น บางที สถานที่ ที่ยังไม่มีกฎแห่งนี้อาจได้รับผลกระทบบางอย่างจากการมีอยู่ของพวกเขา หัวใจของทุกคนยังคงเต้นอยู่ เขาสามารถสัมผัสได้ ทั้งหมดยังคงหายใจ แต่หายใจสิ่งใดเข้าไป และหายใจเอาสิ่งใดออกมานั้นเป็นเรื่องที่เกินจะคาดคิด อะไรที่ใช้ได้ อะไรที่ใช้ไม่ได้กันแน่

มันน่าปวดหัว จนเขาต้องพยายามเลิกคิด แล้วตั้งสมาธิเพื่อรับมือกับอันตรายที่อยู่ตรงหน้า

“ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ยอมหายไป จนกว่าการเริ่มต้นจะมาถึงอีกครั้ง“ น้ำเสียงของเธอมีความสงสัย และทอยรู้สึกดีที่มันยังมีความรู้สึกอยู่ภายในนั้น เพราะมันแสดงถึงด้านที่คล้ายกับมนุษย์ออกมา และมันจะแย่มากกว่าถ้าเธอไม่มีมันอยู่เลย

“ลองคิดเรื่องนี้อีกทีดีไหม” เสียงของชายชราถามขึ้นจากทางด้านหลังของสาวน้อยหมวกแดง

“...คุณครอส...” สโนวอุทานออกมาอย่างดีใจ

ที่ด้านหลังของสาวน้อยหมวกแดงนั้นไม่ได้มีเพียงคุณครอสในชุดแดงตัวเก่ง กับหมวกสีแดงที่เข้าชุดกันสำหรับใส่ในคืนแห่งของขวัญเท่านั้น แต่ยังมีแซนแมนอยู่ด้วยอีกคน แซนแมนผู้พ่อที่ยืนอยู่ด้วยใบหน้าเศร้า เสื้อผ้าของเขายังคงเป็นชุดเดิมเหมือนที่ทั้งหมดยังจำได้ เพียงแต่มันได้กลายเป็นเสื้อผ้าที่ดูธรรมดา ไม่ได้ถักทอขึ้นจากเม็ดทรายสีทอง ดังนั้นอาจหมายความว่าตัวเขาไม่ได้เป็นแซนแมนอีกต่อไปแล้ว

“พอทีเถอะครอส ฉันตัดสินใจไปแล้ว”

เธอทำท่าราวกับว่าคุณครอสนั้นเป็นเพียงเด็กเล็กๆ ที่พูดไม่รู้เรื่องคนหนึ่ง และเธอไม่ได้เรียกเขาว่า คุณ เสียด้วยซ้ำ

“ว่าแต่พวกเจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่” เธอมองไปที่แต่ละคน ก่อนจะมาหยุดลงที่ทอย เขาพยายามจินตนาการถึงทุกสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ภายใต้แววตาแบบนั้น เขากำลังรอคอยโอกาสที่จะต้องมาถึง โอกาสที่มีเพียงแต่ผู้ที่ทอดทิ้งมันไปเองเท่านั้น จึงจะไม่มีเหลืออยู่

“เจ้าพาใครมาด้วย” สาวน้อยหมวกแดงเอ่ยถาม และทอยคิดว่ามันเจาะจงมาที่ตัวเขา

“สารวัตรโฮม กับคุณสโนว เลขาของคุณครอสครับ”

เธอส่ายหัว “ฉันไม่ได้หมายถึงสองคนนี้ แต่หมายถึงคนที่แอบอยู่ทางด้านหลังของเจ้าต่างหาก”

ขนบนหลังของเขาแทบลุกขึ้นพร้อมกัน ความรู้สึกที่ว่าตัวเองได้ถูกแอบติดตามมาตั้งแต่ในงานฉลองคืนกลางฤดูร้อนของหมู่บ้านแห่งนั้นเข้มข้นจนอาจสามารถก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นได้ภายในสถานที่แบบนี้ สาวน้อยหมวกแดงใกล้เข้ามา และพุ่งความสนใจของเธอไปที่บางสิ่งนั้น

'โอกาสมาถึงแล้ว'

เขาไม่ใช่ปู่แจ็คจอมเสียบ เขาไม่ใช่มือสังหารที่ใช้มีดได้เก่งกาจที่สุด และไม่มีวันจะเป็นได้ เขาปล่อยมือออกจากแขนของโสนวอีกครั้ง ตอนนี้เธอจึงเป็นฝ่ายที่จับแขนของเขาเอาไว้แทน และมันเคลื่อนที่ไปตามความต้องการของเขาได้ราวกับเป็นแขนของเขาเพียงคนเดียว

มีดสั้นเล่มนี้ที่ปู่เป็นคนมอบไว้ให้กับเขา 'หลานรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ปู่รอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้' เพราะปู่เก่งยิ่งกว่าใคร เขาเคยตอบไปอย่างนั้น และแจ็คจอมเสียบก็หัวเราะร่า มันคงเป็นเสียงหัวเราะที่อาจไม่มีใครอยากได้ยิน แต่เขาชอบมัน 'นั่นก็ถูก ปู่ของหลานเก่ง' ปู่หัวเราะอีก 'แต่มันยังมีอีกอย่างหนึ่งรู้ไหม'

สาวน้อยหมวกแดงเหลือบมองเขาอย่างไม่แยแส มีดสั้นเล่มนั้นไม่มีวันมาถึงตัวเธอได้

'ทุกคนคิดแบบนั้นเสมอ' ปู่บอกในขณะที่สอนให้เขาทำสิ่งหนึ่ง สิ่งซึ่งเขาจำเป็นต้องฝึกฝนต่อมาอีกหลายปี และยังคงห่างไกลจากสิ่งที่ปู่แสดงให้เขาดูในตอนนั้น 'และมันจะกลายเป็นความสงสัยครั้งสุดท้ายของพวกเขา'

'เหรียญลอยออกไปได้' ทอยได้ทดลองดูก่อนแล้ว

“ไม่” คุณครอสร้องลั่น เมื่อได้เห็นมีดสั้นเล่มนั้นพุ่งออกมาจากมือของทอย ที่จริงแล้วเขาไม่เห็น ไม่มีใครได้เห็น มันเคยอยู่ในมือของเขา และตอนนี้มันปักอยู่ตรงกลางหน้าอกของสาวน้อยหมวกแดงโดยโผล่ให้เห็นเพียงด้ามสีดำเรียบๆ ไร้ลวดลาย เธอก้มมองมันด้วยความสงสัย ก่อนที่จะล้มลงไปบนความว่างเปล่า

#####

ทศที่กำลังพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อจะทำลายรูปสลักของเทพีนิรนามบนผนังของเมฆาปราสาทลงให้ได้นั้นต้องถอยห่างออกมาเมื่อเกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นกับมัน

นักสำรวจ แอนตี้ ไจแอน แจ็ค ที่ถูกจับมัดเอาไว้ในถุงนอน หมดกำลังที่จะต่อต้านกับความต้องการในตัวเขาที่จะขานชื่อของเทพีที่พบออกมา ปากของเขาขยับ เสียงของเขาดังขึ้น และมันดังราวกับจะสามารถได้ยินไปจนทั่วทุกจักรวาล ถ้ามันจะมีจักรวาลอยู่มากกว่าหนึ่ง

“อัลฟา นางคือ อัลฟา”


Create Date : 05 ตุลาคม 2557
Last Update : 5 ตุลาคม 2557 12:07:40 น. 0 comments
Counter : 491 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.