นิยายพลางอักขรา
[พลางอักขรา-บทที่ ๑ เจ้ากระดังงา] @โอมตัสสัต. ....อ้า โอ โอม .... องค์พระปกปิ่นจันทร์ผ่านภพ ข้อยข้าขอนบกรพนมบังคมถวาย ให้ท้าวองค์ปกเกตุกำจัดภัยให้ข้าองค์หวังใดๆได้ทุกประการ ให้ข้าองค์ประสบสุขเกษม ให้ข้าองค์ปราบเปรมมโนสนาน ให้เภทภัยห่างร้างนมัสการให้ข้าครามในบาทบารมีองค์ ..แลด้วยการ ที่ข้าฯ ขอ ข้าฯรู้ที่รอเพียงประสงค์ เหตุด้วยข้าจงรักภัคในองค์พรประสงค์ข้าจักได้ ดั่งคำพร เฉกทั่วภัทรดรที่มโนนับน้อมในองค์ นมัสเต. ...กว่าลิ่มสลักจักจารลงครบทุกตัวอักษรคนที่บรรจงจารก็ทานแล้วทานอีก ...ยิ้มละไมฉาบบนหน้าคมยิ้มยกเพียงมุมปากหากแต่นั้นก็แปลได้ว่า พอใจมากมาย ...ปลายขนม้าติดด้ามไม้ที่นายห้างจีนนำมาฝากไว้พร้อมหมึกแท่งฝนลงบนทั่งหินแท่งน้อยอย่างเบามือ น้ำฝนที่ชโลมพรมจากปลายนิ้วบรรจงแต้มแล้วปาดลงบนใบลานที่จารอักษร... . . . "ปากนาท่าน....ปากจักจรดหมึกอีกนานไหมนั่น...ป่านนี้หลวงบดินทร์ท่านคงรี่ตวัดหมึก วิ่งโร่ไปอวดโคลงท่านอาลักษณ์เสียก่อนปากนาจักแต่งบทวันทาเสียแล้วกระมัง" ริมฝีปากสดเอื้อนเอ่ยคำแล้วใช้วงแขนกลมงามโอบไหล่กว้างผิวเนียนดั่งงาช้างทรง หากวงแขนอ่อนอ้อนด้วยโขนดัด ... "จะครุวันทา ก็ กอขอกอกาเพียงนั้นรึจักได้ไม่เสียเพลา หาเหตุมาแต่งวันทาใหม่เสียเยี่ยงนี้ครานี้คงมิต้องถึงบทวันทา ปากนาคงจักได้พ่ายหลวงบดินทร์ท่านสมใจ" ปากนางยังคงเอ่ยกระเซ้าข้างนวลปรางค์...ริมฝีปากเจ้าละมัยยิ้มเยี่ยงภมรโผดอม...บุษบา.. "จะมกร หรือ เหรา มันก็ต้องดูที่หัวมิใช่รึ นาง ...โคลง ฉันจักให้เป็นเพียงธุลีเถ้าเผาเต่าเผาฟางคงมิได้ดอก ..อักษรที่จารทุกตัวล้วนมีครู ครุท่านจักว่าได้ว่าใช้กอขอกอกาเพียงสักแต่ว่าใช้" "สักแต่ว่า ใช้....ยังดีกว่ามัวแต่ตรองแล้วมิลองใช้นะเจ้าคะ ปากนาท่านก็มัวแต่พิรี้พิไรหลวงบดินทร์ท่านป่านนี้คงได้ถวายโคลงท่านอาลักษณ์เสียจนจบบทแล้วกระมัง " ถ้อยนางยังคงยิ้มแหย่...ดวงตาพราว...ปลายนิ้วเจ้าเพียงลูบต้องไหล่กว้างปากนาท่านยิ้มบางหากมิว่ากระไรนอกจากใช้ถ้อย หยุดคำหยอกแล้วพลางเตือนอย่างปราณี.. "...ปากคอช่างเจรจา เพียงนี้หรอกกระมังชบา...บ่าวบ้านเหนือบ้านใต้ถึงได้ส่ายหัวระอายามเอ่ยชื่อนาง.." "จักบ่าวบ้านไหน ก็เทียบมิได้กับปากนาดอกเจ้าค่ะ...ชบาให้สัตย์สาบานนะเจ้าคะ...หากชาตินี้ชบามิมีเจ้าชีวิตเป็นปากนา ...ชบาจักมิเหลียวมองชายใด..." ปลายนิ้วเรียววางด้ามพู่กันไม้ สดับถ้อยนางที่ตรงดังสายดิ่ง เสียงทุ้มหัวเราะเบาในลำคอรอยยิ้มจากริมฝีปากกว้างส่งยิ้มบางให้นางรำผู้เป็นเสมือนน้องแก้ว...รัก..มี ให้นางแก้วนามชบามากเสียยิ่งกว่าน้องสาว..เพราะตั้งแต่เสียบิดามารดาไป ญาติสายตรงก็คงเหลือเพียงนางแม้จักมิได้หมั้นหมายไว้โดยญาติผู้ใหญ่ หากแต่ชบาเจ้าก็เฉกคู่คิดที่บิดาเหลือทิ้งไว้ให้ในสายวงค์.. ..กระนั้น ปากนาเจ้า ก็มิกล้าตัดใจให้ชบาหมั้นหมายกับหัวกองซุ้มไหน ด้วยมองสาวชบาเจ้าก็กล้าเกินไปจนใครต่อใครเขาต่างกลัวใจและปากนาง...แต่กระนั้นปากนาท่านก็ยังเอ็นดู ญาติที่เรียกได้ว่า ใกล้ที่สุดในสายตระกูล แต่แม้เอ็นดูเพียงใด ..สายตาดุก็ยังปรามปราบฝีปากกล้าอยู่ในทีให้สำนึกว่า นารี หาควรได้ต่อปากต่อคำกับ เพศภารดา . . . ..จนตะวันจวนจักอ้อมนา ปลายด้ามพู่กันไม้ถึงได้วางลงข้างทั่งหิน... นวลนางฝีปากกล้า รอจนล้าและจ่อมจมทะเลฝัน...สายลมหนาวโบกพัดผ่านชานเรือน ปากเจ้าลุกยืนแล้วเลือกผ้าไหมเนื้อนิ่มมาคลุมเจ้าเนื้อนวล... ปากเจ้าปลายสายตาให้โขนบ้านนามอีหย่ะหนี มาดูแลพัดวีตนที่รอจนหลับ... ก่อนเสียงกระดิ่งจะดังตามจังหวะลงเท้าก้าวย่างของปากนา ..เห็นอีหย่ะหนีรีบปรี่มาดูนายมัน ปากท่านก็หันหลังเรียกบ่าวนายท่าให้พาไปส่งยังเรือนอาลักษณ์ท่าน... *** ร่างใหญ่เอนกายแล้วเคาะปลายนิ้วกับพื้นตั่ง .... หลวงบดินทร์ มวนยาเส้นแล้วจุดมันด้วยแสงเทียน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันปลายนิ้วแกร่งเคาะตอกพื้นตั่งดั่งมิสบอารมณ์ แผ่นจารวางอยู่หน้านายอาลักษณ์หากแต่มิคลี่เปิดอวดอักษรมาถึงก่อนก็เพียงนั้น เมื่อมิเห็นแม้เงาปากนา หลวงบดินทร์ ก็หาได้สนใจสิ่งใด ..... . . . เรือนอาลักษณ์ยังแทบมิอยากเหยียบหากมิมีเจ้าปากนาหน้าคม มาก้มๆเงยๆเขียนอักษรถวาย... รอจนจวนจักบ้า...เมื่อเสียงฝีพายกระทบกาบเรือดังมาจากท่าน้ำหลวงบดินทร์ ถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ลุกพรวดพราดกระโดดข้ามชานลงไปรับปากนาเองที่หัวเรือน "ต้องรอให้ตะวันดับดอกกระนั้นฤา ถึงจักได้ออกจากเรือน...ชะรอยคงรอให้ผีป่าผีป่วงมันเลียหน้าเลียตาให้ผ่องพรรณกระมั่งถึงจักออกจากเรือนได้ ปากนา..." ปากกล่าววาจาเชือดเฉือนหากแต่มือแกร่งกลับ ยื้อหัวเรือแลส่งให้คนเพิ่งมาจับยุด อ้ายบ่าวเจ้าท่าเสียก็กระไร ชักช้ามิทันใจ จนหลวงบดินทร์แทบจักโอบเอวอุ้มปากนาขึ้นจากเรือเสียหากมิเกรงบ่าวไพร่มันนินทา ปากนาหน้าคม... "อาลักษณ์ท่านรออยู่ ..." กระซิบบอกตรงลำคอระหง มวยผมไรผมใบหน้าคมล้วนแต่หอมกลิ่นกระดังงา...กลิ่นเฉพาะของปากนายิ้มยาก...หากกระนั้นก็ยังหน้ามอง.... *** เทียนแท่งจุดสว่างไปทั่วเรือน โขนเถื่อนแลโขนบ้านต่างระวังนั่งนิ่งแลสะดุ้งไหวยามยุงแม่ไก่กัดทะลุผิวให้เจ็บคัน มิได้ตบตีด้วยสติต่างหลงเคลิ้มเสียงนุ่มที่ร่ายโคลง... ก็ขนาดอาลักษณ์เฒ่าท่านเองยังเอนกายพักสายตาสดับฟังเสียงเสนาะ พวกโขนเองฤาจักทนหูอยู่ได้ ปลายเปลวเทียนส่องสว่างเพียงหน้านวล ปลายนิ้วกรีดผ่านจารอักษรแล้วอ่านโคลงริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มกับบทโคลง เพียงเท่านั้น หลวงบดินทร์ท่านก็แทบจักตกตาย.... มิเสียแรงที่เกณฑ์ ขรัวนายจากกุฎีมาชี้ทางบทโคลงไหนจักเพราะก็เพราะไป หากบทใดมิได้เสียงปากนา บทนั้นต่อให้เทวาแต่งหลวงบดินทร์ ก็บ่อยากจักยินยล.... *** เกือบจักสองยาม อาลักษณ์ท่านถึงให้ทานรางวัลพับผ้าไหมเนื้อเนียนให้หลวงบดินทร์ เจ้าของโคลงส่วนแก่นกฤษณาจากเมืองท่าที่รับไว้เป็นบรรณาการ ใส่ในกลักผูกผ้าแดงส่งให้ปากนา เจ้าของเสียงเสนาะและบทโคลงอีกบทที่ยังมิเปิดอ่านคลายผูกรางวัลไว้ก่อนจักสดับโคลงจริง จนได้เพลาอาลักษณ์ท่านแจ้งแล้วว่าจักเอนหลังจึงมิได้ส่ง หลวงบดินทร์ มุ่งหน้าเดินดิ่งลงท่าแล้วสั่งให้นายท่าปลดเรือรับปากนาไปส่งเรือน ... มือใหญ่ยุดไหล่กว้างไว้เพียงสัมผัสแต่อายเย็น ...เพียงนั้นก็ทันคิดผ้าไหมผืนงามสะบัดคลายแล้วห่มไหล่ให้ปากนา... กลิ่นกระดังงาโชยลมมาพร้อมสีหน้าสงสัย ...ปากอิ่มจะขยับถามหลวงบดินทร์กลับเร่งให้บ่าวประจำท่า เอาเรือเข้ามาเทียบเสียก่อน . . . ร่างใหญ่มองเรือลำน้อยค่อยๆพายจนหายลับไปจากตา...สองขาถึงได้พาร่างกำยำเดินลัดพวกโขนเถื่อนกลับไปเรือนนอน... . . . เสียงหริ่งเรไรระงมไปทั่ว ลองเป็นเมื่อค่ำก่อน หลวงบดินทร์ คงสั่งบ่าวต้มน้ำร้อนแล้วสาดเทเพราะรำคาญหากแต่กาลผ่านมาเพลานี้ แม้เสียงไอ้ด่างข้างเรือน หลวงบดินทร์ ก็ยังว่ามันปากเปราะปากเพราะเสียกระไร... "กลิ่นใดจักหอมเท่า กลิ่นเจ้า กระดังงา....."
Create Date : 09 ธันวาคม 2557 |
Last Update : 9 ธันวาคม 2557 18:11:58 น. |
|
5 comments
|
Counter : 559 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ไอแอม โมเอะ IP: 171.96.244.59 วันที่: 9 ธันวาคม 2557 เวลา:18:52:01 น. |
|
|
|
โดย: Pimpim IP: 125.25.69.187 วันที่: 9 ธันวาคม 2557 เวลา:19:51:16 น. |
|
|
|
โดย: ขนิษฐา IP: 49.230.145.122 วันที่: 9 ธันวาคม 2557 เวลา:20:13:14 น. |
|
|
|
โดย: Ben_W. IP: 183.89.95.47 วันที่: 9 ธันวาคม 2557 เวลา:20:34:52 น. |
|
|
|
โดย: พี่หมูน้อย IP: 118.172.169.207 วันที่: 10 ธันวาคม 2557 เวลา:1:20:53 น. |
|
|
|
| |
|
|