ตาแห้ง
ตาแห้ง
บล็อกวันนี้เหมาะกับคนหลักสี่..
แต่ก็น่าสนใจหากใครคิดจะพริ๊นท์ไปให้คุณพ่อคุณแม่ ญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ และครูบาอาจารย์ได้อ่านบ้าง
เมื่อถึงวัยเลขสี่นำ วงการแพทย์จะถือว่าร่างกายของคนเรากำลังก้าวพ้นจุดที่เจริญที่สุดของร่างกาย ..นับต่อจากนี้ไปหากคนเราจะรับประทานอะไรเข้าไป จะมีคุณภาพดีแค่ไหน อย่างมากก็จะเข้าไปเพื่อการบำรุงรักษาซ่อมแซมและชะลอส่วนต่างๆของร่างกายให้สึกหรอช้าลงเท่านั้น มีน้อยมากที่จะเข้าไปเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆให้กับร่างกาย
ที่ยังจะพอมีใหม่อยู่บ้าง ก็พวกเม็ดเลือด น้ำย่อย น้ำหล่อลื่น เส้นผม เป็นต้น
พูดถึงเส้นผม นับวันก็จะหลุดร่วงหรือเปลี่ยนเป็นสีขาว ..เรื่องการได้ยินก็นับวันจะเสื่อมถอยลง จะฟังอะไรก็ได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าตอนหนุ่มสาว ..เรื่องสายตานับวันก็จะมองใกล้ๆเริ่มจะโฟกัสไม่ชัดเหมือนเดิม กลายเป็นสายตายาวขึ้น ..ส่วนเรื่องฟัน นับวันก็จะอ่อนแอโยกคลอนและหลุดร่วง ต้องเสริมด้วยฟันปลอม ..สำหรับผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใต้ดวงตา ใต้คาง บนหลังมือ หรือบริเวณก้น นับวันก็จะหย่อนคล้อย ไม่ค่อยสปริงตัวกลับ ไม่ค่อยปึ๋งปั๋งฟิตดังเดิมแบบคนหนุ่มสาว
มันเป็นตามวัยน่ะ ไม่ได้ผิดปกติอะไร
เมื่อพูดถึงผิวหนังที่ค่อยๆร่วงโรยลงไป ..หากใครเคยเห็นภาพทารกในครรภ์มารดาตอนที่มีอายุอยู่ในครรภ์ประมาณ 5 6 เดือน คงจะเคยเห็นว่าบริเวณดวงตาของทารกยังเป็นเนื้อผิวหนังที่ปิดอยู่ และกำลังพัฒนาการไปเป็นดวงตา ซึ่งนั่นก็คือดวงตาพัฒนามาจากเซลล์แบบเดียวกับผิวหนัง
ฉะนั้นหากมองว่าผิวหนังของเราเริ่มหย่อนไม่ฟิตและไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ก็ขอให้เชื่อเถิดว่า ดวงตาของเราก็ไม่ได้สมบูรณ์ดีพร้อมเหมือนเดิมเช่นกัน
อาการตาแห้ง จึงเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติของวัย เมื่อวัยของคนเราล่วงเข้าถึงเลข 40 ..ก็ขออย่าได้ตกใจ เพียงแต่เราจะหาวิธีชะลอสุขภาพที่ดีเอาไว้นานๆ และอยู่ร่วมกับสภาพตาแห้งอย่างคนมีความสุข
ร่างกายของคนปกติทุกคนจะมีน้ำตาธรรมชาติ ซึ่งผลิตขึ้นมาจากต่อมน้ำตาที่อยู่เหนือบริเวณหัวคิ้วทั้งสองข้าง น้ำตาธรรมชาติจะถูกผลิตออกมาตลอดเวลา เพื่อมีหน้าที่สำคัญต่อร่างกาย คือ
1. ให้ความชุ่มชื้นต่อกระจกตาและเยื่อบุตาขาว
2. ปรับสภาพของกระจกตาให้มีความเรียบ เพื่อให้แสงผ่านได้สะดวก การมองเห็นจะได้ชัดเจน
3. ให้สารอาหารและออกซิเจนต่อกระจกตา รวมทั้งขจัดของเสียออกจากกระจกตา
4. มีสารฆ่าเชื้ออย่างอ่อนๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่กระจกตา และช่วยล้างสิ่งสกปรกออกจากดวงตา เช่น เวลาผงเข้าตา
น้ำตาธรรมชาติจึงมีความสำคัญอย่างมาก และจะต้องผลิตออกมาตลอดเวลา
น้ำตาธรรมชาติ เป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายที่หล่อเลี้ยงลูกตาให้ชุ่มชื้นเปรียบเสมือนกับเครื่องจักรที่จะทำงานได้ดีก็ต้องมีน้ำมันหล่อลื่นเพียงพอ น้ำตาธรรมชาติของคนเราจะเห็นเป็นน้ำใสๆหล่อเลี้ยงลูกตา เราจะมองว่าใครมีน้ำตามากหรือน้อยโดยการสังเกตความแวววาวของลูกตา ทั้งนี้ในเด็กหรือในหนุ่มสาว ดวงตาจะแวววาวหรือสุกใสเป็นประกายกว่าคนสูงวัย เพราะมีน้ำตาเพียงพอ ไม่ขาดบกพร่องเหมือนคนที่มีอายุมาก
น้ำตาธรรมชาติแม้มีจะปริมาณบางมาก แต่สามารถแยกออกได้เป็น 3 ชั้น ดังนี้
1. ชั้นไขมัน (Lipid Layer) เป็นชั้นนอกสุด สร้างมาจากต่อมไขมันซึ่งอยู่บริเวณเปลือกตาทั้งด้านบนและด้านล่าง มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ส่วนที่เป็นน้ำตาระเหยไปได้ง่าย เพื่อน้ำตาธรรมชาติจะได้คงอยู่นานๆ
2. ชั้นน้ำ (Aqueous Layer) เป็นชั้นที่อยู่ตรงกลางและหนาที่สุด สร้างมาจากต่อมน้ำตาซึ่งอยู่บริเวณหัวคิ้วของตาทั้งสองข้าง เป็นตัวให้อาหารและออกซิเจนหล่อเลี้ยงแก้วตา หน้าที่สำคัญส่วนใหญ่ของน้ำตาธรรมชาติอยู่ที่ชั้นนี้
3. ชั้นเยื่อเมือก (Mucin Layer) เป็นชั้นในสุด สร้างมาจากส่วนเซลล์บุกระจกตา มีหน้าที่ปรับสภาพของกระจกตา ทำให้น้ำตาธรรมชาติกระจายตัวได้อย่างรวดเร็ว เวลากระพริบตา
น้ำตาธรรมชาติ ซึ่งถูกสร้างตลอดเวลา จากต่อมน้ำตาที่อยู่เหนือบริเวณหัวคิ้วทั้งสองข้าง และจะระบายนํ้าตาส่วนเกิน ลงสู่รูเปิดของระบบระบายนํ้าตาที่อยู่บริเวณหัวตาทั้งสองข้าง แล้วไหลลงไปในช่องจมูกแล้วไหลลงคอ (หลายท่านอาจจะเคยสังเกตว่าเมื่อเราหยอดยาตาบางชนิด จะรู้สึกขมภายในลำคอ )
ในร่างกายของคนที่มีสุขภาพดี อัตราการสร้างนํ้าตาและการระบายนํ้าตาลงท่อระบายน้ำตา จะสมดุลกัน ซึ่งจะไม่เกิดปัญหาตาแห้งหรือนํ้าตาคลอเบ้า ..แต่หากผิวกระจกตาเกิดอาการแห้งเนื่องจากการสร้างน้ำตาธรรมชาติลดลงหรือระเหยไปโดยเร็ว ระบบอัตโนมัติในร่างกายจะสั่งให้เกิดการกระพริบตาขึ้นทันที การกระพริบตาจะเป็นการกระจายน้ำตาธรรมชาติ ให้กระจายไปทั่วกระจกตาและเยื่อบุตาขาวอย่างรวดเร็ว เราจึงรู้สึกสบายตา...และหากเราเสียใจโศกเศร้าอาดูรอย่างรุนแรง หรือดีใจปลื้มใจเป็นพิเศษ น้ำตาก็จะถูกขับออกมามากเป็นพิเศษโดยปฏิกิริยาธรรมชาติ จนเต็มเบ้าตาและไหลล้นออกมานอกดวงตาได้เอง
สาเหตุของอาการตาแห้ง
1. อายุ
ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป การสร้างน้ำตาธรรมชาติจะลดลงไปเรื่อยๆ และเมื่ออายุถึง 70 ปี การสร้างน้ำตาธรรมชาติจะลดลงถึง 90% ..(อย่าตกใจ ยังได้เล่นบล็อกอีกนาน)
2. เพศ
ผู้หญิงจะมีอาการตาแห้งมากกว่าผู้ชายในช่วงอายุเดียวกัน ..ลองถามเพื่อนผู้ชายวัยเดียวกันดูบ้างก็ได้ ..ผมอยากเดาว่า อาจจะเป็นเรื่องฮอร์โมน
3. สภาพแวดล้อม
ในห้องแอร์เย็นมากๆซึ่งมีอากาศแห้ง ในห้องที่มีฝุ่น หรือในห้องที่มีควันมากๆอย่างควันบุหรี่ ผู้ที่นั่งดูโทรทัศน์นานๆ นั่งเล่นคอมพิวเตอร์นานๆ หรือนั่งดื่มสังสรรค์ จะเกิดอาการตาแห้งเร็วกว่านั่งในห้องปกติ
4. ยา
การใช้ยาบางชนิดจะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ในบางคน เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ ยาขับปัสสาวะ ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
5. การใส่คอนแทคเลนส์
ผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์นานๆจะมีอาการตาแห้งมากกว่าคนปกติ
6. พฤติกรรมการใช้สายตา
คนที่ใช้สายตาเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบไม่ยอมกระพริบตา เช่นมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองหน้าจอโทรทัศน์ แม้ร่างกายจะพยายามกระพริบตาแบบไม่รู้ตัวแล้วก็ตาม แต่เพราะเจ้าของดวงตาฝืนมอง พยายามมองแบบไม่ยอมกระพริบตา จึงทำให้เกิดอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ปวดตา ตาพร่า สู้แสงไม่ได้
7. การฉายรังสี
ผู้ที่ได้รับการฉายรังสีเพื่อรักษาเนื้องอกบริเวณใบหน้า อาจทำให้มีการทำลายต่อมสร้างน้ำตาธรรมชาติ
8. โรคบางอย่าง
มีโรคบางอย่างที่ทำให้คนมีอาการตาแห้ง เช่น เยื่อบุตาอักเสบ โรคริดสีดวงตา โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง โรครูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี เป็นต้น
การป้องกันและแก้ไขอาการตาแห้ง
ถ้าอาการตาแห้งเกิดขึ้นจากอายุที่มากขึ้น คงยากที่จะหลีกเลี่ยง ก็เหมือนกับผิวพรรณที่มีอาการหย่อนยานหรือเหี่ยวลง เราจะห้ามไม่ให้เกิดย่อมทำได้ยาก.. แต่เราอาจจะชะลออาการตาแห้งให้เกิดขึ้นเล็กน้อยและเกิดขึ้นช้าได้บ้าง
1. รับประทานอาหารสด สะอาด ให้ครบทั้ง 5 หมู่ และโดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามิน A , C และ E ซึ่งจะพบมากในแครอท มะละกอ ฟักทอง มะเขือเทศ มันเทศ ส้ม บรอคโคลี่ ผักบุ้ง เมล็ดอัลมอนด์ น้ำมันตับปลา เป็นต้น จะไม่รับประทานไม่ได้
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอให้ร่างกายแข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส
3. เมื่อต้องอยู่กลางแดดจ้า เจอลมพัดแรงและมีฝุ่นละออง เช่นขับขี่รถจักรยานยนต์ นั่งท้ายรถกระบะ จะต้องสวมแว่นกันแดด รวมทั้งต้องสวมแว่นป้องกันอันตราย(Safety Glasses)เมื่อทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น อ๊อกโลหะ เจียรเหล็ก สกัดหิน เป็นต้น หรือเมื่อเล่นกีฬาที่มีความเสี่ยง เช่น ยิงปืน ฟันดาบ เบสบอล เป็นต้น
4. ดูโทรทัศน์ในที่ที่มีความสว่างมากกว่า 20 แรงทียน และดูห่างจากจอเป็น 5 เท่าของขนาดความกว้างของจอภาพ ..ควรตักเตือนลูกหลานเสมอไม่ให้นั่งจ้องดูโทรทัศน์ใกล้จอเกินไป
5. จัดวางคอมพิวเตอร์โดยหันด้านข้างไปทางหน้าต่าง ไม่ควรจะหันด้านหลังหรือหันด้านหน้าคอมพิวเตอร์ไปทางหน้าต่าง แต่หากวันใดข้างนอกแดดจ้ามาก ก็อาจจะปิดม่านหรือปิดบานเกล็ดเพื่อลดปริมาณแสงภายในห้อง แสงไฟที่ใช้เหนือเพดานก็ควรจะปรับความสว่างให้เหมาะสม และควรจะหลีกเลี่ยงการใช้โต๊ะและเฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อนมันวาว
6. จัดวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ห่างจากดวงตาประมาณ 20-28 นิ้ว(นับง่ายๆก็ประมาณ 2 ฟุตหรือประมาณมากกว่า 1 ช่วงแขนเล็กน้อย) ระดับจอภาพควรจะอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ..อนึ่ง จัดวางคีย์บอร์ดและเม้าส์ต่ำกว่าระดับข้อศอก และปรับความสูงของเก้าอี้ให้เหมาะสม โดยมุมตรงเข่ากับเก้าอี้ควรมากกว่า 90 องศาเล็กน้อย เก้าอี้ที่ดีควรจะมีที่พักแขน
7. ควรใช้แผ่นกรองแสงที่จอคอมพิวเตอร์ หรืออาจเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) เพราะจะช่วยถนอมสายตาได้ดีกว่าจอคอมพิวเตอร์แบบเก่า (CRT)
8. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดที่เห็นถนัดตาในขณะพิมพ์งาน ควรปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ..ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษรนั้นยังพอได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะนั่งทำงานปกติ
9. อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรามีสมาธิเพ่งจ้องอะไรนานๆ โดยไม่ยอมกระพริบตาหรือกระพริบตาน้อยครั้ง เช่น 6 - 8 ครั้งต่อนาที ..จึงต้องหมั่นกระพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้เกิดน้ำตาหล่อลื่นในดวงตา
10. เปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเจอร์หรือจอโทรทัศน์ ทุกๆ 1 ชั่วโมง เพื่อพักสายตาประมาณ 10 นาที ..โดยอาจจะเดินติดต่องาน พูดโทรศัพท์ ไปห้องน้ำ ไปดื่มน้ำ หรือนั่งคิดวางแผน ..โดยช่วงนั่งคิดวางแผน อาจจะถอดแว่นตาชั่วคราว อาจจะมองไปไกลๆ หรือหลับตา หรือกระพริบตาถี่ๆ
11. หากรู้สึกแสบตา เคืองตา ไม่ควรจะใช้นิ้วมือหรือหลังมือขยี้ตา ควรจะเดินไปห้องน้ำ แล้วใช้น้ำสะอาดล้างตา จะสะอาดกว่า
12. หากจะต้องใช้น้ำตาเทียมหยอดตา จะต้องใช้น้ำตาเทียมที่ยังไม่หมดอายุ และเป็นเฉพาะที่เหมาะกับตนเอง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา
13. ไม่ควรใช้น้ำยาล้างตา มาล้างตาโดยไม่จำเป็น เพราะในน้ำยาล้างตามักจะผสมสารเคมีอ่อนๆเอาไว้ ซึ่งจะทำให้ตาแห้ง และระคายเคืองได้ ..หากจำเป็นจะต้องล้างตา เพื่อล้างบางสิ่งบางอย่างที่เข้าตา ควรใช้น้ำสะอาดในขวดน้ำดื่มจะดีกว่า
14. ควรตรวจสายตาประมาณ 1-2 ปี ต่อครั้งโดยจักษุแพทย์ เพื่อวัดความดันตา และตรวจเช็คความผิดปกติของสายตา แต่เมื่ออายุมากขึ้น การตรวจสายตาจะต้องตรวจถี่ขึ้น
อยากบอกทิ้งท้ายว่า ..ควรเตือนสติตนเองบ่อยๆ
อายุของเราไม่ใช่ 20 หรือ 25 ปีแล้ว ซึ่งควรจะต้องใช้สายตาให้น้อยลงกว่าตอนหนุ่มสาว
ฟันหัก ยังมีฟันปลอมได้ ..แต่ดวงตานั้นมีเพียงคู่เดียว หากเสียไป ..ใช้งานไม่ได้แล้ว
เราจะไม่อาจใช้ดวงตาปลอมคู่ไหนๆ เพื่อการมองเห็นได้อีก.
Create Date : 05 เมษายน 2551 |
Last Update : 5 เมษายน 2551 14:00:28 น. |
|
38 comments
|
Counter : 11447 Pageviews. |
|
|
|
ตาสวยจังแต่น่าสงสารที่โดนมนุษย์แกล้งเสมอ
ตอนนี้เราก็สงสารสายตาเราจังค่ะ
เริ่มจะแย่แล้วมัง
อิๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มีความสุขวันหยุดนะค่พี่ชาย
ขอเจิมคนแรกนะค่ะ