การขอรื้อฟื้นคดีอาญา "ช่วงสาระเข็มเดียว"
"ช่วงสาระเข็มเดียว" 'มาทำความรู้จักกับ กระบวนการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ กันครับ' ! การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ คือ การขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่หลังจากที่คดีนั้นๆสิ้นสุดแล้ว
หลักเกณฑ์ในการขอรื้อฟื้นคดีอาญามีอย่างไรบ้าง? ตามมาตรา 5 ใน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.๒๕๒๖ มีดังนี้ ๑.เป็นคดีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้รับโทษอาญาในคดีแล้ว ๒.เข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ๒.๑. พยานบุคคลที่ศาลอ้างเป็นหลักในการพิพากษาคดีนั้นๆ มีคำพิพากษาในคดีถึงที่สุดภายหลังว่า พยานบุคคลเบิกความเท็จ หรือไม่ตรงกับความจริง (ฟ้องพยานคนนั้นว่าให้การเท็จจนคดีถึงที่สุดก่อน) ๒.๒. พยานหลักฐานอื่นนอกจากข้อแรก ที่ศาลอ้างเป็นหลักในการพิพากษาคดีนั้นๆ มีคำพิพากษาถึงที่สุดภายหลังว่า เป็นพยานหลักฐานปลอม หรือเป็นเท็จ หรือไม่ตรงกับความจริง ๒.๓. มีพยานหลักฐานใหม่ที่ชัดแจ้งและสำคัญกับคดี ถ้านำมาใช้ในคดีนั้นๆ จะพิสูจน์ให้ผู้รับโทษทางอาญานั้นไม่ผิด ใครมีสิทธิยื่นคำร้องรื้อฟื้นคดีอาญา? ตามมาตรา ๖ ใน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.๒๕๒๖ มีดังนี้ ๑.ผู้ที่ได้รับโทษอาญา จากคำพิพากษาถึงที่สุด ๒.ผู้แทนโดยชอบธรรม / ผู้อนุบาล กรณีผู้รับโทษฯเป็น เด็ก หรือ ถูกศาลสั่งว่าไร้ความสามารถ ๓.ผู้จัดการ / ผู้แทนอื่นของนิติบุคคล กรณีผู้รับโทษฯเป็นนิติบุคคล ๔.พ่อ แม่ พี่น้อง ลูกตามสายเลือด / สามีภรรยาที่จดทะเบียนกันถูกต้องตามกฎหมาย กรณีผู้รับโทษฯตายก่อนที่จะมีการยื่นคำร้อง ๕.อัยการ กรณีที่อัยการไม่ใช่เป็นโจทก์ในคดีเดิม วิธีการยื่นคำร้อง ตามมาตรา ๘ และมาตรา ๒๐ ใน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.๒๕๒๖ มีดังนี้ ยื่นที่ไหน? ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีนั้นๆ หรือศาลอื่นที่มีเขตอำนาจแทนศาลนั้น ***(ข้อยกเว้นตาม ม.๘(๒)) ต้องยื่นอะไรบ้าง? : ๑.อ้างเหตุการรื้อฟื้นให้ชัดเจนตามเงื่อนไขที่กำหนด ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ ๒.ถ้าต้องการ ขอค่าทดแทน หรือ ขอรับสิทธิที่ผู้นั้นเสียไปจากผลคำพิพากษานั้นๆคืน ให้ระบุด้วย ๓.สิทธิตามข้อ ๒ ไม่รวมสิทธิในทางทรัพย์สิน ต้องยื่นภายในเมื่อไหร่? : ๑.ยื่นภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่ปรากฏเงื่อนไข หรือ ๒.ยื่นภายใน ๑๐ ปีนับแต่วันที่คำพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด หรือ ๓.ยื่นเมื่อพ้นกำหนดเวลาทั้ง ๒ ข้างต้นกรณีเป็นพฤติการณ์พิเศษ กระบวนการทางศาลหลังจากได้รับการยื่นคำร้อง ตามมาตรา ๙ ๑๗ ใน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.๒๕๒๖ มีดังนี้ ๑.ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้อง (ตรวจสอบว่าเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่) และส่งสำเนาคำร้องและวันนัดไต่สวนให้โจทก์ในคดีเดิมรู้ -ส่งให้อัยการกรณีที่อัยการกรณีที่อัยการไม่ใช่โจทก์ในคดีเดิมด้วย -อัยการและโจทก์ในคดีเดิมจะมาฟังการไต่สวนฯและซักค้านพยานของผู้ร้องด้วยหรือไม่ก็ได้ -ผู้ร้องและโจทก์ในคดีเดิมมีสิทธิแต่งตั้งทนาย** ๒.หลังจากนั้นศาลชั้นต้นจะส่งสำนวนการไต่สวนและความเห็นของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ ๓.ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าเข้าหลักเกณฑ์การรื้อฟื้นฯ ศาลอุทธรณ์รับคำร้องและสั่งศาลชั้นต้นให้รับพิจารณาคดีใหม่ -ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ จะสั่งยกคำร้อง -คำสั่งของศาลอุทธรณ์เป็นคำสั่งถึงที่สุด***** (อุทธรณ์ไม่ได้) ๔.เมื่อศาลชั้นต้นรับคำร้องแล้ว ศาลชั้นต้นจะแจ้งวันนัดสืบพยานผู้ร้องให้อัยการและโจทก์ในคดีเดิมรู้ -อัยการและโจทก์คดีเดิมมีสิทธิยื่นคำคัดค้านได้ก่อนวันสืบพยาน -เมื่อสืบพยานผู้ร้องเสร็จ อัยการและโจทก์ในคดีเดิมมีสิทธินำพยานของฝ่ายตัวเองเข้าสืบพยานได้ -ศาลอาจเรียกพยานที่นำมาสืบแล้วมาสืบใหม่เพิ่มก็ได้ หรือเรียกพยานอื่นมาสืบเพิ่มก็ได้ ๕.ในระหว่างการดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ ผู้รับโทษฯที่กำลังรับโทษอยู่ มีสิทธิทำคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อออกมาต่อสู้คดี***** ๖.กรณีที่คำพิพากษาถึงที่สุดในคดีเดิมเป็นของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นที่รับคำร้องดำเนินการพิจารณาพิพากษา -ถ้าเห็นว่าผู้รับโทษฯทำผิดจริง ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกคำร้อง -ถ้าเห็นว่าผู้รับโทษฯไม่ได้ทำผิดจริง ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกคำพิพากษาเดิมและพิพากษาว่าผู้นั้นไม่ได้กระทำผิด กรณีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีเดิมเป็นคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ / ศาลฎีกา ศาลชั้นต้นที่รับคำร้องดำเนินการพิจารณา และทำความเห็นและส่งสำนวนไปยังศาลที่เป็นเจ้าของคำพิพากษาเดิม เพื่อพิจารณาว่าจะยกคำร้อง หรือยกคำพิพากษาเดิมและพิพากษาว่าไม่ได้กระทำผิด *ทั้งนี้ทั้ง ๒ กรณีดังกล่าว ถ้ามีคำขอค่าทดแทนหรือขอรับสิทธิคืนและศาลยกคำพิพากษาเดิมและพิพากษาว่าผู้นั้นไม่ได้ทำผิด ศาลต้องกำหนดค่าทดแทนหรือมีคำสั่งเกี่ยวกับการขอรับสิทธิคืนด้วย (ดูเพิ่มเติมได้ในเรื่องการกำหนดค่าทดแทน) ๗.เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว อัยการ / ผู้ร้อง / โจทก์ในคดีเดิม มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาได้ดังนี้ -ถ้าเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด -ถ้าเป็นคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ มีสิทธิฎีกาต่อศาลฎีกา
การกำหนดค่าทดแทนของศาล ตามมาตรา ๑๔ ใน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.๒๕๒๖ มีดังนี้ ๑.ศาลจะกำหนดค่าทดแทนได้ไม่เกินที่ขอไว้ในคำร้อง ๒.กรณีถูกโทษริบทรัพย์สิน ให้คืนทรัพย์สินที่ริบไป -แต่ถ้าเป็นทรัพย์สินที่กฎหมายให้ริบไม่ว่าจะเป็นของใคร ห้ามคืน แต่จะชดใช้เป็นเงินตามราคาขณะที่ศาลพิพากษา -ถ้าทรัพย์สินที่ถูกริบเป็นเงิน ให้คืนเงินโดยศาลจะคิดดอกเบี้ยในอัตรา 15% ต่อปีของจำนวนเงิน นับแต่วันริบจนถึงวันที่ศาลเห็นสมควร ๓.กรณีถูกโทษปรับและชำระค่าปรับต่อศาลไปแล้ว ให้รับเงินค่าปรับคืน โดยศาลจะคิดดอกเบี้ยให้ในอัตรา15% ต่อปีของจำนวนเงิน นับแต่วันปรับจนถึงวันที่ศาลเห็นสมควร ๔.กรณีถูกโทษกักขัง/กักขังแทนปรับ/จำคุก ให้รับค่าทดแทนเป็นเงินโดยคำนวณจากวันที่ถูกกักขัง/จำคุก (วันละ ๔๐๐ บาท) ๕.กรณีถูกโทษประหารชีวิตและถูกประหารแล้ว กำหนดเงินทดแทนเป็นเงินไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ๖.กรณีถูกใช้วิธีการเด็กและเยาวชนแทนการลงโทษ ให้ศาลกำหนดค่าทดแทนตามสมควร ***คำร้องเกี่ยวกับผู้ต้องรับโทษอาญาคนหนึ่งในคดีหนึ่งให้ยื่นได้เพียงครั้งเดียว*** (ม.๑๘)
Create Date : 09 กรกฎาคม 2558 |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2558 15:19:11 น. |
|
0 comments
|
Counter : 931 Pageviews. |
|
|