โยคะเป็นไปเพื่อดับการปรุงแต่งของจิต
Group Blog
 
All blogs
 
เ น ป า ล วันที่ 3 เดินเรื่อยๆ เมื่อย(โคตรๆ)ก็ถึง

เนปาล วันที่สาม
บันทึก วันที่ 6 มกราคม 2557

ตั้งนาฬิกาปลุกไว้หลายเวลา แต่กลับสะดุ้งตื่นก่อนเวลาร่ำไป ไม่รู้วันแรกของการเดินเขาจะเป็นอย่างไร นั่งคิดอยู่หลายตลบ ตัดสินใจลดน้ำหนักของสิ่งของลงอีก กางเกงไม่เปลี่ยน กะใส่มันตลอดทริปเนี้ยะ เปลี่ยนแต่ข้างในกับเสื้ออีกตัวพอ เตรียมผ้าอนามัยแผ่นเล็กไว้เปลี่ยนเช้าและก่อนนอน อย่าเพิ่งร้องยี้กันนะ อันนี้เป็นความลับที่เพื่อนต่างชาติทำกัน ตอนฉันไปอินเดียครั้งแรกมีช่วงที่ได้เที่ยวกับเพื่อนอยู่สองสัปดาห์ พอก่อนกลับผ้าอนามัยเหลือ ไม่อยากขนเลยให้เพื่อน เพราะเขายังอยู่อีกเป็นเดือนจะได้ไม่ต้องหาซื้อ เพื่อนดีใจมาก มากจนฉันสงสัยเลยถาม เพื่อนบอกว่าการเดินทางนานๆ บางช่วงจะเดินทางต่อเนื่องทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สะดวก ก็จะใช้วิธีใส่ผ้าอนามัยแผ่นเล็กแทน ช่วงไหนอยู่ที่ไหนเป็นหลักแหล่งนานๆก็จะได้สะอาดตัวบ้าง ฉันจึงกะจะใช้วิธีนี้แหละ ภาวนาอย่างเดียว อย่าให้ฝนตกเลยเจ้าค่าาาาาา

ฉันลงมาจากห้องก็พบเจ้าของพอดีเลยสั่งอาหารทานไปเลยเพราะไม่อยากไปตายเอาดาบหน้า ขอให้อิ่มท้องก่อน และเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ดังคำว่า fill your stomach, empty your urinary bladder!

พอพร้อมจะเดินทางก็มีสองหนุ่มมายืนรอให้เลือกว่าจะไปคันไหน คนกระล่อนพยายามหาค่าทิปเรียบเพิ่มอยู่ร่ำไป ท่าทางเพื่อนจะสงสารเลยบอกให้ไปคันนั้นแทน จริงๆแล้วฉันอยากจะเลือกอีกคันซึ่งรถดูใหม่กว่า แต่คนขับยืนสูบบุหรี่อยู่เลยไม่ค่อยอยากนั่งเท่าไหร่ ยอมนั่งรถเก่านิดนึง แต่เน้นก่อนขึ้นว่าราคาเท่านี้นะ ไม่มีเกิน เพราะไม่ค่อยมีเงิน

ฉันบอกลาทุกคนแล้วขึ้นรถไป รถวิางเสียงดังก่อกแก่กตลอดเวลา นึกในใจ...ไม่น่าใจอ่อนเลยฉัน -_-
ระหว่างทางหนุ่มหัวใจนักซิ่งแต่สังขารรถไม่ให้แวะเอายางที่บ้านเผื่อไว้ เออ...จะไปถึงนายาพุลมั๊ยฉัน!! พลขับพยายามชวนฉันคุยตลอดแต่สังขารฉันไม่ค่อยอำนวย อยากหลับจัง แต่บังเอิญเงยหน้าไปเห็นยอดหางปลาดูสวยงามเหลือเกินทำให้หลับไม่ค่อยลง เงยหน้าหาจังหวะถ่ายรูปตลอด แต่ในที่สุดก็ทนไม่ได้ เห็นช่วงที่เป็นธรรมชาติที่สุดแล้วขอจอดลงมาถ่ายรูปเจ้าหางปลา ได้ช่วงที่อยู่หน้าแม่น้ำพอดี งดงามเหลือเกิน แต่ดูเหมือนรูปจะถ่ายทอดมาได้ไม่เหมือนกับที่ตาเห็น จึงได้แต่เก็บความงดงามของเจ้าหางปลาไว้ในความทรงจำเท่านั้น

พอขึ้นรถมา พลขับหน้าตอบคางแหลมก็บอกว่า เจ้าหางปลานั้นเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำเซติ หรือแม่น้ำขาว White River ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงขาวเหมือนกัน แต่ มันเป็นสีขาวเหมือนนมจริงๆ ไม่รู้ใครไปแอบเทนมลงมาปะปนตอนมีคนไปพบหรือปล่าว

พอผ่านไปได้สักพัก รถที่วิ่งกระด๊อกกระแด๊กและเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาก็ทำเอาฉันง่วงและสะบัดคอตกลงตามแรงเหวี่ยง แวบตื่นมาดูทิวทัศน์บ้างแต่ก็ไม่บ่อย หลับเอาแรงไว้ก่อน

ตื่นขึ้นมาก่อนถึงนายาพูลไม่นาน มองนาฬิกาเกือบเก้าโมงแล้วแต่อากาศยังเย็นอยู่มาก ฉันเดินจากรถจ่ายเงินแบบงงๆ หนุ่มหน้าแหลมชี้ทางลงให้ ฉันหันไปพยักหน้าขอบคุณ ก่อนลาพลขับพยายามตื้อให้ฉันโทรตอนวันกลับเพื่อจะได้มารับ ฉันปฏิเสธไปเพราะคงจ่ายค่ารถเยอะๆไม่ไหว บอกว่าจะขึ้นรถเมล์ เขาทำหน้างงๆเหมือนไม่เชื่อ เอาน่า! ฉันจะรอดกลับมา!

ฉันเดินไปตามทาง เจอทางแยกก็งงที รอถามชาวบ้านเพื่อความแน่ใจ เอาหละหว่า! แค่สิบนาทีก็ต้องถามทางแล้ว ผ่านชุมชนมีโต๊ะเช็คใบอนุญาตTim Card ฉันพยายามจัดของทุกอย่างให้ง่ายต่อการหยิบมากที่สุด มีกระเป๋าคาดเอวแบบชาวเขา เป็นกระเป๋าซ้ายขวา ข้างนึงใส่โทรศัพท์และบรรดากระดาษทิชชู่ทั้งแห้งและเปียกรวมถึงยาดม ฝั่งขวาใส่ถั่ววอลนัต ช็อกโกแลตแท่งและลูกอม ช่วงแรกก็เอากล้องไว้ฝั่งนี้ แต่โพสิชั่นในการหยิบเข้าหยิบออกมันไม่เหมาะเลยย้ายมาแขวนไว้กับกระเป๋าด้านหน้าแทนด้วยคาราบิเนอร์อันเล็กๆ คาราบิเนอร์เล็กๆพวกนี้สารพัดประโยชน์จริงๆ ฉันเอาไว้แขวนขวดน้ำ และกล้อง รวมถึงถุงอาหารไว้ทานจุกจิกตามทางบ้าง ถ่วงหน้า-หลัง ซ้าย-ขวา พยายามรักษาสมดุล

ฉันเดินผ่านแม่น้ำเห็นชาวบ้านเอารถลงไปจอดเพื่อล้างรถ ยืนกันในน้ำพาให้หนาวแทน ทำไปได้ไงเนี่ย เย็นขนาดนี้ ตลอดทางเห็นเด็กนักเรียนวิ่งบ้างเดินบ้างตลอดทาง เออ...ตกลงไม่รู้ที่นี่เขาเรียนกันกี่โมงนะ ต้องข้ามเขากันไปเรียนหรือปล่าวนะ มองเด็กๆแล้วก็โดนเด็กมองตอบ เหมือนจะถามว่าจ้องฉันทำไม จะขอถ่ายรูปก็เกรงใจเลยต้องรีบเดินต่อ ฉันเดินไปเรื่อยๆก็เจอที่เช็คใบอนุญาตอีกที่หนึ่งที่ Bierthanti เขาสอบถามว่าจะไปที่ไหนและกลับออกทางไหน ฉันบอกเส้นทางไปด้วยความมั่นใจ สาวนั่งโต๊ะมองหน้า...ไม่มีคนแบกของหรือไกด์เหรอ ฉันยิงฟันเหลืองๆตอบไปว่า ไม่มี!!


ก่อนออกจากซุ้มสาวๆเขาก็อวยพรขอให้สนุก ฉันก็คาดไว้ คงเป็นทริปที่มันพิลึกแน่ๆ

ฉันค่อยๆเดินไปช้าๆ มองซ้ายมองขวาเหมือนกะเหรี่ยงเข้าเมือง แต่หนนี้เป็นอาหมวยเข้าป่า ระหว่างทางเดินไปก็มีรถวิ่งผ่านตลอด ถามว่าจะไปแท๊กซี่มั๊ย ฉันยิงฟันให้ นึกในใจ...นี่ถ้าฉันตั้งใจมานั่งแท๊กซี่....อยู่บ้านดีกว่ามั๊ย แต่ก็มีบางคันขนนักท่องเที่ยวขึ้นไปเหมือนกัน

บ้านช่องเริ่มลดความถี่ลง ระยะทางความห่างของแต่ละหลังเริ่มมากขึ้น เดินไปเจอแต่ฝุ่นต้องใส่หน้ากาก บวกกับอากาศเย็นๆทำให้หายใจไม่ค่อยออกและเจ็บจมูกเจ็บคอ การใส่หน้ากากจึงเป็นทางเลือกที่ดี ทั้งทำให้จมูกอุ่นขึ้นและปิดบังความหน้าเกลียดของน้ำมูกย้อยๆที่แอบเอาลิ้นตวัดบ้าง เค็มๆดี ฮ่าๆๆๆ เห็นเด็กๆบนเขามีหน้าตามอมแมม ไม่แปลกใจเลย ก็น้ำมูกเยอะขนาดนี้ เช็ดไม่ค่อยทัน จนบางทีต้องทำแบบชาวเนปาล ปิดจมูกข้างนึงแล้วสั่งน้ำมูกลงพื้นซะ ต้องเล็งดีๆไม่ให้เลอะกางเกง ซ้ายที ขวาที บางทีก็เฉียดฉิวขากางเกง ฮ่าๆๆๆ

เดินไปตามทางคดเคี้ยว เริ่มมีชาวต่างชาติเดินแซงหน้า บ้างเดินเป็นคู่ บ้างเดินมาพร้อมไกด์และพอตเตอร์ เดินกันเร็วมาก โดยเฉพาะพอตเตอร์ แบกกันสิบ-ยี่สิบกิโลกรัมแต่ยังเดินตัวปลิว ไอ้เราแบกห้า-หกกิโลกรัม เดินเหมือนจะตายซะแล้ว เอาน่า!เห็นเขาบอกว่าวันแรกเดินกันประมาณห้า-หกชั่วโมง ขี้หมูขี้หมาก็น่าจะถึงอุเลอรีก่อนค่ำวะ!

เห็นชาวเกาหลีสาม-สี่คนเขาเดินตัวปลิวมา เขาบอกว่าจ้างรถขนของขึ้นไปจนถึงจุดที่รถจะเข้าถึงได้ เออ...ไม่มีเงินบ้างก็แล้วไป ระหว่างหยุดพักก็แอบถามค่าจ้างพอตเตอร์แบกของ ได้ความว่า 13-15$ ฟังแล้วอาหมวยร้องเสียงหลงเลย นี่ถ้าจ้างไกด้ด้วยก็ปาไปอีก 30$ กระเป๋าแพบๆแบบเรา แบกเองต่อไป ระหว่างทางเห็นบ้านน่ารักหลังหนึ่ง มองดูเห็นเขียนว่าร้านอาหารสุดท้ายในเมือง พอมองนาฬิกา สิบเอ็ดโมงกว่า...น่าจะต้องกินไว้ก่อนมั๊งเรา แต่ดูเมนูแล้ว...สั่งได้แต่ไข่เจียว ราคาบาดใจเหลือประมาณ ไม่เป็นไร ยังมีช็อกโกแลตในกระเป๋าให้อุ่นใจอยู่

แต่ร้านที่ว่าสุดท้ายของหมู่บ้าน พอไปดูในแผนที่ที่รัฐบาลเนปาลทำติดไว้...อ้าว! ร้านแรกเลยนะคุณ ดันหลอกเราว่าเป็นร้านสุดท้าย เสร็จแผนเนปาลีไปหนึ่งศพ อนาถแท้!

เสร็จจากทานไข่ก็เดินต่อ ปรากฎว่าไอ้ที่คิดว่าเดินมาได้เยอะ เอาเข้าจริงไม่ถึงหนึ่งในสามเลย ซวยละสิ เสียเวลาเดินเหมือนเดินห้างตั้งหลายชั่วโมง ต้องรีบซะแล้ว!

ทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ฝุ่นก็เยอะ เย็นก็เย็น ของบนไหล่จากห้ากิโลกรัมเริ่มกลายเป็นสิบแล้ว หนักไม่ใช่เล่น เห็นลุงบ้างป้าบ้างเทินของโดยใช้ผ้าคาดที่หัวแล้วเอามือประคองดูเดินสบาย แต่ฉันไม่ได้ทำอย่างนี้เป็นชีวิต หากมาทำตอนนี้อาจถึงคอหักตายได้ แบกไปธรรมดาน่ะดีแล้ว

ฉันทำเวลาได้ช้ามากๆ มีชาวต่างชาติเดินแซงไปเรื่อยๆ เดินผ่านทีก็กล่าว นมัสเต กันที กว่าจะไปถึงTikkadhunga ก็บ่ายสองโมงครึ่งแล้ว เป็นทางเดินขึ้นเขามาตลอด ทางราบเยอะบ้างน้อยบ้าง พอผ่านเกสเฮ้าส์สุดท้ายของหมู่บ้านก่อนที่จะไปอุเลอรีก็เกิดปวดถ่ายหนักขึ้นมา จากไอ้ที่เดินขึ้นไปแล้วนิดนึงก็ต้องรีบเดินลงมา ไม่งั้นได้เข้าป่ากลางทางแน่ๆ

ฉันเห็นชายสองคนหยุดพักที่นี่ นึกในใจ...น่าพักที่นี่บ้าง แต่เห็นเวลายังเหลือและยังมีคนเดินอยู่ก็เลยตัดสินใจเดินต่อดีกว่า แม้ว่าป้ายบอกว่าจากที่นี่ไปเกอโรปานีแค่หกชั่วโมง แต่ป้ายนั่นคงใช้ไม่ได้กับฉัน แถมบางคนบอกว่า เดินต่อไปอุเลอรีนี่แหละดีที่สุดแล้ว ฉันเลยตัดสินใจเดินต่อ

อุเลอรีจ๋าาาาาาเธอหินเหลือเกิน เดินขึ้นอย่างเดียว เดินได้ยี่สิบขั้นก็หยุดที ขามันหนักเหลือเกิน ปวดจากที่ถีบจักรยานเมื่อวานด้วย ไม่น่าเลยกู

ใครๆก็เดินเร็วกว่า...แม้กระทั่งลาแบกของยังเร็วกว่าฉันเลย >_<

ระหว่างทางเจอชายเนปาลคนเดิมที่บอกว่าลูกค้าขนของขึ้นรถไปถึงจุดสุดท้ายของรถยนต์ที่จะเข้าถึง เขาแบกกระเป๋าสองใบขึ้นเขามา(เร็วกว่าฉันเช่นกัน) ฉันสงสัยเพราะปกติเขาจะแบกกันอย่างมากก็ยี่สิบกิโลกรัม แต่นี่ถามแล้ว เขาว่ารวมแล้วน่าจะห้าสิบกิโลกรัม หนุ่มบอกว่า...เพื่อนอีกคนหนีไปแล้วระหว่างทางทำให้เขาต้องรับผิดชอบทั้งหมดในวันนี้ แต่เขาโทรตามน้องชายแล้ว น้องชายจะมาช่วยแบกในวันพรุ่งนี้ด้วย เรามองหน้ากันและพูดว่า...เพื่อนอย่างนี้...อย่าไปคบมันอีกเลย

เดินไปเจอชาวยุโรปสองคน อายุมากกว่าฉันหลายสิบปี บอกว่ามาเดินครั้งแรกเหมือนกัน เดินกันช้าๆ แต่ยังไงก็เร็วกว่าฉัน ฉันเผลอลืมหมวกไว้ที่ใดที่หนึ่งระหว่างทางหยุดพัก แต่คงไม่เดินลงไปแล้ว ไม่รู้ตรงไหน ไม่ไหวแล้ว

พอใกล้ๆถึงอุเลอรีก็เจอกับหนุ่มแบกห้าสิบกิโลกับชาวเกาหลีสองคน เดินมาขาลากพอกัน พอเห็นป้ายก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ชักภาพกันไปอย่าช้า แรงมาทันควัน พอเลยขึ้นมา...อ้าว! ถุงมือหายอีก เวรแท้ กว่าจะจบทริปจะเหลืออะไรวะเนี่ย!

ฉันตามพอตเตอร์คนนั้นซึ่งทราบชื่อทีหลังว่า มาน ไปที่เกสเฮ้าส์ที่อยู่ด้านบนอีกหน่อย ไม่รู้หรอกว่าที่ไหนดี แต่เชื่อมานละกัน

จบทริปวันแรกด้วยการเดินแปดชั่วโมงครึ่ง ล้าและหนาวมาก ฉันลงไปสั่งข้าวผัดกินแล้วขึ้นมาจัดที่นอน ตอนแรกถามถึงน้ำร้อนว่าจะอาบแต่ดูจากคิวยาวๆแล้วสงสัยจะไม่ไหว กินข้าวแล้วนอนดีกว่า นั่งจัดของอยู่สักพักเจ้าหน้าที่ก็มาเรียกไปทานข้าว เพราะถ้าปล่อยไว้ไม่นานก็จะเย็นหมด ข้าวผัดเป็นทางเลือกที่ไม่ดีเท่าไหร่ จริงๆน่าจะทานซุปร้อนๆ และข้าวก็จานใหญ่มากกกกกก พุงกางขึ้นไปนอน สั่นตลอดทาง

ห้องพักที่ได้หันหน้าหาภูเขาพอดี เนื่องจากเป็นห้องสองเตียงเลยเอาผ้าห่มมารองชั้นนึง ตามด้วยถุงนอนและผ้าห่มข้างในและห่มผ้าห่มอีกผืนทับ อุ่นแต่ไม่สบายเท่าไหร่ เพราะผ้าห่มหนาและหนักมาก นอนไปกลางคืนอาจคิดว่าผีอำได้

ราตรีสวัสดิ์ชาวโลก


Create Date : 19 มกราคม 2557
Last Update : 19 มกราคม 2557 14:43:02 น. 5 comments
Counter : 721 Pageviews.

 
ขอบ คุณค่ะโหวตให้ทราเวลค่า


โดย: cyberlifenlearn วันที่: 19 มกราคม 2557 เวลา:18:52:29 น.  

 
ขอบคุณค่า


โดย: หมวยเกี๊ยะA2 วันที่: 19 มกราคม 2557 เวลา:20:58:48 น.  

 
อ่านแล้วฮามั่กๆ อยากไปเดินที่เนปาลบ้าง ท้าทายๆ แต่คงไม่กล้าไปคนเดียว กลัวผี&กลัวแขกหลอก5555


โดย: pim IP: 89.144.193.84 วันที่: 20 มกราคม 2557 เวลา:2:01:56 น.  

 
555 โดนหลอกประจำหละค่ะ มาอินเดียก็โดนหลอก แต่หนนี้มีชาวต่างชาติโดนหลอกด้วย เรียกว่าโดนหลอกเป็นหมู่ขณะทีเดียว


โดย: หมวยเกี๊ยะA2 วันที่: 20 มกราคม 2557 เวลา:15:19:28 น.  

 
555 หมวยเขียนเล่าได้เห็นภาพมากกกก


โดย: goodideass วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:20:28:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมวยเกี๊ยะA2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




สาวน้อย(อิอิ)ธรรมดา ที่มีพี่ๅน้องแสนฉลาด พี่สาวคนโตจบดอกเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร พี่ชายคนโตจบศิลปะแต่ได้ผันตัวเองมาทำงานภาพยนตร์จนเป็นผู้กำกับ พี่ชายคนเล็กก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารที่คนเขาแย่งตัวกัน ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นหมอฟันประจำตัวให้เราน่ะเอง

ส่วนตัวเองเรียนจบมาทางด้านภาพยนตร์ ที่ล้วนแล้วแต่มายา แต่ดันผ่าอยากศึกษาด้านธรรมะและโยคะ เพราะความล้มเหลวด้านชีวิตครอบครัวเป็นเหตุ

วันดีคืนดีจึงนั่งเครื่องบิน บินไปอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดโยคะและศึกษาอย่างจริงจัง (เที่ยวอย่างจริงจังด้วย)
ที่ Yoga Vidya Gurukul
ณ เมืองนาสิก ประเทศอินเดีย
เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.2549

ตอนนี้ก็รับสอนโยคะอย่างจริงจังมาก็เริ่มปีที่ห้าแล้ว

ในปี 2553 ได้จบหลักสูตรต่างๆทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในสถาบันแล้ว รวมทั้งศึกษาศาสตร์อื่นๆมามากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็น โยคะบำบัด อายุรเวท เรกิ ธรรมชาติบำบัด :-D

ตอนนี้เริ่มสอนอีกครั้งแล้วค่ะ ถ้าสนใจเรียนเป็นกลุ่มหรือเรียนตัวต่อตัวหรือเป็นวิทยากร
ก็ติดต่อมาได้นะคะ
Tel.+66 (0)85 1420201
[Add หมวยเกี๊ยะA2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.