ดูดอกไม้ป่าที่ Grampians National Park
ดูดอกไม้ป่าที่ Grampians NationalPark

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 27 ก.ย. สามีพาไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติ Grampians เขาอยากพาไปนานแล้ว แต่เราอิดออดเพราะนั่งรถนาน 4ชั่วโมง บ้านสามีอยู่ทางใต้ของเมลเบิร์น อุทยานฯอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐวิกตอเรีย คนละทิศเลย แต่ไหนๆ แล้ว Get it overand done with. นี่คือคติของเราเวลาที่ต้องทำอะไรโดยที่ใจไม่ได้อยากทำเท่าไหร่(ตอนสมัยยังคบกันเป็นแฟน เราก็รีๆ รอๆ ไม่อยากไปหาแม่แฟน เพราะเรายังไม่พร้อม เรารักแฟนแต่ยังไม่แน่ใจว่ารักขนาดที่อยากได้เป็นสามีหรือเปล่าแต่ก็ยึดคตินี้แหละ เจอไปให้มันจบๆ แฟนจะได้เลิกเซ้าซี้ กลายเป็นทุกวันนี้เซ้าซี้ไม่เลิก)


ระหว่างทางชมวิวไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งคาโนลาที่เอาไว้ทำน้ำมันปรุงอาหารน่ะ สีเหลืองอร่ามกว้างสุดลูกหูลูกตา จุดหมายปลายทางของเราคือ เมือง Halls Gap ทางเข้าอุทยานฯ


พอเข้าเขตอุทยานฯ ก็จะเริ่มเห็นสองข้างทางที่มีต้นไม้ดำเพราะเมื่อต้นปีเกิดไฟป่าออสเตรเลียนี่จะร้อนมากช่วงเดือนธันวาคม มกราคม และกุมภาพันธ์ ในป่านี่ อยู่ดีๆ ไฟติดเองได้นะถ้าสังเกตจะเห็น indicator เป็นช่วงๆว่าวันไหนอากาศแห้งระดับไหน อากาศที่นี่ร้อนแห้งๆไม่เหมือนที่ไทยที่ร้อนชื้นเหนอะหนะ

ต้นไม้ดำๆ ดูดีๆจะเห็นใบเขียวๆ งอกใหม่ตามลำต้น เห็นแล้วให้ความรู้สึกประหลาด เหมือนได้เห็นการเกิดใหม่อะไรที่คิดว่าตายไปแล้วกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ ก็เป็นเรื่องน่ายินดี


นี่เป็นรูปต้นแบล็กบอยต้นมันดำๆ อยู่แล้วนะ ไม่ใช่ดำเพราะโดนไฟไหม้ บานเป็นพุ่มข้างบนมีดอกเหมือนต้นก้านธูป โตช้า มีราคาแพง ในเมืองขายกันต้นละ $500 แหม ถ้าเป็นที่ไทย สงสัยแอบขุดไปขายหมดแล้วมั้ง

สามีถามว่าจะไปดูอะไรก่อนมีน้ำตกหลายจุด และมีทางเดินป่า เราบอกไปจุดสำคัญที่สุดเลย เพราะถ้าไปแล้วเหนื่อย ไม่อยากไปต่อจะได้ไม่เสียดาย สรุปจุดแรกที่ไปดูคือน้ำตก McKenzieFalls เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในวิกตอเรีย


ทางเดินไปน้ำตก มีดอกไม้ป่าเรียงรายดอกมันจิ๋วๆ ขนาดเท่าเล็บนิ้วก้อย กล้วยไม้ป่าก็จิ๋ว แต่ทุกต้นสีสดไม่แพ้กัน สามีบอกว่า ถ้าชอบดูดอกไม้ป่าต้องไปเวสเทิร์นออสเตรเลีย อือเราก็เคยได้ยินคนบอกมาว่างั้น



เดินลงบันไดตั้งหลายชั้นถ่ายน้ำตกมารูปเดียว 


คนเยอะด้วยเพราะว่าเป็นช่วงเด็กๆ หยุดเรียน แถมวันที่ไปยังเป็นวัน AFL GrandFinal แข่งฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศของออสเตรเลีย (มันส์กว่าฟุตบอลชาติอื่นเยอะเพราะนักกีฬาชอบแอบศอกแอบเข่ากันเป็นกีฬาที่ใช้เกือบทุกส่วน ไม่ใช่ใช้แต่ขาเตะเหมือน soccer) คนเที่ยวก็จะรีบเที่ยวรีบไปเชียร์บอล

ดูน้ำตกเสร็จก็เข้าที่พัก สามีนอนดูบอล จบวัน

วันรุ่งขึ้น โรงแรมคิดค่าอาหารเช้าหัวละ$25 (บ้าไปแล้ว) งั้นหาซื้ออะไรกินที่ตลาดนัดใกล้ๆ ดีกว่า เช็คเอาท์แล้วก็ไปตลาดนัดวันอาทิตย์ ที่เมือง Pomonal มีประชากรแค่ 300+ คน ไส้กรอกที่ตลาดนัดราคาแค่ $ 2.5 เวลาเที่ยวต่างเมือง ที่ๆเราต้องไปคือตลาดนี่แหละ เพราะมันจะมีของกินบางอย่างที่หากินที่อื่นไม่ได้

โชคดีที่ตลาดนัดมีแผงหนังสือมือสองเราได้หนังสือเก่าของ Enid Blyton เก่านี่คือไม่ใช่สภาพเก่าแต่หมายถึงเก่าเพราะปีที่พิมพ์ พิมพ์ปี 19xxทำนองนี้ สภาพยังดีอยู่หน้าไม่หลุด ไม่มีรอยขีดเขียน กระดาษเหลืองเล็กน้อย

เราเพิ่งเริ่มสะสมหนังสือมือสองของนักเขียนที่มือชื่อเสียงและหนังสือหายากไล่ซื้อเก็บทั้งฉบับภาษาอังกฤษและฉบับภาษาไทย (ก็เราเป็นนักแปลนิ)เก็บคู่กันเสมอ บางเล่มเก็บเป็นภาษาอื่นเช่น Nicholas เรามีฉบับภาษาฝรั่งเศส ฉบับภาษาอังกฤษ แต่ยังหาฉบับภาษาไทยไม่เจอ ถ้าเรื่องไหนมีทำเป็นหนังแล้วก็เก็บหนังด้วย เช่น Bleak House ของ Charles Dickens เรื่อง Emma ของ Jane Austen (ทำไมเราดูแล้วม่อยหลับ?) เรื่อง My Uncle Oswald ของ Roald Dahl ฉบับภาษาอังกฤษซื้อแล้ว แต่ภาษาไทยราคาโน่น เล่มละ 300 บาท สภาพเท่าที่เห็นก็ตามอายุ แต่ก็ยอมซื้อเพราะมันเป็นหนังสือหายาก เรากะว่าจะทยอยอ่านหนังสือที่สะสมพอแก่ตัวเลิกสะสมแล้ว อาจจะขายให้นักสะสมหรือถ้าลูกหลานอยากได้ก็จะให้

ขอโทษที่นอกเรื่อง

เที่ยวตลาดนัดเสร็จก็พากันไปดูภาพเขียนในถ้ำของชาวอะบอริจิน ระหว่างทาง เจอทะเลสาบ Lake Fyansเป็นทะเลสาบที่แปลกนะเราว่า เพราะน้ำเป็นสีเทามีต้นไม้กลางน้ำเยอะแยะ และมีคลื่นแรงเหมือนทะเล


เจอสัตว์เลื้อยคลานหน้าตาน่าเกลียดอย่างนี้ด้วย พอเราลงรถ เดินไปใกล้ๆ มันหยุดในพงหญ้า เลยลองปาหินก้อนเล็กๆ ใส่มันแกล้งตายซะเลย ไม่ขยับทำให้ดูเหมือนขอนไม้ทั่วไป (ไหนใครบอกว่าสัตว์ไม่มีสมอง)


แล้วก็มาถึงที่ตั้งของถ้ำภาพวาดBunjil


Bunjil คือชื่อของวีรบุรุษผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์ และสร้างความเชื่อต่างๆ พอสร้างสรรพสิ่งเสร็จก็แปลงกายเป็นเหยี่ยวบินลับไป นี่คือเรื่องราวจากตำนานของชาวอะบอริจิน


เดิมคนเดินเข้าไปดูใกล้ๆได้ แต่ปี 1960 ราชการล้อมรั้วเพราะมีคนมือบอนไปวาดทับบางส่วน (นึกถึงภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ที่ผาแต้ม ชาตินี้ต้องไปดูให้ได้)บริเวณถ้ำ มีหินขนาดใหญ่หลายก้อน ภูมิทัศน์สวยงาม ต้นหญ้าขึ้นเขียว พลิ้วไหวตามลมแหม อยากเอนหลังนอนดูท้องฟ้าจัง ถ้าสามีไม่เตือนว่า ในป่าอย่างนี้ ชอบมีงูซ่อนอยู่

เสร็จแล้วก็ขับรถกลับผ่าน Stawall แวะซื้อของเก่าที่ร้าน Pickers เดินดูของ vintageที่อยากได้ ส่วนใหญ่จะแพงเลยไม่ได้ซื้อ แล้วก็ไปกินข้าวกลางวันที่ Ararat จากนั้นไป Aradale สถาบันประสาท


ชื่อ Aradale ได้มาจากการประกวดตั้งชื่อ คำว่า dale แปลว่า หุบเขาชื่อนี้ชนะเลิศเนื่องจากได้ความหมายและชื่อคล้องกับชื่อเมือง


อาคารหลังแรกของสถาบันฯสร้างเมื่อปี 1860 ทยอยสร้างจนมีอยู่ทั้งหมด 63 หลัง จุดประสงค์เดิมคือเป็นที่ลี้ภัย ต่อมาเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาล แล้วก็กลายเป็นสถานที่รักษาผู้ป่วยโรคประสาท สมัยโน้นถ้าทำอะไรไม่เหมือนคนปกติ ก็โดนจับส่งมาอยู่สถาบันฯแล้ว อธิบายยังไงก็ไม่มีใครฟัง

สถาบันฯ ตีคู่มากับ J. Ward ซึ่งเป็นคุกสำหรับนักโทษวิกลจริต เสียดายไม่ได้ไป สามีบอกว่าน่าสนใจกว่าเยอะอยากดูว่านักโทษสมัยโน้นอยู่ยังไง โดนลงโทษยังไง โดนทรมานหรือเปล่า

ความที่มีหลายอาคารก็จะมีการแยกหญิงชาย อย่างหอพยาบาล หนุ่มๆแวะหาสาวโดยมุดเข้าไปในกล่องเก็บฟืนที่ทะลุผนังอาคารได้

ส่วนผู้ป่วยเองเวลาผู้ดูแลเรียกเข้านอน ก็จะนับหัว ครบจำนวนก็คือครบ แต่มีอยู่ครั้งนึงครบจำนวนแต่ไม่ครบ ตำรวจพาผู้ป่วยมาส่ง ปรากฏว่า ที่ครบจำนวนเพราะมีอดีตผู้ป่วยที่ติดใจแอบปีนหน้าต่างเข้ามาแทนผู้ป่วยอีกคนที่หนีเที่ยวในเมือง


ข้างในอาคารไม่มีเฟอร์นิเจอร์ที่เห็นมีเครื่องใช้ก็เฉพาะในครัว  หม้อต้มอาหารขนาดใหญ่ ไม่มีสนิม สภาพดี เสียดายที่ไม่มีใครมาซื้อเอาไปใช้งาน 

ส่วนใหญ่จะเป็นอาคารร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เดินแล้วหลอน นึกถึงในหนัง  มีผู้ป่วยที่ฆ่าตัวตายก็หลายราย  ตรงทางเชื่อมอาคารจุดนึงมีไม้กางเขนอยู่ตรงทางเชื่อมเหนือศีรษะซึ่งเป็นทางเดินไปที่โบสถ์


ห้องนี้เป็นห้องทานอาหารเช้า  สังเกตดูจะเห็นว่าหน้าต่างอยู่ชั้นสาม เดิมมันอยู่ชั้นล่างนี่แหละ แล้วก็ทำปิดไปซะ นัยว่ากันผู้ป่วยหนี


ผู้ดูแลบอกว่า อาคารไม่มีรอยร้าวเลย ถ้าปรับปรุงดีๆก็สามารถใช้พื้นที่ทำอะไรได้เยอะ เราถามสามีว่าทำอะไรดีล่ะ มันอยู่ไกลเมืองซะขนาดนี้ หรือน่าจะทำ retirement home

ทัวร์เสร็จก็ได้เวลากลับพอดี  เขามี ghost tour ด้วยนะ เผื่อใครสนใจ 




Create Date : 02 ตุลาคม 2557
Last Update : 2 ตุลาคม 2557 9:39:23 น.
Counter : 5487 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Natchaon
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 314 คน [?]



Sawaddee ka. My name is Nat. I am a certified translator. I have been in the translation industry since 2004.

I graduated a master degree in English-Thai translation from Chulalongkorn University, Thailand.

I have the following accreditation:
- NAATI Accreditation for EN < > TH translation (Australia)
- Court Expert Registration for EN < > TH translation (Thailand)
- Member (MCIL), Chartered Institute of Linguists (U.K.)

See details about my services here https://www.nctranslation.net
https://www.expertthai.net

For a quick quote, email your document to natchaon@yahoo.com.

รับแปลเอกสารวีซ่าออสเตรเลียพร้อมประทับตรา NAATI ปรึกษาฟรีที่ natchaon@yahoo.com หรือ Line: Natchaon.NAATI

See below my locations:
- Bangkok: 1 Dec 2018 - 12 Jan 2019

NAATI ออสเตรเลีย, NAATI เมลเบิร์น, NAATI ประเทศไทย, NAATI กรุงเทพ, แปลเอกสารพร้อมประทับตรา NAATI, แปลเอกสารโดยนักแปล NAATI, NAATI Australia, NAATI Melbourne, NAATI Thailand, NAATI Bangkok, NAATI translation, NAATI accredited translation, Australia Visa, Partner Visa, Fiance Visa, Prospective Visa, Skilled Migrant, Student Visa, Work Visa, Work and Travel Visa, Online Visa, วีซ่าออสเตรเลีย, วีซ่าแต่งงาน, วีซ่าคู่หมั้น, วีซ่าทำงาน, วีซ่านักเรียน, วีซ่าทำงานและท่องเที่ยว, วีซ่าออนไลน์
Thai – English translation, English – Thai Translation, แปลอังกฤษเป็นไทย, แปลไทยเป็นอังกฤษ

*บทความทั้งหมดในบล็อกนี้ สงวนลิขสิทธิ์ทุกประการ*
ตุลาคม 2557

 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31