Japan @Day2 : Kyoto ; Kinkakuji Temple
- - -
ถึงวัดคินคะคูจิแล้วครับ จอดรถข้างนอกแล้วเดินเข้าไป
กิโมโนบ่าว-สาว ในสวนสวยก่อนถึงประตูทางเข้าด้านใน
ต้นไม้ใหญ่มาก อากาศเย็นสบาย ใต้ต้นไม้มีมอสเกาะเต็มไปหมด
ประตูทางเข้า หอระฆัง บ่อน้ำ และต้นไม้ใหญ่อีก
ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เห็นโรงเรียนพานักเรียนมาทัศนศึกษาค่ะ
คนกวาดใบไม้ก็กวาดไป ใส่ใจ และจริงจังในหน้าที่ ไม่ต้องมีใครมาบังคับ
คนสวนบ้านเรา สาย ๆ ก่อนเที่ยงนี่ แอบตามสุมทุมพุ่มไม้ เจ้านายไม่มา ไม่ยอมออกมาทำสวน
วันนี้วันทำงาน คนก็ยังเยอะ
ค่าบัตรผ่านประตู ผู้ใหญ่ 1000 เยน นักเรียน 800 เยน
ได้โบรชัวร์วัดมาด้วย เลยพอรู้ที่มาที่ไป
วัดคินคะคุจิ จริง ๆ มีชื่อเป็นทางการว่า วัดโรคุออน แต่คนเรียกชื่อแรกติดปากซะมากกว่า
เป็นวัดพุทธ นิกายเซน
คินคะคุ เป็นชื่อของพลับพลาสีทอง (Golden Pavilion) สร้างในปี 1397
ซึ่งเป็นที่ประทับชั่วคราวของโชกุนโยชิมิสึ ที่ 3 สมัยโมรุมาชิ
(โชกุนในเรื่อง อิคคิวซัง)
และเคยใช้เป็นที่รับรองจักพรรดิ์โคโกมัตสึ (ท่านพ่อของอิคคิวซัง) รวมทั้งขุนนางต่าง ๆ
ได้รับอิทธิพลศิลปะการก่อสร้างมาจากจีน เพราะสมัยนั้นทำการค้าขายกับจีน
ต่อมาโชกุนเสียชีวิต พลับพลาสีทองนี้ตกเป็นของลูกชาย
ก่อนจะถูกมอบให้เป็นสมบัติของวัดในสมัยต่อมา
และในปี 1994 ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น มรดกโลก
ปราสาทเคลือบด้วยทองคำทั้งหลัง ชั้นล่าง ศิลปะแบบศตวรรษที่ 11 ใช้รับรองขุนนาง ชนชั้นสูง
ชั้นที่สอง เป็นศิลปะแบบ Buke รับรอง นักรบ ทหารกล้า ขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ชั้นบนสุด ศิลปะแบบเซน ใช้ รับรอง นักบวช
(คุ้นมากกับ ปุจฉา วิสัชนา ระหว่างอิคคิวซัง กับท่านโชกุน ในห้องนี้)
ศาลาที่อยู่ตรงข้ามกับพลับพลาสีทองกลางน้ำ คาดว่าจะเป็นส่วนของวัด
(เกือบเที่ยงแล้ว แดดร้อนมาหน่อย เด็กเริ่มขาเปลี้ย ผู้ใหญ่ต้องเปลี่ยนกันอุ้ม)
แต่โดยภาพรวมแล้วเป็นสถาปัตยกรรม สมัยมุโรมาชิ
ในบ่อน้ำที่โอบด้านหน้าเอาไว้ มีปลาคราฟตัวใหญ่เยอะเลยครับ
มอส ตะไคร่น้ำ มีให้เห็นตามพื้นทั่วไป
เดินไปตามทางเดิน จะเป็นด้านหลังพลับพลาทองคำ ที่ติดกับแผ่นดิน
สวนรอบ ๆ ได้รับการตกแต่งด้วยก้อนหิน น้อยใหญ่ ได้รับบริจาคมาจากเจ้าเมือง
เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นสมัยมุโรมาชิเช่นกัน
เดินต่อไปอีกนิดจะถึงส่วนที่จำหน่ายของที่ระลึก
เป็นเครื่องราง ที่พกแล้วเชื่อว่าจะโชคดี สุขภาพแข็งแรง
เดินขึ้นไปบนภูเขาหลังจะเป็นต้นน้ำของน้ำที่ไหลมาในบ่อหน้าปราสาท
มองจากภูเขาหลังปราสาท
เลยไปอีกนิด เป็นที่โยนเหรียญลงถังโลหะใบเล็ก
ประมาณว่า โยนลง จะได้กลับมาอีก จะโชคดี ทำนองนี้
เราโยนแต่เหรียญบาท เหรียญห้า ไทยลงไป มิน่าล่ะไม่ลงเลย 555
(แอบเสียดายเหรียญเงินเยน เพราะมีแต่เหรียญ 100 เยน
เงินเยน มีแบ๊งค์ หมื่น ห้าพัน และพัน นอกนั้นเหรียญหมดเลย
ได้ทอนมาแต่ละที จะนับนานมาก หนักมากอ่ะ)
เดินต่อ ๆ จะเป็นเนินสูงขึ้นไปอีก จะเป็นบ้านน้ำชา
ข้าง ๆ ทางเดินจะมีแผ่นคลุมดินวางยึดเอาไว้ตามโคนต้นไม้
ให้มอสเกาะเป็นแผง ๆ เพราะอากาศร้อนขึ้นมันจะร่อนออกง่าย
บ้านดื่มน้ำชา Sekka-tei เป็นสถาปัตยกรรมสมัย Edo อยู่บนจุดสูงสุดของวัดนี้
เป็ยยอดเขาหลังปราสาท ซึ่งจะมองเห็นพระอาทิตย์คล้อยยามบ่าย
และพระอาทิตย์เกือบตกในตอนเย็น
ชื่อ Sekka-tei แปลว่า สถานที่แห่งความงามยามเย็น สร้างด้วยไม้ nandina ไผ่สววรค์ (โบรชัวร์เขียนอย่างนั้นนะ)
คราวนี้เดินลงเขาไปยังวัด
ในศาลเจ้านี้จะมีหินแกะสลักเป็นรูปเทพเจ้า Fudo-myo-o
สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 โดย Kobo-daishi ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธ นิกายชินงอน
น่าจะศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก เห็นจากคนมาเคาะระฆัง จุดธูปไหว้ และเขียนขอพร
เดินลงมาอีกจะเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP แต่ไม่ได้อุดหนุน เพราะเนสไม่ชำนาญ
ที่เนสแนะนำให้ชิม คือ ไอติมชาเขียว ตรงใกล้ ๆ ทางออก
ชาเขียวเค้าเข้มข้นจริง ๆ
และเด็กบ้านนี้ชอบแอบกินชาอยู่แล้ว เลยอร่อยกันใหญ่เลย
วันนี้โอเคชอบมากที่ได้กินไอติมชาเขียว กับช็อกโกแลตสตอเบอรี่ เมจิ
(ขายเมืองไทยสัก 300 ที่นี่ 90 กว่าบาท)
ทรมานแฟนบล็อก บังคับให้อ่านให้จบวันแล้วค่อยคอมเมนท์นะ 555 - - -
Create Date : 07 พฤษภาคม 2556 |
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 14:27:17 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1753 Pageviews. |
|
|