Bank of Memory: ธนาคารแห่งความทรงจำ

“แกรู้ไหมว่าอดีตกับความทรงจำ มันต่างกันยังไง...?”

คำถามนี้คุณพ่อของผมถามขึ้นมาในสัปดาห์สุดท้ายที่ท่านจะไปทำงานก่อนเกษียณตัวเองกว่าสามสิบห้าปีแห่งชีวิตการทำงานดูจะนานเพียงพอทำให้ชายคนนึงรู้สึกอิ่มตัวกับการรับใช้สังคมในฐานะมนุษย์เงินเดือน... ที่เป็นหนึ่งฟันเฟืองเล็กๆ คอยทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนี่งรวมถึงเศรษฐกิจในสังคมของเราเดินหน้าไป

ในห้วงเวลาที่ผมครุ่นคิดถึงคำตอบที่คุณพ่อถามขึ้นมาผมลอมองและตรึกตรองถึงชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคุณพ่อผมผมเห็นคุณพ่อหยิบกุญแจรถ ข้างๆ กุญแจมีกองหนังสือตั้งอยู่ ท่านขยับหนังสือที่เล่มบนสุดของกองที่บิ่นอยู่เพียงสามมิลลิเมตรให้ตรงกับเล่มข้างล่างเป๊ะ

ในช่วงที่ผมเป็นเด็กคุณพ่อของผมเป็นคนเคร่งครัดและมีวินัยสูงมาก ในวัยเด็กตอนที่ผมทำตัวเกเรเมื่อคุณแม่พูดออกมาเพียงคำเดียวว่า “เรื่องนี้ถึงหูปะป๊าแน่” ผมจะกลัวสุดขั้วหัวใจ... ผมยังจำได้ว่าตอนเด็กๆคุณพ่อจะตีผมน้อยมาก แต่วิธีการทำโทษของเขาที่ไม่ใช่การทำร้ายร่างกายต่างหากที่ทำให้ผมเข็ดและขยาดเข้าไปจนถึงเส้นประสาทชั้นใน เช่นเมื่อผมโวยวายจะดูทีวีในยามค่ำคืนท่านจะไล่ผมไปยืนตบยุงนอกบ้านหนึ่งชั่วโมงตอนตีหนึ่ง นอกจากนี้ท่านยังกวดขันในเรื่องการเรียนของผมตลอดมาเช่นในเทอมที่ผมเรียนได้เกรดแย่มาก... คุณพ่อจะเรียกผมเข้าไปในรถ เปิดแอร์ให้เย็นเฉียบและพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นยิ่งกว่าว่า... “แกทำให้ครอบครัวของเราอับอายชั้นและญาติๆ ของแกไม่เคยมีใครเรียนได้แย่ขนาดนี้ด้วยซ้ำ”


ถึงท่านผู้อ่านจะมองว่าคุณพ่อของผมดูจะทำอะไรเกินเหตุหรือแปลกประหลาด แต่จนถึงวันนี้ ผมกลับมองว่าทั้งหมดที่ท่านทำคือหน้าที่ของพ่อเพื่อจะบังคับและรักษาให้ลูกชายของตัวเองไม่เดินออกนอกลู่นอกทางหรือไปสร้างปัญหาให้สังคม

โดยเฉพาะแรงกดดันในเรี่องการเรียน...ถึงแม้คุณพ่อจะพูดจาแรงแบบไม่เกรงใจแต่ท่านก็คอยพร่ำสอนผมมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการหาโจทย์เลขมาให้ทำอ่านหนังสือด้วยกันและแข่งกันว่าใครจำได้มากกว่า และเมื่อเวลาผมทำได้ดีท่านก็ตบรางวัลให้สุดติ่งกระดิ่งแมวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นจักรยานแต่งจัดเต็มชุด อะไหล่ทุกตัวใหม่แกะกล่องแบบชนิดที่ผมจะไม่มีวันอายเด็กหน้าไหนในซอยไปอีกอย่างน้อยอีกสองปีตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวฮ่องกง พร้อมเงินช้อปปิ้ง!!

และสิ่งที่คุณพ่อพร่าสอน กระทำก็มีผลงอกเงยออกมาบ้างเช่นผมก็โชคดีที่สามารถสอบชิงทุนได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุสิบแปด หรือแม้แต่ลูกสาวของท่านหรือก็คือน้องสาวของผมเองที่สอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาคณะที่เล่าขานกันว่ายากที่สุดในประเทศไทยได้ สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ท่านมั่นใจในตัวเองมากขึ้นว่าวิธีการสอนของเขา ไม่ได้ผิดหรือเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด

ผมกำลังเดินไปส่งคุณพ่อที่ประตูรั้วท่านยังพูดอีกว่า “เดินไปออกทางประตูซ้ายมือสิมันเป็นทางที่สั้นที่สุด จากนี่ไปหน้าบ้านเรานะ ” “รู้แล้วน่า” ผมยิ้มตอบคุณพ่อ

ท่านพร่าสอนผมแทบจะทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องทัศนคติในการดำเนินชีวิต ทั้งเรื่องทางเทคนิค เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการใช้ชีวิตที่บางทีผมไม่อยากเชื่อว่าคนเราคิดเรื่องพรรณนี้ด้วยเหรอ ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎี ปิฏากอรัส การเอาบทเรียนทางสถิติมาช่วยในการซื้อลอตตารี่หรือแม้แต่การพยายามอธิบายว่าการติดกระดุมจากล่างขึ้นบนจะทำให้ประหยัดเวลากว่าการติดจากบนลงล่าง

ท่านสอนแม้แต่วิธีเขียนบทความให้ผมตั้งแต่ตอนผมยังเป็นเด็กประถมด้วยซ้ำท่านดูบทความที่ผมเขียนส่งครูบ่อยมาก และจะให้คอมเมนท์โดยตลอด ท่านจะให้คะแนนบทความของผมสี่ด้านเสมอ 

หนึ่ง ไอเดียดีไหม

สอง การดำเนินเรื่อง (เส้นเรื่อง) ควบคุมได้ไหม

สาม สำนวนโอเคไหม

สี่ กึ๋นของเรื่อง

วิธีสอนหรือความคิดของท่านอาจเข้าใจยากซักนิด (เพราะผมเองเป็นพ่อลูกกับท่านมาสามสิบปีก็ยังเข้าใจไม่หมด.. ) แต่ท่านบอกเสมอว่า 

“อย่าใช้มือเขียนบทความ.... จงใช้สมองเขียนมันแล้วครูจะถูกใจ 

แต่ถ้าจะให้บทความให้อยู่ในความทรงจำ เธอต้องใช้มากกว่านั้น”

และเมื่อผมโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น ผมก็เข้าใจมัน  เมื่อผมเขียนจดหมายรักฉบับแรกของผม(แน่นอน ผมไม่ได้ส่งให้พ่อดูนะ) ท่านพูดเหมือนกับรู้จักผมเป็นอย่างดี “เชื่อว่าเธอกำลังใช้สมองความรู้ รวมถึงเทคนิคการใช้คำทั้งหมด สร้างมันขึ้นมาใช่ไหม แต่เธอกำลังทำผิดในกรณีนี้ มันไม่ได้สำคัญที่ว่าจะให้คนอ่านคิดกับเรายังไง หรือจะให้รู้สึกยังไงกับเรา มันสำคัญที่ว่าเราได้เขียนในสิ่งที่เราต้องการจะบอกจริงๆไหมต่างหาก ดังนั้น ในวันนี้เธอต้องห้ามใช้สมองเขียนมัน...... แต่เธอต้องใช้หัวใจ เขียนมันออกมา !!”


จะว่าไปพวกเราในฐานะลูกหลาน ก็ทำตัวคล้ายๆ กับธนาคารอย่างนึง.... สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่หรือปู่ย่าของพวกเราได้เรียนรู้หรือพบมาจากประสบการณ์จริง มักจะถูกฝากมาถึงพวกเราในรูปแบบของคำสอนนับพัน นับหมื่น...ท่านคงพร่ำสอนพวกเราไปเรื่อยๆ เหมือนเงินฝากประจำ โดยอาจไม่รู้ตัวว่ามันจะถูกส่งผ่านและกลายเป็นความทรงจำของรุ่นลูก รุ่นหลานต่อไป... นอกจากนี้คำสอนที่สะสมในธนาคารความทรงจำของพวกเราเมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะออกดอกออกผลให้พวกท่านได้ชื่นชม เมื่อได้เห็นลูกหลานสามารถประสบความสำเร็จตามคำสอนของพวกท่านนั่นเอง

พ่อยังต้องขับรถไปทำงานทั้งๆที่อายุแทบจะเหยียบหกสิบแล้ว หากดูจากภายนอก หลายๆ คนคงมองว่า ในฐานะของมนุษย์เงินเดือน เรื่องราวและความคิดของผู้ชายคนนี้ คงดูแสนจะธรรมดาแต่ถ้ามองในฐานะว่าเขาคือคนที่เรารักและห่วงใย ชีวิตและเรื่องราวของคนๆนั้น .... มันคือความมหัศจรรย์

พ่อกำลังจะขับรถออกจากบ้านแล้ว.... “ว่าแต่ ไหนตอบคำถามที่ชั้นให้ได้หรือยัง ตอบให้มันดูดีได้ไหม”

ผมยิ้ม และตอบคุณพ่อกลับไปว่า

“อดีตจะเป็นเรื่องของคนคนหนึ่ง มันจะอยู่และจบลงที่คนๆนั้น 

แต่สำหรับความทรงจำ มันจะคงอยู่และสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลังตลอดไปครับ ..... ”

คุณพ่อของผมยิ้ม ท่านคงเดินทางออกไปทำงานเพื่อสร้างความทรงจำต่อไป

ส่วนผมเองก็มั่นใจว่า คำถามคำตอบของเรื่องนี้ จะถูกเก็บไว้ในธนาคารแห่งความทรงจำของผมและลูกหลานของผมอย่างแน่นอน

หมายเหตุ

บิดาของผู้เขียน ปัจจุบันเกษียณจากบริษัทโตโยต้าประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลงเหลือเพียงความทรงจำว่าเป็นหนี่งในพนักงานที่ซื่อสัตย์ที่สุดของบริษัทท่านทำงานอยู่กับบริษัทโตโยต้าเพียงแห่งเดียวตลอดชีวิต ของเขาเป็นเวลากว่า หนี่งหมื่นสามพันวัน

ส่วนผู้เขียนเอง ด้วยการวางแผนและความคิดของคุณพ่อกว่าสิบปี ผู้เขียนสามารถศึกษาจนจบโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 และสอบชิงทุนการศึกษาไปศึกษาปริญญาตรีและโท สาขาวิศวะกรรมศาสตร์ คอมพิวเตอร์ที่ มหาวิทยาลัยโตเกียวมหาวิทยาลัยที่มีลำดับดีที่สุดในทวีปเอเซียได้สำเร็จ ปัจจุบันก็ยังคงเชื่อรักและเคารพคำสอนของคุณพ่อตัวเองเสมอมา และใผ่ฝันว่าจะสามารถสอนและถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองให้กับลูกหลานได้ดีเช่นเดียวกับที่คุณพ่อทำให้ตน




Create Date : 22 ธันวาคม 2558
Last Update : 22 ธันวาคม 2558 22:48:57 น.
Counter : 1321 Pageviews.

1 comments
  
อ่านแล้วชอบอ่ะ ยอดเยี่ยม ปรบมือรัวๆๆครับ
โดย: อัญชัน IP: 27.130.96.224 วันที่: 27 ธันวาคม 2558 เวลา:21:53:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Green Albatross
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Group Blog