สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 46
สนทนาปราศรัยกับเจ้าภาพจนได้เวลาสมควรแล้ว ท่านพระครูก็เอ่ยปากลา เพราะตั้งใจจะไปแวะนมัสการหลวงพ่อพุทธโสธร ที่จังหวัดฉะเชิงเทราก่อน ต่อจากนั้นจึงจะไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมคุณนายนวลศรีที่วัดธาตุทอง
คุณนายโสภิตนิมนต์ให้ท่านพระครูสรงน้ำให้สดชื่นเสียก่อน เพราะจะต้องเดินทางไกลอีกหลายชั่วโมง นายสมชายก็ถือโอกาสอาบน้ำอาบท่าเพื่อความกระปรี้กระเปร่า จะได้ไม่ง่วงขณะกำลังขับรถ กว่าท่านพระครูจะขึ้นรถได้ นายสมชายก็ต้องสตาร์ทรถรอเกือบชั่วโมง เพราะเดี๋ยวคนนั้นเข้ามาถาม คนโน้นเข้ามาคุย ร่ำลากันอยู่นั่นแหละ พอคนนี้ลา อีกคนก็เข้ามาคุย จนนายสมชายหรู้สึกเวียนหัว
ฝ่ายคุณนายโสภิตก็ยกมือไหว้ลาแล้วลาอีก จนนายสมชายทนไม่ไหว ต้องเข้าไปสัพยอกว่า "หลวงพ่อ ผมสตาร์ทรอ หมดน้ำมันไปครึ่งถังแล้วนะครับ"
ในที่สุดท่านพระครูก็เดินขึ้นไปนั่งในรถคู่กับนายสมชาย โดยมีหลานชายของคุณนายโสภิตตามมาเปิดปืดประตูรถให้ แต่แล้วท่านพระครูก็ไขกระจกรถลง กล่าวคำร่ำลาอีก
"อาตมาไปนะโยมนะ อย่าลืมไปเที่ยววัดป่ามะม่วงบ้างล่ะ" "ค่ะหลวงพ่อ วันหลังฉันจะไปเข้ากรรมฐาน จะได้เหาะได้อย่างพี่โสภิต" น้องสาวของคุณนายโสภิตกล่าว "ตกลง อย่าลืมไปนะ" ท่านพระครูสำทับอีก
นายสมชายเคลื่อนรถออกช้าๆ แต่ก็ยังมีคนเกาะหน้าต่างรถ เดินตามมาพูดกับท่านอีก ต่อเมื่อรถวิ่งเร็วขึ้นจนพวกเขาตามไม่ทัน การสนทนาและร่ำลาจึงสิ้นสุดลง
"จำวัดที่นี่สักคืนดีไหมครับ หลวงพ่อ" นายสมชายประชด "อย่าเลย เดี๋ยวสาวบ้านเหนือเขาจะเศร้าสร้อยละห้อยหา ที่ไม่ได้เห็นหน้าเธอ"
ท่านพูดแทงใจดำ นายสมชายจึงต้องเงียบ เพราะเกิดคิดถึงคนรักขึ้นมาตะหงิดๆ วันนี้กว่าจะถึงวัดก็คงดึกด่ื่นเที่ยงคืน จะได้เห็นหน้ากันอีกครั้งก็ต้องตกค่ำของวันพรุ่งนี้ 'คิดถึง คิดถึง คิดถึงคะนึงหา' เขาแอบครวญเพลงอยู่ในใจ
ท่านพระครูเปิดโอกาสให้นายสมชายคิดคำนึงได้อย่างอิสระ ด้วยการไม่ชวนคุย ท่านนั่งหลับตาไปตลอด จนรถเข้าจอดที่ลานจอดรถวัดพระพุทธโสธร
"หลวงพ่อจะเข้าไปเยี่ยมท่านเจ้าอาวาสด้วยหรือเปล่าครับ" นายสมชายถาม "ไม่หรอก ท่านไม่อยู่ ไปกรุงเทพฯตั้งแต่เช้า" "ทำไมหลวงพ่อรู้เล่าครับ" นายสมชายถามเพราะเคยปาก "ก็ทำไมฉันจะไม่รู้เล่า" ท่านตอบเพราะเคยชิน
"นั่นสิครับ ผมก็ชอบลืมทุกทีว่าหลวงพ่อน่ะ รู้อะไรได้ทั้งนั้น ถ้าอยากรู้ แต่ก็อดถามไม่ได้สักที ปากมันเคยน่ะครับ"
นายสมชายพูดจบก็เดินอ้อมรถมาเปิดประตูให้ท่านลง แล้วเดินตามท่านเข้าไปในวิหารที่สถิตพระพุทธโสธร ซื้อดอกไม้ ธูป เทียน แผ่นทอง ถวายท่านพระครูและให้ตัวเองด้วย ท่านพระครูเข้าไปกราบนมัสการพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดฉะเชิงเทรา เสร็จแล้วจึงเดินกลับมาขึ้นรถ
"เดี๋ยวซื้อกระยาสารทร้านข้างทาง ไปฝากญาติโยมเขาหน่อย" ท่านสั่ง
ญาติโยมที่ท่านพูดถึงคือพระลูกวัด แม่ชี แม่ครัว ตลอดจนอุบาสกอุบาสิกาที่มาเข้ากรรมฐาน ไปไหนมาไหนท่านมักจะซื้อของติดไม้ติดมือมาฝากพวกเขาเสมอ
"หลวงพ่อครับ เขาว่ากันว่าหลวงพ่อโสธรท่านศักดิ์สิทธิมาก เป็นเพราะอะไรครับ แล้วทำไมพระพุทธรูปองค์อื่นๆไม่ศักดิ์สิทธิ์" ศิษย์วัดตั้งคำถาม
"จะว่าไปแล้วพระพุทธรูปก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ คือทำจากอิฐจากปูนเหมือนกัน แต่ที่บางองค์ศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่อีกหลายองค์ไม่ศักดิ์สิทธิ์นั้น ขึ้นอยู่กับเทวดาหรือเทพที่สิงสถิตอยู่ที่พระพุทธรูปองค์นั้นๆ ถ้ามีเทพหลายองค์ก็มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าไม่มีเทพสิงสถิตอยู่เลย ก็เป็นพระอิฐพระปูนธรรมดาๆ แต่เราก็สักการบูชาในฐานะที่ท่านเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือที่เรียกว่าเป็นพุทธานุสสติ ส่วนความศักดิ์สิทธิ์เป็นอีกเรื่องนึง ไม่เกี่ยวกัน"
"แล้วหลวงพ่โสธรท่านมีเทพสิงสถิตอยู่กี่องค์ครับ"
"สิบหกองค์ พระพุทธชินราชกับหลวงพ่อวัดไร่ขิง ก็มีเทพสิงสถิตหลายองค์ เทพเหล่านี้เป็นสัมมาทิฐิ หรือที่เรียกว่าพวกเทวดาตรง ส่วนพวกเทวดาพาลไม่ชอบอยู่กับพระ เพราะคุณธรรมไม่มี พวกนี้จะเกลียดพระด้วยซ้ำ ก็เหมือนมนุษย์ พวกที่ทำบาปเป็นอาจิณจะไม่นับถือพระ เห็นพระแล้วไม่เลื่อมไส รู้สึกคลื่นไส้ด้วยซ้ำ...
ฉันเคยรู้จักคนๆนึง ชื่อนายบุญช่วย หมอนี่เข้าวัดก็อาเจียน เห็นพระก็คลื่นไส้ เลยเกลียดวัดเกลียดพระ ฉันก็เลยมาลองวิจัยว่าเป็นเพระอะไร ก็เลยได้เห็นกฏแห่งกรรมของเขา ตาคนนี้บาปหนัก ชาติก่อนๆ ทำกรรมชั่วไว้มาก มาชาตินี้ก็มีอาชีพรับจ้างฆ่าคน"
"แล้วแบบนี้นรกเขาปล่อยออกมาได้ยังไงครับ ทำไมเขาไม่เาตัวไว้ลงโทษทัณฑ์" นายสมชายกังขา "ยังไม่ถึงเวลา อย่าลืมว่ากรรมมันก็ทำหน้าที่เหมือนม้วนเทปบันทึกเสียงนั่นแหละ เมื่อถึงเวลาก็จะให้ผลเองโดยอัตโนมัติ เหมือนการหมุนของม้วนเทป" "แล้วนายบุญช่วยคนนี้เป็นคนทำให้หลวงพ่อเขวี้ยงกระจกหมอดู ลงแม่น้ำเจ้าพระยาหรือเล่าครับ" "ไม่ใช่ คนละคน บังเอิญชื่อไปพ้องกัน"
"แหม หลวงพ่อ พูดก็พูดเถิดครับ ตั้งแต่ผมรู้จักคนขื่อนี้มา กี่คนๆ ก็หาดีไม่ได้สักคน อย่างนายบุญช่วยที่อยู่บ้านเหนือวัดนั่น ก็ลักเล็กขโมยน้อยเป็นประจำ จนชาวบ้านเขาเบื่อหน่าย ถ้าผมมีลูก รับรองไม่ให้ชื่อนี้เด็ดขาด"
"จะชื่ออะไรก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ตัวคนต่างหากล่ะ คนจะดีจะเลวอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ คนชื่อบุญแต่ทำบาปก็ยังได้บาปอยู่วันยังค่ำ หรือถ้าคนชื่อนายบาปแต่เขาทำบุญ เขาก็ได้บุญ เมื่อตายไปก็จะเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์ ส่วนนายบุญกลับต้องไปอบาย ไปทุคติ"
"หลวงพ่อครับ สวดอภิธรรมคุณนายราศีเริ่มกี่ทุ่มครับ" นายสมชายกังวล เพราะขณะนั้นเพิ่งจะสี่โมงเย็น อีกชั่วโมงเศษๆ ก็จะถึงกรุงเทพฯ
"อย่ากังวลไปเลย ประเดี๋ยวถึงกรุงเทพฯ เธอพาฉันไปเสาชิงช้า ฉันจะไปหาซื้อผ้าไตรสักสองสำรับ เอาไว้ช่วยตอนงานศพเจ๊นวลศรีสำรับนึง คุณนายราศีอีกสำรับนึง กรุงเทพฯ รถติด กว่าจะไปจะมาก็ได้เวลาหนึ่งทุ่มพอดี เชื่อฉันสิ"
"ครับ ผมเชื่อหลวงพ่อ" นิ่งไปอึดใจหนึ่งก็ถามต่อว่า "แล้วเราจะกลับถึงวัดกันกี่ทุ่มกี่ยามเล่าครับ"
"กี่ทุ่มก็ช่างปะไร ไม่เห็นต้องห่วง หรือว่าเธอห่วงอะไร" ท่นแกล้งย้อนถาม
"ผมก็ไม่ห่วงอะไรหรอกครับ ถ้าจะห่วงก็ห่วงหลวงพ่อนั่นแหละ กลัวจะเหนื่อยเกินไป" เขาว่า
"อย่าเอาฉันมาอ้างเลยน่า เธอกลัวจะไม่ได้เห็นหน้าสาวบ้านเหนือต่างหาก ทำใจเสียเถอะสมชาย ฉันรู้ว่าวันนี้ยังไงๆ ก็ไม่ได้พบกันแน่ แล้วยังรู้อีกด้วยว่าเธอจะไม่ถึงกับขาดใจวายปราณเสียก่อนหรอก ดวงยังไม่ถึงฆาต" ท่านพูดอย่างรู้เท่าทัน
"ครับ ดวงอย่างผมอายุยืน ว่าจะอยู่ไปถึงอายุสองร้อยห้าสิบปี ถึงจะตาย" นายสมชายประชด
"งั้นหรือ นิมนต์ตามสบายนะ ส่วนฉัน อีกสี่ปีก็จะขอลา" ท่าน 'เผลอ' บอกความลับ
นายสมชายตกใจเหลือหลาย จนรถแฉลบออกขวาไปครึ่งคัน โชคดีที่ไม่มีรถสวนมา เขาประคองพวงมาลัยให้รถกลับเข้าเส้นทางเดิม แล้วลดความเร็วลง จนรถคันหลังๆ ที่ตามมาแซงขึ้นหน้ากันไปหมดแล้ว นายสมชายจึงเบรคพรืดจอดรถตรงข้างทาง รู้สึกหมดแรงที่จะขับต่อไป
"ขับรถให้มันดีๆ หน่อย เดี๋ยวก็จะอยู่ไม่ถึงสองร้อยห้าสิบปีหรอก" ท่านพระครูสัพยอก "หลวงพ่อครับ ผมไหว้ละ" เขายกมือขึ้นไหว้ "ผมถามจริงๆว่าเมื่อกี้หลวงพ่อพูดว่าอะไร หลวงพ่อพูดเล่นใช่ไหมครับ ผมไม่สบายใจเลยที่ได้ยิน"
"นั่นเพราะเธอเป็นคนไม่ยอมรับความจริงน่ะสิ เอาละ ไหนๆ ฉันก็เผลอพูดออกไปแล้วก็จะบอกให้เธอรู้เสียเลย ฟังแล้วก็จำเอาไว้นะ วันที่ 14 ตุลาคม 2523 ฉันจะประสบอุบัติเตุรถคว่ำ คอหักตาย ตอนเที่ยงสี่สิบห้านาที กฏแห่งกรรมบอกอย่างนั้น"
ได้ยินท่านพูด นายสมชายถึงกับร้องไห้ด้วยความโทมนัส เขายกมือขึ้นปาดน้ำตา พร้อมกับถามว่า "ทำไมหลวงพ่อจะต้องเป็นอย่างนั้นด้วยล่ะครับ นี่ถ้าผมไม่ได้ยินจากปากหลวงพ่อเอง ผมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด"
"ก็เพราะกรรมน่ะสิ สมชาย กรรมบันดาลให้ฉันต้องเป็นอย่างนั้น" ท่านตอบเสียงเรียบ "กรรมอะไรคนับ ผมเห็นหลวงพ่อทำแต่กรรมดี" "ตอนทำกรรมชั่วเธอไม่เห็นน่ะสิ ดูเหมือนเธอยังไม่เกิดด้วยมั้ง ตอนอายุสิบสองสิบสาม ฉันฆ่านกตายเป็นร้อยๆ ยิงนกเป็ดน้ำลงมา แล้วก็หักคอมันซ้ำอีก"
"หรือครับ แต่นั่นมันตอนเป็นเด็ก หลวงพ่อยังไม่ทันรู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ ตอนนี้หลวงพ่อบวชแล้ว แล้วยังเป็นผู้วิเศษด้วย ผมว่าไม่น่าจะต้องไปรับกรรมสำหรับบาปนั้น"
"ถ้าฉันเป็นผู้วิเศษอย่างที่ว่าก็ดีน่ะสิ แต่บังเอิญฉันไม่ได้เป็น ก็เลยต้องรับกรรมไปตามระเบียบ อ้อ..แต่ถึงจะเป็นผู้วิเศษ ก็ใช่ว่าจะหนีกรรมพ้น ดูอย่างพระโมคคัลลานะ ท่านเป็นผู้วิเศษขนาดเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังถูกโจรทุบจนกระดูกแหลกเป็นเม็ดข้าวสารหัก ดังนั้นเธอจงเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องว่า ผู้วิเศษก็ต้องใช้กรรมเหมือนกัน เอาละ ทำใจให้สบายแล้วก็ออกรถได้ เดี๋ยวจะไม่ทันงาน แล้วก็เก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยนะ อย่าบอกใครเป็นอันขาด โดยเฉพาะเจ้าขุนทอง ฉันรำคาญ เดี๋ยวก็จะทำวี้ดว้ายกระตู้วู้ใส่ฉัน" ท่านนึกเห็นภาพหลานชาย หากรู้เรื่องนี้
"หลวงพ่อเคยบอกเรื่องนี้กับใครหรือยังครับ"
"ก็เผลอบอกพระบัวเฮียวเป็นคนแรก เธอเป็นคนที่สอง เอาไว้เวลานั้นใกล้เข้ามาจึงจะบอกคนอื่นๆ มันจำเป็นต้องบอกน่ะ ฉันจะได้ขออโหสิกรรมจากเขา แล้วก็จะได้ขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือฉัน เช่น ญาติโยมที่นำข้าวของเงินทองมาช่วยเป็นค่าน้ำค่าไฟวัดและค่าอาหาร"
"หลวงพ่อไม่มีทางแก้ไขอย่างอื่นเลยหรือครับ หรืออย่างน้อยก็ต่อเวลาออกไปอีกสักสิบปียี่สิบปี หลวงพ่อน่าจะต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรได้ ผมรู้ว่าหลวงพ่อทำได้" นายสมชายยังไม่ยอมจบเรื่อง
"สมชาย เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว"
ท่านพระครูสั่งด้วยเสียงเรียบๆ แต่นายสมชายก็รู้ว่าต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เขาจึงหยุดพูด แต่ไม่ได้หยุดคิด ยังข้องใจสงสัยไปตลอดทาง เกี่ยวกับเรื่องบาปบุญคุณโทษ เรื่องกรรมดีกรรมชั่ว คิดแล้วคิดเล่าเฝ้าแต่คิด ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ในที่สุดก็เลยเปลี่ยนมาคิดถึงสาวบ้านเหนือแทน เพราะสบายใจกว่า
นายสมชายพาท่านพระครูมาส่งที่ร้านสังฆภัณฑ์แห่งหนึ่งใกล้เสาชิงช้า แล้วไปหาที่จอดรถ ท่านพระครูเดินเข้าไปในร้าน คนขายอายุประมาณสี่สิบเศษ รีบเข้ามาต้อนรับ
"นิมนต์ครับหลวงพ่อ มีอะไรจะให้ผมรับใช้"
เขายกเก้าอื้มาให้ท่านนั่ง พลางหันไปสั่งลูกจ้างในร้านให้นำน้ำชาร้อนๆมาถวาย
"อาตมาอยากจะซื้อผ้าไตรสักสองสำรับ เอาสีกรักชนิดที่เนื้อผ้าดีที่สุด ราคาแพงหน่อยก็ไม่เป็นไร" ท่านสั่ง
ปกติสิ่งของที่จะให้ผู้อื่นนั้น ท่านจะต้องเลือกชนิดที่ดีที่สุด แต่สำหรับตัวท่านเองนั้นเป็นชนิดอะไรก็ได้ ตามแต่ญาติโยมเขาจะถวาย
"หลวงพ่อใช้เองหรือครับ" คนขายถามอย่างสงสัย เพราะปกติพระจะไม่ซื้อผ้าไตรสำหรับตัวเอง แต่พระสมัยนี้ก็ไม่ค่อยจะเคร่งสักเท่าไหร่ หลวงพ่อรูปนี้อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้
"ไม่ใช่หรอกโยม อาตมาจะเอาไปช่วยงานศพเขา อาตมาไม่เคยซื้อผ้าไตรจีวรให้ตัวเอง
เจ้าของร้านฟังแล้วเกิดศรัทธา จึงกล่าวว่า "งั้นผมขอร่วมทำบุญด้วยนะครับ ผมจะขายให้หลวงพ่อหนึ่งสำรับ ส่วนอีกหนึ่งสำรับผมถวายเพื่อร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ"
ชาวยวัยสี่สิบเศษแสดงความจำนง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ขาดทุน เพราะได้บวกกำไรเท่ากับราคาต้นทุนเอาไว้แล้ว
"หากเป็นความประสงค์ของโยม อาตมาก็ขออนุโมทนา คงไม่คิดว่าอาตมามาเรี่ยไรหรอกนะ เงินทองอาตมาก็เตรียมมาพร้อม ไม่ขอรบกวนใคร" ท่านรีบพูดออกตัวเพื่อกันการเข้าใจผิด
"ผมไม่ถือเป็นการรบกวนหรอกครับ นานๆ จะเจอพระอย่างหลวงพ่อสักครั้ง พวกพระที่ผมเห็นหรือรู้จัก ท่านเอาแต่รับลูกเดียว แต่หลวงพ่อกลับเป็นผู้ให้ แถมเลือกของดีที่สุดให้ด้วย ผมศรัทธาหลวงพ่อจริงๆ ครับ"
เขาพูดพร้อมกับนำผ้าไตรสองสำรับใส่ลงถุงกระดาษส่งให้ท่าน นายสมชายซึ่งเดินเข้ามาพอดีรับของมาถือไว้ ท่านพระครูจ่ายเงินค่าผ้าไตรพร้อมกับให้ศีลให้พรเจ้าของร้าน แล้วกล่าคำอำลา ออกไปขึ้นรถ
"หลวงพ่อองค์นี้คงไมใชพระธรรมยุตนะ เพราะท่านจับเงิน" เขาพูดกับลูกจ้างในร้าน "ครับ คงเป็นพระมหานิกาย แต่ท่าทางท่านสมถะน่าเลื่อมไสดีนะครับ พระบางรูปทำเคร่ง ไม่จับเงินจับทองต่อหน้าคนอื่น แต่พอลับหลัง แบงค์ร้อยเป็นฟ่อนเลย พระสมัยนี้ดูยากนะครับ เถ้าแก่"
"นั่นสิ อั๊วะถึงศรัทธา ถวายท่านไปสำรับนึง ทำบุญกับพระแบบนี้ถึงจะได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วยหน่อย"
การจราจรในกรุงเทพฯ ติดขัดมาก จนนายสมชายนึกรำคาญ แต่เขาก็สามารถนำท่านพระครูมาถึงวัดธาตุทองในเวลาหนึ่งทุ่มตรงพอดิบพอดี
พันเอกประวิทย์และคุณนายคนใหม่เข้ามาต้อนรับ รู้สึกตกใจที่เห็นท่านมา ท่านคงเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ แต่ทำไมจึงรู้ว่าตั้งศพที่วัดนี้ หรือว่ามีใครไปบอกท่าน คนทั้งสองสงสัย
"นิมนต์ครีบหลวงพ่อ เป็นพระคุณอย่างสูงที่กรุณามา" "ทำไมหลวงพ่อจึงทราบว่าอยู่วัดนี้คะ" คุณนายคนใหม่ถามอย่งไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้ได้
หล่อนแต่งชุดดำและตีหน้าเศร้า แต่ดวงตาทั้งคู่แจ่มจร้สเหมือนยินดีปรีดาที่หมดเสี้ยนหนาม นายสมชายพอจะดูออกว่าผู้หญิงคนนี้มีท่าทางพิรุธ เลยพานสงสัยว่าหล่อนอาจจะเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังก็ได้
"หลวงพ่อคงทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ใช่ไหมครับ" พันเอกประวิทย์ถามบ้าง
"อาตมารู้เพราะคุณนายราศีเขาไปลาอาตมาคืนก่อนที่จะตาย เขาไปลาด้วยตัวเอง แต่รู้ว่าอยู่วัดนี้นั่นอาตมาคิดเอาเอง"
คำตอบของท่านทำให้คุณนายคนใหม่หน้าถอดสี
"แสดงว่าเขารู้ตัวว่าจะตายหรือคะ" หบ่อนถาม "ถูกแล้ว และเขาก็รู้ด้วยว่าใครยิงเขา"
ภรรยาคนใหม่ซึ่งมีสีหน้าซีดขาวจนเห็นได้ชัด กลั้นใจถามออกไปว่า "ใครยิงเขาคะ" "เรื่องนี้อาตมาบอกโยมไม่ได้หรอก เพราะรับปากเขาไว้แล้วว่าจะปิดเป็นความลับ แต่เขาก็อโหสิให้นะ เขาบอกว่าเมื่อชาติก่อนเขาเคยฆ่าคนๆ นี้ มาชาตินี้เลยต้องถูกเขาฆ่า จะจริงหรือไม่จริง อาตมาเป็นสงฆ์ ไม่ขอออกความเห็น" ท่านพูดเพื่อให้คนฟังสบายใจ
"แล้วคนยิงจะถูกจับได้ไหมคะ" "คงไม่ได้มั้ง ก็เขาว่าเขาอโหสิกรรรมให้แล้ว ก็คงไม่จองเวรจองกรรมกัน"
คำตอบของท่านพระครูทำให้สตรีวัยสี่สิบค่อยหายใจโล่งอก หล่อนรีบขอตัวไปรับแขกอีกด้านหนึ่ง
ท่านพระครูส่งถุงผ้าไตรที่นายสมชายนำมาส่งให้ ให้พันเอกประวิทย์
"ผู้พัน วันเผาอาตมาคงมาไม่ได้ ฝากผ้าไตรไว้ถวายพระสำรับนึง อาตมาขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้คุณนายราศีด้วย"
พันเอกประวิทย์ยื่นมือมารับผ้าไตรด้วยอาการสั่นนิดๆ รู้สึกปิติจนน้ำตาคลอ และเมื่อลูกชายลูกหญิงเดินจูงมือกันเข้ามากราบท่านพระครู เขาก็รู้สึกรันทดจนน้ำตาไหล
"หลวงตาจำพวกเราได้ไหมคะ เราเป็นลูกคุณแม่ราศีค่ะ" เด็กหญิงพูด "จำได้จ้ะหนู หลวงตาเสียใจด้วยนะ ที่คุณแม่หนูมาด่วนจากไป แต่เขาสบายแล้ว เขาบอกหลวงตาเอง หนูสองคนไม่ต้องเป็นห่วงเขานะจ๊ะ" "คุณแม่อยู่บนสวรรค์ใช่ไหมครับ หลวงตา" เด็กชายถามบ้าง "จ้ะ หนูสองคนต้องหมั่นทำความดีนะ จะได้ไปอยู่กับคุณแม่่" "คุณแม่อยู่บนสวรรค์จริงๆใช่ไหมคะ" "ถูกแล้วจ้ะ"
คุณนายคนใหม่มองมาเห็นลูกเลี้ยงกำลังคุยกับท่านพระครูอยู่ ก็รู้สึกหมั่นไส้ ด้วยมีจิตริษยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเดินเข้ามาเอ็ด
"เธอสองคนมากวนพระกวนเจ้าอยู้ได้ ออกไป เด็กก็อยู่ส่วนเด็กซิ"
พันเอกประวิทย์เริ่มมองเห็นภัยที่กำลังจะมาถึงลูกน้อยทั้งสอง เขารู้สึกเสียใจที่คิดผิด ไม่น่าพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับสตรีผู้นี้เลย ความหายนะคงจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
เมื่อถูกแม่เลี้ยงดุ เด็กทั้งสองจึงกราบท่านพระครูแล้วพากันลุกออกไป ท่านพระครูไม่ได้พูดอะไร เพราะหากท่านพูดเข้าข้างเด็ก ก็จะยิ่งทำให้คนเป็นแม่เลี้ยงเกิดความชิงขังเด็กทั้งสองมากยิ่งขึ้น ทางที่ดีก็ต้องใช้คาถา 'ตาดู หูฟัง ปากนิ่ง'
นายสมชายขับรถพาท่านพระครูกลับมาถึงวัดป่ามะม่วงก่อนเวลาสองยามเล็กน้อย เคาะประตูเรียกอยู่นาน กว่านายขุนทองจะงัวเงียลุกขึ้นมาเปิดให้ แล้วรีบกลับเข้าไปนอน ทิ้งหน้าที่การปิดประตูไว้ให้นายสมชาย ท่านพระครูอยากจะถามเรื่องการสวดอภิธรรมศพเจ๊นวลศรี ว่าเรียบร้อยหรือไม่ ก็มีอันไม่ได้ถาม ท่านคิดว่าพรุ่งนี้ก็คงจะรู้ พระมหาบุญคงทำหน้าที่แทนท่านได้อย่างเรียบร้อยเหมือนเคย
ผู้ประพันธ์ : ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม (หมวดหนังสือ)
Create Date : 24 มิถุนายน 2559 |
Last Update : 24 มิถุนายน 2559 16:20:21 น. |
|
36 comments
|
Counter : 1065 Pageviews. |
|
|
|
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
คนบ้านป่า Home & Garden Blog ดู Blog
Raizin Heart Movie Blog ดู Blog
Sweet_pills Travel Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Dharma Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น