บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
23 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
อุบาสิกา ถวิล - บทที่สิบสอง - เสียอะไร ได้อะไร

บทสุดท้ายตอนจบของหนังสือเล่มนี้ ป้าใคร่สรุปชีวิตของป้า ในระยะที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวัดตลอดมาว่า ป้าต้องเสียสิ่งใดไปบ้าง และป้าได้สิ่งใดตอบแทนมา

ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ มาตั้งแต่ต้น จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ป้าสูญเสียไป เมื่อเริ่มต้นสร้างวัดคือความสุขความเจริญทางโลก ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข คือเสียความสงบสุขของครอบครัว เสียความก้าวหน้าในอาชีพการงาน

ความเป็นอยู่ในครอบครัว ซึ่งเคยรักใคร่ปรองดอง มีความอบอุ่นใจร่วมสุขร่วมทุกข์กัน เมื่อเกิดความคิดเห็นไม่เสมอกัน ฝ่ายหนึ่งคิดจะทุ่มเทชีวิตสร้างบุญกุศล อีกฝ่ายไม่เห็นด้วยแกล้งประชดชีวิตด้วยการทำสิ่งตรงข้าม ครอบครัวเป็นอันแตกร้าว และแยกชีวิตจากกันไป รายได้ที่เคยร่วมกันทำมาหากิน ก็ถูกตัดขาด ป้าจึงมีแต่รายได้ของตนเอง พอเลี้ยงชีวิตคนในครอบครัวตามลำพัง เรียกว่าเสื่อมลาภ

หน้าที่การงานซึ่งกำลังรุ่งเรืองตลอดมา ต้องหยุดชะงักลง เมื่อมีตำแหน่งหน้าที่ระดับสูงว่างลง ถึงแม้ป้าจะมีคุณสมบัติ เหมาะสมที่สุดมากกว่าผู้อื่น แต่เมื่อมีจุดบกพร่องว่าครอบครัวแตกร้าว ยศที่ควรได้รับก็เป็นอันถูกงด ผู้บังคับบัญชาให้ตำแหน่งนั้นแก่คนอันดับรองลงไป ที่ไม่มีปัญหาครอบครัว เรียกว่าป้าต้องเสื่อมยศ เราเป็นฝ่ายผิดหรือถูกก็ตาม เมื่อมีปัญหาในครอบครัว ผู้คนก็นำไปติฉินนินทาแคะได้ เอาความผิดมาวิพากษ์วิจารณ์กันจนได้ คำสรรเสริญที่เคยได้รับตลอดมาหมดลง มีแต่ถูกนินทา

ทั้งเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ชีวิตจะหาความสุขทางโลก ได้จากที่ไหน เมื่อไม่มีอุบายรักษาใจ ความทุกข์ย่อมเข้าครอบงำเป็นเจ้าเรือน พบแต่โลกธรรมฝ่ายเลว

แต่สิ่งที่ป้าได้รับนับแต่วันได้พบหมู่คณะ ที่บ้านธรรมประสิทธิ์ ตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ คือชีวิตได้มีโอกาส สร้างบารมี

โอกาสสร้างบารมี นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่ดีที่สุด มีค่าที่สุดที่ควรได้รับ ควรได้พบในทุกครั้งที่ต้องเกิด ใครก็ตาม แม้จะเกิดมาร่ำรวยล้นฟ้า สวยงามปานเทพบุตรเทพธิดา มีความรู้วิทยาการในโลกนี้เหนือใคร ปฏิภาณไหวพริบล้ำเลิศแค่ไหน แต่ไม่มีโอกาสสร้างบารมี สิ่งดีๆ ที่มีอยู่หรือแสวงหามาได้ ก็กลายเป็นโมฆะสูญเปล่าไปสิ้นเชิง คือตายไปแล้วไม่ได้อะไรติดตัวไป ดีไม่ดีกลับทำเรื่องบาปขาดทุนติดไปอีก

เพราะฉะนั้น ถ้าชีวิตได้มีโอกาสสร้างบารมี ต้องถือว่าได้สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับการเกิดมาในชาตินี้แล้ว แม้ว่าการได้สิ่งนี้จะต้องสูญเสีย สิ่งอื่นๆ ไปมากเท่าใด ก็ต้องยอม

ป้าจะเล่าการสร้างบารมีที่ป้ามีโอกาส ให้ฟังไปทีละอย่างโดยสังเขป เพื่อยืนยันว่าหากป้ามีชีวิตครองเรือนที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ อย่างที่เป็นอยู่ ก่อนพบหมู่คณะแล้ว ป้าจะไม่มีโอกาสสร้างบารมี อย่างที่ได้ผ่านมายี่สิบกว่าปีนี้เลย

เรื่องแรก สร้างทานบารมี เพราะดำริสร้างวัดกันขึ้นมา ป้าจึงได้โอกาสเสียสละบริจาคทั้งแรงกาย แรงใจ สติปัญญา และทรัพย์สินเข้าช่วยเหลือในหมู่คณะ

แรงกาย ก็ช่วยเขียนหนังสือ ทั้งพิมพ์เผยแพร่ ทั้งโต้ตอบจดหมาย พร้อมทั้งวิ่งเต้นเดินทาง ติดต่อขอความช่วยเหลือ จากเอกชนและหน่วยงานต่างๆ บางเรื่องเป็นเวลาหลายๆ วัน พบกับผู้คนที่ไม่เข้าใจ ต้องพบกับคำตำหนิติติงซึ่งหน้า ผลงานก็สำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง เหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ มีสติปัญญาแค่ไหนที่จะทำให้งานสำเร็จ ก็นำมาใช้จนสุดกำลัง บางอย่างติดต่อโดยตรงไม่สำเร็จ ก็ใช้ปัญญาคิดหาหนทางอื่น อ้อมไปก่อน ให้สำเร็จได้ในที่สุด

เรื่องทรัพย์สินสิ่งมีค่า ป้าได้ร่วมบริจาคไว้เต็มที่เท่าที่ตนเองมี อาจจะดูน้อยราคาเมื่อเทียบกับฐานะของเศรษฐี แต่สำหรับคนรายได้ปานกลางอย่างป้า สิ่งที่ทำทานไว้ ก็เป็นสิ่งมีค่าที่สุดเท่าที่ตนมี เช่นเงิน ทอง เครื่องประดับ ที่อยู่อาศัย บริจาคไปแล้ว ไม่สูญเปล่าเลย ทุกวันนี้ยามใดที่ได้เห็นของเหล่านั้น ของใครๆ ในที่ใดก็ตาม ก็ให้รู้สึกอิ่มใจอยู่เสมอ เพราะนึกถึงว่าได้ฝากของมีค่าของตนเองไว้ในที่ปลอดภัย สำหรับใช้เป็นเสบียงในภพชาติเบื้องหน้าแล้ว

หากไม่มีการสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น สมบัติที่มีอยู่ ก็ต้องเก็บไว้ให้ลูกหลาน แรงกายใจสติปัญญา คงต้องใช้ในการทำมาหากิน เก็บไว้ให้ครอบครัว ซึ่งอาจจะอยู่กันสุขสบาย แต่ก็เป็นความสบายในภพชาติเดียว ปัจจุบันนี้เท่านนั้น พ้นจากชาตินี้ไป จะไปเกิดที่ไหนก็ตามคงมีชีวิตแร้นแค้นยากลำบาก ไม่มีผลทานตามไปหล่อเลี้ยง รักษา ให้ได้สร้างบารมีโดยสะดวก

เรื่องที่สอง ศีลบารมี เพราะได้พบหมู่คณธ จึงมีกำลังใจในการรักษาศีล ฟังคำสอนที่ว่าศีลห้า ทำให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ ทำให้มีกำลังใจรักษา พอรักษาศีลห้าได้ครบถ้วนบริบูรณ์ การเลื่อนขึ้นเป็นรักษาศีลแปด ก็ทำได้ไม่ยาก ในที่สุดก็สามารถปฏิบัติได้ปกติ เป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องคอยระวังเหมือนตอนรักษาใหม่ๆ ถ้ายังมีชีวิตครองเรือนเหมือนเดิม โอกาสรักษาศีลแปด ดูจะไม่มีเอาเลย

เมื่อตอนวัยรุ่น ป้าเคยมีเพื่อนที่สวยมาก จนเข้าประกวดได้ตำแหน่งเทพีหลายแห่ง เคยนึกสงสัยว่าเหตุใด เขาจึงเกิดมาสวย ทั้งที่พ่อกับแม่ของเขาไม่สวยเลย ป้ากับแม่ของป้ารูปร่างต่างก็ดีกว่าแต่มีลูกได้ขนาดป้าเท่านั้น คือเป็นเพียงคนคมขำ ไม่ใช่คนสวย ป้าเคยนึกว่าเรื่องความร่ำรวย ก็พอแข่งกันทำมาหากินได้ การศึกษาสูงก็พอแข่งกันเรียนได้ แต่ความสวยงามไม่รู้จะแข่งกันอย่างไร

พอมาเรียนรู้เรื่องอานิสงห์ของการรักษาศีลเข้า จึงเข้าใจแจ่มแจ้ง เมื่อชาตินี้งามขนากเทพีไม่ได้ เรารักษาศีลให้บริสุทธิ์เต็มที่เข้าไว้ ผลบุญจากศีล จะทำให้เราได้รูปร่างหน้าตาและสุขภาพที่ดีเอง แต่ป้าก็ไม่ลืมอธิษฐานกำกับว่า ผลจากบุญทุกอย่างที่เกิดขึ้น ขอให้ใช้ในการสร้างบารมีอย่างเดียว

ฉะนั้น ถ้าผลจากการรักษาศีล ทำให้เกิดชาติหน้า ป้าเป็นคนสวยคนงาม ก็จะใช้ความงามเหล่านั้นเป็นเหตุสร้างกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

เรื่องที่สาม เนกขัมมบารมี การออกจากกาม คือไม่กำหนัดยินดีใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรื่องนี้ถ้าได้อาศัยการรักษาศีลแปด จะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีได้ง่ายขึ้น ส่วนศีลแปด ต้องอาศัยการไม่ครองเรือนเป็นพื้น ถ้าป้ายังมีชีวิตครองเรือนตลอดมา เรื่องเนกขัมมบารมี คงบำเพ็ญได้ยากเย็นเต็มที การครองเรือนที่สมบูรณ์ มักจะต้อง มีรูปงาม มีรสอร่อย มีกลิ่นหอม มีเสียงไพเราะ มีสัมผัสอ่อนนุ่มเย็นสบาย ซึ่งเป็นเรื่องตรงข้ามกับการบำเพ็ญเนกขัมมะ ไม่ติดในสิ่งเหล่านี้ บริโภคตามมีตามได้ ไม่มีความรู้สึกชอบหรือความรู้สึกชัง แต่ถ้ามีการเลือกได้ ก็จะเลือกในสิ่งที่พอประมาณ เป็นสายกลาง ไม่หลงไหลในสิ่งที่เป็นอิฏฐารมณ์ อารมณ์อันถูกใจอันจะเป็นการกำหนัดยินดีในกามได้ง่าย

ในบรรดาอารมณ์ทางกามทั้งหมด รสสัมผัสทางเพศ เป็นอารมณ์ที่เลิศที่สุด สัตว์ทั้งหลายติดข้องกันอยู่ อย่างถอนไม่ขึ้น ติดยิ่งกว่าสิ่งเสพติดทั้งหลาย ติดข้ามภพข้ามชาติ

การบำเพ็ญเนกขัมมะของคนครองเรือน จึงเป็นเรื่องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ต้องใช้กำลังใจสูงส่ง จึงจะทำได้สำเร็จ ป้าก็ตกอยู่ในสภาพนั้น ทั้งเจ็บปวดทั้งเหือดแห้งใจ รู้จักคำว่าทุกข์ คำว่าโทมนัส คำว่าโศกา คำว่าปริเทวะ คำว่าอุปายาสะ ก็ตอนบำเพ็ญเนกขัมมบารมีนี่เอง ไม่ใช่รู้จักแค่คำพูด แต่รู้จักอาการของคำเหล่านี้ เพราะเกิดขึ้นแก่กายใจตัวเอง

แต่เมื่อสามารถเอาชนะใจ บำเพ็ญสำเร็จ เกิดความสุขอีกแบบหนึ่ง เป็นความเย็นกายเย็นใจ ความอิ่มเอิบใจ เห็นชีวิตใครๆ ที่ครองเรือนกันอยู่ เหมือนคนติดคุกติดตะราง ส่วนเราผู้พ้นออกมาจากกามได้ เหมือนคนมีอิสระภาพ ปลอดโปร่งใจกว่ากัน อย่างเทียบไม่ได้

เรื่องที่สี่ ปัญญาบารมี ในชีวิตครองเรือน การเพิ่มพูนปัญญาให้ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการดู การอ่าน การฟัง การคิด ที่ให้เกิดปัญญา เอาตนเองให้พ้นกิเลส มีเวลาทำได้น้อยมาก เพราะเวลาส่วนใหญ่ต้องใช้ดูแลครอบครัว ยิ่งเป็นเรื่องภาวนามยปัญญา ปัญญาจากการภาวนา ยิ่งมองไม่เห็นโอกาสทำได้ ใจจะกังวลหมกมุ่นอยู่กับสาระ และความผูกพันระหว่างสมาชิกในบ้าน ในที่ทำงาน ห่วงคนโน้น กังวลเรื่องคนนี้ ในที่สุดการภาวนาให้ใจสงบก็ทำไม่ได้ ปัญญาไม่เกิด

แต่เมื่อป้าเอาตัวรอดออกมา จากการครองเรือนได้ แม้จะทุลักทุเล ไม่ปลอดโปร่งนัก ก็ยังได้รับผลดีตามมา ยังพอมีเวลาได้อ่าน ได้ฟังข้อธรรมต่างๆ แล้วนำมาคิดใคร่ครวญ ยามว่างก็ได้ทำภาวนา แรกๆ ก็เป็นเรื่องค่อนข้างยากลำบาก แต่เมื่อทำติดต่อกัน นานเข้า มีความชำนาญเกิดขึ้น ก็พอได้รับผลของการปฏิบัติ มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เกิดขึ้นในใจตนเอง

ป้าเคยเป็นคนเจ้าโทสะอย่างแรง ก็มีสติข่มความโกรธได้เร็วขึ้น เคยขี้ตระหนี่ถี่เหนียว ก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากขึ้น และสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ตามความเป็นจริงที่ควรเป็น ไม่หลงไหลมัวเมาง่ายๆ เหมือนสมัยไม่รู้อะไรเลย

ยังมีความวิเศษอย่างยิ่งประการหนึ่ง ในการสร้างปัญญาด้วยการภาวนา เพราะสามารถกำหนดเห็นที่ตั้งของใจ เห็นการทำงานของใจ อันเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถคุ้มครองใจ ในยามมีความทุกข์มากล้ำกราย กลั่นใจให้ผ่องใสได้เร็วกว่า คนที่ไม่เคยปฏิบัติ ใจมีที่พึ่งอันแท้จริง

และจากปัญญาขั้นภาวนานี่เอง ทำให้ป้ารู้จักตัวเองว่าป้าเป็นใคร ก่อนมาเกิดในชาตินี้อยู่ที่ไหนมาก่อน ตั้งใจมาเกิด มีความประสงค์จะทำอะไร ซึ่งเรื่องดังกล่าวเหล่านี้ ป้าจะไม่ต้องคอยให้รู้เอง จากการภาวนาก็ได้ นมัสการถามจากหลวงพ่อฯ หรือเรียนถามคุณยายฯ โดยตรงท่านก็คงเมตตาบอก แต่ป้ารู้ว่าตนเองเป็นคนดื้อ ใครบอกอะไรคงไม่ยอมเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตนเองถ่องแท้เสียก่อน จึงจะยอม หลวงพ่อฯ จึงเมตตาเคี่ยวเข็น อบรมธรรมปฏิบัติให้ป้า จนป้านั้นรู้ทั้งเห็นเองว่า เป็นใคร เกิดมาต้องทำอะไร รวมทั้งทราบเรื่องของหมู่คณะบางส่วนไปด้วย

ยังรู้เห็นเรื่องภพสาม นรก สวรรค์ นิพพาน โลกันตร์ ฯลฯ ว่าเป็นของจริง ไม่ใช่รู้แต่เพียงตำราบอก เรื่องรู้แบบคิดเปรียบเทียบ พูดเอาเองว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ เหมือนการปฏิบัติภาวนาบางแห่ง ที่ไม่ประสบผลสำเร็จ พิสูจน์สิ่งเหล่านี้ไม่ได้

บางสิ่งได้จากการาวนา ป้าจะเล่าไว้โดยสังเขป ไม่ได้หวังให้ผู้อ่านเชื่อ เพราะฟังไปแล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อ นอกตำรา วิธีที่ดีที่สุดคือ แต่ละคนต้องเจริญภาวนา กันเอาเอง ให้รู้เห็นด้วยตนเอง จะได้เชื่อโดยสนิทใจ ไม่มีข้อลังเลสงสัย แต่ที่ป้าเล่า เพราะบางคนที่ไม่มีนิสัยดื้อรั้นเหมือนป้า อ่านแล้วเห็นว่า ถ้าเชื่อแล้วมีแต่ประโยชน์ จะจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ ยึดถือประโยชน์ที่ได้รับเป็นใหญ่ คนประเภทนี้จะได้กำลังใจ สร้างบารมีทันที ไม่มัวเสียเวลาสงสัย

ขอเล่าไว้ดังนี้ คือเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น เป็นของที่ธรรมสองฝ่าย ยื้อแย่งกันอยู่ คือธรรมขาว ได้แก่ฝ่ายพระนิพพาน ต้องการให้สรรพสัตว์ที่มีปัญญา ทำตนให้พ้นจากอำนาจกิเลสเข้าพระนิพพาน ส่วนธรรมดำได้แก่มารโลก ต้องการขังสรรพสัตว์ไว้ ในภพสาม คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ จึงสร้างกิเลสเข้าสิงใจ

สัตว์ทั้งหลายเมื่อมีกิเลสอยู่ในใจ กิเลสก็บีบให้ทำกรรมทั้งดีทั้งชั่ว กรรมก็ให้ผลไปเกิดในภพภูมิ ที่พอเหมาะกับการกระทำนั้นๆ ทำดีก็ได้อยู่ในภพดีๆ เช่น มนุสภูมิ เทวภูมิ พรหมภูมิ ทำชั่วก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิ ตราบใดที่สัตว์ทั้งหลาย กำจัดกิเลสออกจากใจไม่ได้ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่า วัฏสงสาร

ฝ่ายกุศลธรรม ก็ส่งพลังให้สัตว์บางตัวเกิดปัญญา คิดกำจัดกิเลส เพราะเห็นว่ากิเลสนำแต่ความทุกข์มาให้ จึงพากเพียรแสวงหาทางหลุดพ้นจนสำเร็จ ในขณะเวียนว่ายตายเกิด เพื่อหาทางหลุดพ้น เราเรียกสัตว์เหล่านี้ว่า โพธิสัตว์ เมื่อหลุดพ้นจากอำนาจกิเลสของฝ่ายมารได้แล้ว และสั่งสอนให้ผู้อื่นทำตาม เรียกว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อหลวงพ่อฯ ให้ป้าระลึกชาติเอง ย้อนหลังไปดูว่าก่อนมาเกิดมาจากไหน เวลานั้นเป็นปี ๒๕๒๗ ป้าเห็นภาพตนเอง เป็นเทพบุตรอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่อยู่กับหมู่คณะใหญ่ วิมานเรียงกันเป็นรูปวงกลม

เมื่อป้าดูหน้าที่ของตนเอง ก็เห็นภาพกำลังพูดแสดงธรรม จึงทราบว่าตัวป้าเองเป็นฝ่ายที่สอง ฝ่ายโปรด หมดความสงสัยตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อฯ ใช้ให้ออกเผยแพร่ที่ใดก็ไม่คิดหลีกเลี่ยงเหมือนแต่เดิม

ความจริงป้าก็อยากเป็นฝ่ายแรก คือพวกทำสมาธิเก่งๆ จะได้เรียนวิชาปราบมาร ถ้าเปรียบกองทัพทางโลก ก็คือทหารที่เป็นฝ่ายรบโดยตรง ส่วนฝ่ายอื่นๆ เหมือนฝ่ายเสริมกำลัง ป้าใช้ความพยายามเต็มที่ ปรารถนาความเพียรแรงกล้า อภิญญาจิตที่เกิด ก็มีคุณภาพไม่ถึงระดับ ทำวิชาปราบมาร ได้สักที

และเมื่อปฏิบัติมากเข้า ค่อยเข้าใจหน้าที่ของแต่ละคน แต่ละฝ่ายดีขึ้น ใครที่มีหน้าที่อย่างใด ไม่ใช่เพิ่งมีหน้าที่อย่างนั้นในชาตินี้ แต่ได้สะสมบารมีชนิดเดียวกันมา นับภพชาติไม่ถ้วน ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก จนถนัดอยู่ในหน้าที่ของตน เหมือนแร่ธาตุในพื้นโลก ที่กลั่นตัวเป็นทองคำ เงิน ทองแดง ปรอท ฯลฯ ก็เป็นขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ไม่สามารถจัดเปลี่ยนให้ทองคำกลายเป็นปรอท เงินกลายเป็นสังกะสี อย่างนี้เป็นต้น

พอพูดมาถึงตรงนี้ คงมีบางคนอยากรู้หน้าที่ของตนเองบ้าง ถ้าเช่นนั้น ก็จงพยายามตั้งใจภาวนา ก็จะรู้จักตนเองอย่างป้า หรือถ้าคิดว่าเสียเวลาเกินไป อยากทราบเร็วๆ จะได้รีบทำหน้าที่ จะใช้วิธีสังเกตนิสัยใจคอ ของตนเองดูก็ได้

ถ้าชอบนั่งปฏิบัติธรรม รักเป็นชีวิต ปฏิบัติแล้วมีความสุข ทั้งได้รู้เห็นโดยง่ายรวดเร็ว ครูบาอาจารย์สั่งสอนสิ่งใด ก็ทำตามได้ทันที และไม่ชอบคลุกคลีกับใครๆ ไม่ใคร่ยินดียินร้ายเรื่องของใคร ใจวางอุเบกขาอยู่เสมอๆ นอกจากภาวนาแล้ว ไม่สนใจเรื่องใดเป็นพิเศษเลย อย่างนี้ก็เป็นประเภทที่หนึ่ง

ถ้าเป็นคนใจอ่อนโยน ชอบเมตตา กรุณา ใครมีปัญหาชอบช่วยเหลือ ช่างแนะนำตักเตือน มีความห่วงใยหมู่คณะ เห็นอกเห็นใจคน พูดเก่ง สอนเก่ง เขียนหนังสือคนชอบอ่าน ใครเข้าใกล้แล้วสบายใจ คุณสมบัติอย่างนี้ เหมาะที่จะเป็นประเภทสอง

ถ้าเป็นคนค่อนข้างขยัน หนักเบาเอาสู้ ให้ทำงานสิ่งใดที่เป็นกุศล พอใจทำตามความสามารถของตน เช่นบางคนหั่นผักอยู่ได้ตลอดคืนไม่นอนเลย ในการทำกับข้าวเลี้ยงพระ เลี้ยงคนในวันทำบุญใหญ่ บางคนกวาดลานวัดได้ทั้งวัน ซ่อมของใช้ให้วัดทั้งวัน ขัดส้วม ขนของ ฯลฯ ทำจิปาถะทั้งงานใหญ่งานเล็ก รวมทั้งเรื่องก่อสร้าง เขียนแบบแปลน คุมงาน สำรวจตรวจสอบ ดูแลควบคุม มีจิตใจช่วยเหลือในกิจการทุกอย่าง ที่เป็นกุศล อย่างนี้ประเภทที่สาม

ส่วนประเภทที่สี่ เรื่องข้างต้นทั้งสามอย่าง ไม่ใคร่สนใจกระทำนัก มีนิสัยชอบทำเรื่องทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริตต่างๆ พอมีทรัพย์ชอบบริจาค เข้าร่วมงานกุศล คนประเภทนี้มักเคยทำทานไว้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ในอดีตชาติ อานิสงส์ทานให้ผล มักเป็นผู้มีฐานะการเงินมั่นคั่ง จะหยิบจับทำมาหากิน อาชีพอะไรก็เจริญรุ่งเรือง เป็นอัศจรรย์ ใจดีชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่การปฏิบัติธรรมไม่ใคร่ก้าวหน้า

เอาตัวเข้าเทียบข้อสังเกตง่ายๆ ที่ป้าลองประมวลเอามาพูดให้ฟังข้างต้นนี้ ก็คงพอเดาตนเองได้ว่า มีหน้าที่ทำงานประเภทไหน

จะอย่างไรก็ตาม ไม่ว่างานนั้นจะเป็นอะไร แต่ที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือเป็นงานสร้างบารมีทั้งสิ้น และจะต้องกระทำซ้ำอยู่อย่างนี้ จนบารมีเพิ่มมากขึ้นๆ เต็มเปี่ยมทั้งสิบบารมี ก็จะพ้นอำนาจมาร เลิกเวียนว่ายตายเกิด เข้าพระนิพพาน

เพราะความดีที่ได้ร่วมสร้างวัดมาด้วยกัน ป้าจึงมีกำไรได้ปัญญา รู้เห็นกว้างไกลถึงเพียงนี้

เรื่องที่ห้า วิริยะบารมี การพากเพียรกำจัดความชั่วออกจากตัว พากเพียรไม่ให้ความชั่วใหม่มาเกิด พากเพียรรักษาความดีที่มีอยู่ และพากเพียรสร้างความดีใหม่ให้เพิ่มพูน ทั้งสี่เรื่องนี้ ถ้ามีชีวิตครอบครัว จะทำได้เพียงระดับธรรมดา ไม่ใช่ระดับสร้างบารมี เพราะระดับสร้างบารมีจะต้องสร้างให้มาก เพื่อการหลุดพ้น จากวัฏสงสาร

เพราะพบหมู่คณะ ป้าจึงมีโอกาสพากเพียรทำความดี ที่เหนือธรรมดามากมายหลายประการ หรือทางเจริญเท่านั้น เพียรได้ทั้ง ๓ ทวารคือ กาย วาจา ใจ ใจเป็นทวารที่เพียร ในทางเสื่อมง่ายที่สุด เพียงคิดเรื่องกาม คิดผูกโกรธ คิดเบียดเบียน และมิจฉาทิฏฐิ ทำอยู่บ่อยๆ ก็เป็นความเพียรในทางเสื่อม เป็นอกุศลแล้ว

เมื่อป้ามีชีวิตธรรมดาอยู่แต่เดิม ไม่ใช่เข้าใจเรื่องหลักธรรม ลึกซึ้งอะไรเลย มีความเห็นตื้นๆ เพียงว่า ถ้าไม่ได้ทำชั่ว ไม่ได้พูดชั่ว ถือว่าไม่มีบาปแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่า ใจนั่นแหละเป็นหัวหน้าสูงสุด เมื่อได้พบหมู่คณะ เหมือนคนอยู่ในที่มืดได้พบแสงสว่าง มีโอกาสได้ทำความเพียรทางใจ ด้วยการภาวนา อยู่ทุกเวลาที่นึกได้ ไม่ปล่อยให้ใจเพ่นพ่าน แส่ส่ายทำความเพียรในทางคิดชั่วเหมือนแต่เดิม

ธรรมชาติของใจนั้น คิดถึงเรื่องใดใช้เวลารวดเร็วนัก วินาทีเดียวสามารถคิดถึงได้นับไม่ถ้วนเรื่อง ถ้าแม้นป้าไม่ไดพบกัลยาณมิตร อันประเสริฐดังกล่าวแล้ว ตลอดเวลาในชีวิต คงจะประกอบอกุศล มโนกรรมมากมาย นับจำนวนเรื่องไม่ได้ การได้พบหมู่คณะร่วมกันสร้างวัดเป็นกำไรชีวิตอันล้นเหลือดังนี้

เรื่องที่หก ขันติบารมี ความอดกลั้นอดทน ชีวิตคนทั่วไปต้องมีความอดกลั้นอดทนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามีมากน้อยต่างกันแค่ไหน และอดกลั้นอดทนในเรื่องอะไร คนส่วนใหญ่อดทนกันแค่เรื่องทำมาหากิน เลี้ยงชีวิตและครอบครัว เฉพาะในชาตินี้ น้อยคนเหลือเกินที่จะสร้างความอดกลั้นอดทนให้ยิ่งใหญ่ อดทนเพื่อสร้างบารมี ออกจากวัฏทุกข์ให้ได้

เพราะสร้างวัดพระธรรมกาย ป้าจึงรู้จักการอดกลั้นอดทน ประเภทหลัง อดทนต่อการคบหาสมาคม อดออมทรัพย์สินเพื่อการบริจาค อดทนต่อความเหนื่อยกายเหนื่อยใจ เพื่อทำงานใหญ่ ชักชวนผู้คนให้คิดพ้นจากวัฏทุกข์ เรื่องนี้ป้ากระทำอยู่ประจำ ตั้งแต่สมัยอยู่บ้านธรรมประสิทธิ์ บางเย็นคุณยายฯ ให้ไปสอนธรรมแก่คนเจ็บ ที่ลุกไม่ได้ใกล้ตายตามบ้าน ทำงานมาทั้งวัน เหนื่อยล้าทั้งกายใจเต็มที่แล้ว เย็นต้องไปทำหน้าที่เผยแผ่ ถ้าไม่รู้ว่าการกระทำนั้น เป็นการสร้างขันติบารมี ป้าคงไม่มีกำลังใจทำ

ยิ่งระหว่างปี ๒๕๒๙ ถึงปี ๒๕๓๑ หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้ป้าออกเผยแผ่ธรรมปฏิบัติตามสถานที่ต่างๆ ทั้งราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน ป้าต้องใช้ความอดทนสูง ไม่ต้องการให้เกิดความลำบาก เรื่องการรับส่ง ป้าอุตส่าห์ขึ้นรถเมล์เดินทางเอง รถในกรุงเทพฯ แน่นแค่ไหนติดแค่ไหน อากาสตามท้องถนนเต็มไปด้วยควันพิษ ผู้คนที่มาฟังการสอน ก็มีพื้นเดิมเป็นชาวพุทธตามทะเบียนบ้านเท่านั้น ไม่รู้หลักธรรมคำสอนที่แท้จริงเลย สอนยาก เดินทางลำบก ถ้าไม่คิดเรื่องการสร้างขันติบารมี ป้าคงไม่อดทนทำ สอนแล้วป้าก็ยังไม่ยอมรับเงินทำบุญ ไม่ต้องการให้เกิดความโลภขึ้นในใจป้าเอง และต้องการให้เป็นตัวอย่าง แก่นักเผยแผ่รุ่นหลังๆ เมื่อผู้ใดมีศรัทธา ป้าให้ไปทำบุญที่วัด ผู้คนจะได้พบโอกาส ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม และได้ทำบุญทำทาน เรื่องต่างๆ ไปในตัว

ป้าจะเล่าเรื่องขันติของป้า ในเวลาออกเผยแผ่ธรรมะ ให้ฟังสัก ๔ เรื่อง

เรื่องแรก กลางวันวันนั้นป้าต้องเดินทาง ไปแสดงธรรมที่ห้องประชุมกระทรวงการเกษตรฯ ต้องขึ้นรถจากที่พักถึง ๓ ต่อ พอถึงต่อสุดท้ายจากสนามหลวง คนขับรถคงเห็นว่าให้ยายชีขึ้น ไม่ได้ค่าโดยสาร จึงรีบกระชากรถออกโดยเร็ว มือของป้าที่กำลังเกาะราวบันไดรถ หลุดจากราวทันที เพราะสู้แรงกระชากไม่ไหว พลอยให้ตัวหล่นลงมา ถลาหมุนคว้างแล้วล้มลง ตะกร้าใส่ของใช้ประจำตัวของป้า และอุปกรณ์การสอรหล่น สิ่งของกระจายเกลื่อนกราด ตัวป้าเองก็เจ็บที่สะโพกมาก จนลุกไม่ขึ้น จึงนั่งมองสิ่งของนิ่งอยู่ ในใจก็คิดแผ่เมตตาให้คนขับรถ และพยายามกำหนดภาวนา เอาไว้ที่ศูนย์กลางกายตามที่เคยทำ อยู่เป็นประจำ คิดว่าเมื่อใดพอลุกได้ ก็จะค่อยลุก

สักครู่มีเด็กหนุ่ม อายุราวๆ เกือบยี่สิบปี มาถามว่า " ป้าเจ็บมากไหม จะให้ผมช่วยอะไรได้มั่ง " ถามแล้วเขาก็ก้มลงเก็บสิ่งของต่างๆ ใส่ตะกร้าให้

น้ำใจเพียงเล็กน้อยแค่นี้ ทำให้ป้าเหมือนได้กำลังคืนมา มีแรงค่อยพยุงตัวลุกเองได้ บอกขอบใจเด็ก แล้วก็ขึ้นรถคันอื่นต่อไป ถ้าไม่คิดว่าเป็นการสร้างขันติบารมี คงจะคิดเลิกเดินทางออกเผยแผ่แน่นอน

เรื่องที่สอง เป็นที่เดียวกับที่แรกคือที่ห้องกระทรวงกาเกษตรฯ ขณะป้าสอนให้ผู้เข้าฟังหลับตาเจริญภาวนา เราเริ่มด้วยกสิณแสงสว่าง คือนึกนิมิตเป็นดวงแก้ว หรือพระพุทธแก้วใสสว่าง เป็นอารมณ์ บังเอิญพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ สีดำมืดสนิท สมาชิกคนหนึ่งเกรงคนจะไปมองแล้ว เอามานึกก็จะไม่เกิดความสว่างขึ้นภายใน จึงนำสิ่งของไปวางบัง ดูเหมือนจะเป็นแจกันดอกไม้ หรือแผ่นกระดาษ จำไม่ได้ พอเลิกจากการสอน มีสตรีคนหนึ่งโวยวาย กล่าวหาว่าป้าดูหมิ่นไม่เคารพบูชาพระพุทธรูป มิใยคนที่เอาของปิดจะรับว่าเขาเป็นคนทำเอง สตรีคนนั้นก็ไม่ยอมฟัง มีการร้องเรียนฟ้องขึ้นไป ถึงปลัดกระทรวง และเอาไปเขียนโจมตีในหนังสือพิมพ์ถึง ๓ ฉบับ

ป้าก็ได้แต่นึกแผ่เมตตา และก็ต้องอดทนทำงานเผยแผ่ที่นั่นเรื่อยมา ทั้งที่เจ้ากระทรวงตั้งคณะกรรมการ ให้มานั่งจับผิดอยู่เป็นกลุ่ม โดยไม่บอกให้ป้ารู้ เพียงแต่ป้า สะดุดใจ ที่สีหน้าของคนเหล่านั้นเฉยชา มีบุคลิกที่ไม่แสดงความเลื่อมใส นั่งอยู่พอหมดเวลาก็ลุกไป โดยไม่เคยเคารพทั้งไปและมา แต่เพราะป้าไม่ได้ทำผิด เขาจึงจับผิดไม่ได้ นี่ก็ต้องอดทน อุตส่าห์เหนื่อยโหนรถเมล์ไปกลับเอง ไม่มีลาภสักการะอะไร กลับถูกใส่ความด้วยเรื่องไม่จริงให้เสียหาย หนังสือพิมพ์ก็เชื่อง่าย ช่วยกระพือข่าวผิดๆ เหมือนช่วยทำลายศาสนา

เรื่องที่สาม มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นวันจันทร์ ป้ามีหน้าที่ต้องไปเผยแผ่ ที่การสื่อสารแห่งประเทศไทย บางรัก พอลงรถเมล์ จึงเปิดกระเป๋าสตางค์ มีเงินเหลืออยู่เพียง ๑๐ บาท จะต้องกินอาหารเพล ซื้อกินที่โรงอาหารได้เพียงจานเดียว นึกในใจว่า วันนี้ตอนเย็นคงหิวหน่อย เพราะอาหารที่ขายจานหนึ่งมีไม่กี่ช้อน ปรกติต้องกิน ๒ จาน ถ้าอยู่ที่บ้านพักก็กินอาหารที่บ้านจนอิ่มได้ เวลานั้นก็นึกแต่ว่า ต้องอดทนไว้เป็นขันติบารมี

แต่บุญเก่าจากเรื่องทำทานคงพอมีอยู่บ้าง บังเอิญมีเด็กสาวคนหนึ่งเดินผ่านไปไกลแล้วหวนวิ่งกลับมาหา หยิบธนบัตรใบละสิบบาทออกมายื่นให้พูดว่า " หนูไม่รู้เป็นอะไร อยากทำบุญกับแม่ชีคะ " ป้าจึงให้พรเธอ พร้อมทั้งคิดในใจว่า " หนูเอ๋ย เงินสิบบาทของหนูนี้ ได้บุญมากมายนักหนา ให้อาหารป้ากินได้เต็มอิ่ม วันนี้ป้าก็จะไม่หิวในตอนเย็น มีแรงเขียนหนังสือ นั่งภาวนา ขอให้หนูเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป "

เรื่องที่สี่ แม้กระทั่งเจ็บป่วย มีทุกขเวทนาแรงกล้า ป้าก็ยังอดทนพูดธรรมะ ให้คนมาเยี่ยมฟัง เมื่อต้นปี ๒๕๓๖ หลังจากถูกผ้าตัดใหญ่แล้ว หมอเกรงว่าป้าอาจจะกลายเป็นมะเร็ง จึงให้ฉีดยาชนิดหนึ่ง ราคาค่ายาครั้งละ ๘ พันบาท จะต้องฉีดถึง ๖ ครั้ง แต่ละครั้งป้ามีอาการแพ้ยาชนิดนี้อย่างรุนแรง เริ่มจากคลื่นไส้อาเจียน กินอะไรไม่ได้แม้แต่น้ำ มึนศรีษะเหมือนหัวสมองพองโต หูอื้อร้างระบม เสียวฟันทั้งปาก ยังมีผิดปกติทางระบบขับถ่าย เมื่อกินอาหารไม่ได้หลายวันเข้า ร่างกายก็อ่อนเพลีย หมดแรง พูดก็เหนื่อย ขยับตัวก็เหนื่อย ผู้คนส่วนใหญ่ที่รู้จักมักจะไม่เข้าเยี่ยม ฝากของให้แล้วกลับ เกรงว่าถ้าเข้าเยี่ยมแล้ว จะเป็นการรบกวน

มีบางคนไม่ทราบ เยี่ยมแล้วไม่กลับ ถามปัญหาธรรมะบางข้อ ป้านึกถึงคำพูดของหลวงพ่อฯ ว่า " ป้า หวินต้องทำงานช่วยหลวงพ่อ เผยแผ่วิชชาธรรมกาย หยุดพักไม่ได้ จะตายอยู่แล้วก็ยังต้องสอน "

ไม่มีเรี่ยวแรงขนาดที่เล่า ถ้าเป็นคนธรรมดาคงขอตัวไม่คุยด้วย เพราะหมดแรงพูด แต่เมื่อเป็นนักเผยแผ่ ป้าต้องอดทนทำ ค่อยพูดไปทีละคำสองคำ เหนื่อยก็หยุด พอมีแรงก็พูดต่อ คนฟังไม่ยอมเบื่อ ไม่ลากลับสักที จนกระทั่งลูกสาวของป้ากลับจากซื้อของ จึงขอร้องคนเยี่ยมให้ป้าพัก

พอคนเยี่ยมออกไปพ้นห้อง ป้าเพลียหลับสนิทไปนานหลายชั่วโมง รู้แต่ว่าเหนื่อยเหมือนจะขาดใจ ความอ่อนเพลียเป็นทุกขเวทนาอย่างหนึ่ง เมื่อต้องการสร้างขันติบารมี ก็ต้องอดทนต่อทุกขเวทนาดังกล่าว

ต้องทนเรื่องทางกายแต่เดิม ป้ามีความเห็นว่า ทนได้ไม่ยากนัก หาหมอเยียวยารักษากันไปก็พอแก้ไขได้ มารู้พิษสงการทุกข์กาย ก็คราวการผ่าตัดใหญ่นี่เอง เพราะเวลาแพ้ยา ไม่ใช่มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่มีอาการพร้อมๆ กันหลายอย่าง ที่สำคัญที่สุด คือมีอาการทางหัวใจด้วย เสียววูบๆ เหมือนหล่นจากที่สูง เจ็บท้องเหมือนกระเพาะไม่ย่อย ส่วนทางท่อปัสสาวะก็ปวดแสบปวดร้อน จากปากทวารเข้าไปจนถึงข้างในตัว

เมื่ออวัยวะแปรปรวนมีทุกขเวทนาต่างๆ พร้อมกันขึ้นมา ความทุกข์ก็เหลือที่จะบรรยายได้ถูก สำหรับป้าในขณะนั้น เป็นผู้มีโชคดีที่สุด เพราะหลวงพ่อท่านทราบล่วงหน้าว่า ป้าจะพบศึกหนัก เจ็บป่วยปางตาย จึงให้เข้าอบรมธรรมปฏิบัติเต็มที่ ก่อนผ่าตัดเกือบตลอดปี ๒๕๓๕ ได้อาศัยความสามารถในการปฏิบัติธรรม มาช่วยแก้ไขทุกขเวทนา ที่เกิดพร้อมกันทีเดียวหลายทาง พอให้ทุเลาลง

ส่วนทุกขเวทนาที่ เกิดขึ้นทางใจ ถ้าขาดสติ ขาดปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้ดีแล้ว เป็นทุกข์สาหัส บางคนทนไม่ได้ถึงต้องฆ่าตัวตาย

ปัญญาที่จะใช้แก้ไขความทุกข์ใจ ที่ได้ผลที่สุด คือปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ซึ่งจะคอยจนมีความทุกข์เกิดแล้วจึงภาวนา จะไม่ได้ผลอะไรเลย ทางที่ดีที่สุดต้องภาวนาให้เกิดปัญญาและทำใจให้เป็นไว้ก่อนจนชำนาญ เมื่อความทุกข์มาถึง ก็สามารถสู้กันไหว พออดทนอดกลั้นได้

เปรียบเหมือนฝึกวิชาอาวุธจนชำนาญแคล่วคล่องเก่งกล้า เมื่อเผชิญหน้ากับข้าศึกในเวลาใด ก็ใช้อาวุธได้ทันท่วงที

เหมือนคนหิวข้าว จะรอจนหิวแล้วจึงไปปลูกข้าว คงต้องตายก่อน หรือแม้รอจนหิวจึงลงมือไปซื้อหาก็แทบไม่ทันกาล ที่ดีที่สุดคือเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า ได้เวลาก็บริโภคแก้หิวทัน การเตรียมตัวไว้ล่วงหน้านั่นเอง ต้องอาศัย ความอดทนอย่างยิ่ง

การสร้างวัดทำให้ป้าบำเพ็ญขันติบารมีได้มาก ไม่มีที่เปรียบทีเดียว

เรื่องที่เจ็ด สัจจบารมี ความจริงใจ คิดสร้างบารมีก็ต้องพูดจริง ทำจริง ไม่ใช่ปากพูด แต่การกระทำไม่ทำ เช่นอยากจะให้ตนหมดกิเลส เข้าพระนิพพาน แต่กายวาจาไม่ถูกใช้ ให้สร้างบารมีเลย ความสำเร็จย่อมไม่เกิด

เมื่ออยากพ้นจากวัฏสงสาร ก็ต้องลงมือสร้างบารมีอย่างจริงจัง ไม่ท้อถอย พยายามกำจัดกิเลสให้หมดไป จากสันดานอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่ทำบ้างหยุดบ้าง เรียกว่าไม่จริง

ป้าไม่เคยคิดเรื่องสัจจะบารมีมาก่อนเลย เพราะพบหมู่คณะจึงได้มีโอกาสสร้างสัจจะบารมีขั้นสูง ถึงประกาศเป็นข้าศึกกับกามคุณทีเดียว ป้าจำได้ว่ามีบางคนแม้มาพบคุณยายฯ และหลวงพ่อฯ แล้วก็ยังไม่คิดเอาตนพ้นจากกาม เขาพูดกับคุณยายฯ ว่า " ผมขอทำบุญทำทานไปเรื่อยๆ แค่นั้นพอ ไม่ขอประพฤติพรหมจรรย์ ตายแล้วก็ขออยู๋แค่สวรรค์ชั้นสองดาวดึงส์ ชั้นที่พระอินทร์อยู่ ชั้นนี้ยังมีเมียได้ "

อย่างนี้เรียกว่าไม่จริง ต่อการอยากพ้นกิเลส

เรื่องสัจจะบารมีนี้ หมู่คณะมีความสำคัญมาก คนเราส่วนใหญ่ ถ้าอยู่ตามลำพัง จิตใจมักอ่อนไหวโลเล ไม่แน่นอน เอาจริงยาก พอมีอุปสรรคเกิดก็ท้อถอย พลอยอ่อนแอยอมแพ้ แต่ถ้ามีหมู่คณะ เอาจริงร่วมกัน ต่างคนต่างมีกำลังใจ มีมานะขึ้นในตัว เห็นคนอื่นทำสำเร็จ ตนก็ต้องทำได้บ้าง

สัจจะมีได้ทั้งสองด้าน ทั้งด้านดี และไม่ดี ด้านไม่ดีกระทำแล้วไม่เป็นบารมี ส่วนด้านดี ก็มีเป็นสองระดับ คือระดับต่ำ เป็นระดับที่ทำแล้ว ยังให้ผลดีในการเวียนว่ายตายเกิด ระดับสูง เป็นระดับที่ทำแล้ว ทำให้กิเลสหมดลง เลิกเวียนว่ายตายเกิด ระดับนี้เท่านั้นที่เราทุกคนควรกระทำ

เรื่องที่แปด อธิษฐานบารมี ความตั้งใจกระทำ บารมีข้อนี้ เน้นเรื่องการกระทำที่ใจเป็นสำคัญ มีใจมุ่งตรงตามที่ต้องการ คนธรรมดาทั่วไปทำสิ่งใด ก็มีความมุ่งหมายไปตามที่ตนเองชอบ ส่วนที่จะชอบหรือพอใจเรื่องอะไร แค่ไหน ย่อมขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญาของแต่ละคนไป ใครมีปัญญาน้อย ก็ตั้งความมุ่งหมายง่ายๆ เอาเฉพาะหน้า ดีบ้างไม่ดีบ้าง เช่นพอจะตักบาตรก็อธิษฐาน เพียงเพื่อให้วนอยู่ในวัฏฏะ การอธิษฐานที่มีปัญญา ต้องให้ความดีต่างๆ ที่ตนกระทำเป็นเครื่องสนับสนุนให้ออกพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นระดับโลกุตตระ ไม่ใช่ระดับโลกียะ ที่กล่าวถึงอย่างแรก

ป้าเองก่อนเจอหมู่คณะ เคยไม่เห็นด้วยกับการทำสิ่งใดต้องอธิษฐาน ไปคิดเอาว่าเป็นการค้ากำไรเกินควร เหมือนที่พระภิกษุบางรูปสอน คือทำบุญเล็กน้อย ตั้งความปรารถนามากมาย เอาโน่นเอานี่ แต่เมื่อฟังคำสอนของคุณยายฯ และหลวงพ่อฯ แล้วจึงเข้าใจแจ่มแจ้ง

การอธิษฐาน ก็เหมือนการตอกย้ำ เราจะทำสิ่งใดให้มั่นคง เช่นตอกตะปูหรือเสาเข็ม ก็ตอกซ้ำแล้วซ้ำอีก ยิ่งตอกมากเท่าไหร่ สิ่งนั้นก็แน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น คำอธิษฐานก็เช่นเดียวกัน กระทำซ้ำไว้เรื่อยๆ วันหนึ่งในอนาคตเมื่อบุญเต็มเปี่ยมแล้ว สิ่งที่ได้รับก็จะเป็นไปตามที่อธิษฐานไว้

เหมือนการเดินทางต้องมีเข็มทิศ เรือต้องมีหางเสือ ตั้งเข็มทิศหรือทางเลือกมุ่งไปสู่ทิศทางที่ต้องการ ในทุกครั้งที่เดินทาง วันหนึ่งภายหน้าย่อมทำให้ถึงที่หมาย

คนที่ทำสิ่งใดไม่อธิษฐาน เหมือนเรือไม่มีหางเสือ คนเดินทางที่ไม่รู้ทิศทาง เดินไปย่อมเสี่ยง ต่อการเฉไฉออกนอกเส้นทาง ตกหลุมตกบ่อ รับอันตรายไปในที่สุด

เรื่องทำความดีสิ่งใดแล้วไม่อธิษฐานกำกับ เหมือนหาเงินมาได้แล้ว ใช้ไม่เป็นเหมือนอ่านหนังสือออก แต่ไม่รู้จักเลือหนังสือมาอ่าน ในที่สุดสิ่งที่ได้มา ไม่ทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้น บางทีทำโทษให้เกิดด้วยซ้ำ ป้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง

เช่นคนบางคนทำทานไว้มาก แต่ไม่ได้อธิษฐานกำกับไว้ว่า เมื่อเกิดชาติกน้าอานิสงส์ทานให้ผล เกิดเป็นคนร่ำรวยมหาศาล แทนที่จะใช้ทรัพย์นั้น ทำสิ่งใดให้เป็นกุศลเพิ่มเติม กลับนึกไม่ได้เพราะไม่มีอานิสงส์จากการอธิษฐาน เลยเอาความรวยนั้นมาทำให้เกิดบาป เช่นสร้างสถานเริงรมย์ ให้คนหลงไหลอยู่ในกาม สร้างบ่อนอบายมุข ผลิตเครื่องดองของเมา ยาเสพติดแม้กระทั่งไม่ถูกใจใคร ก็ใช้อำนาจเงินทำปาณาติบาตเบียดเบียน ถูกใจใคร ก็ทำเรื่องกาเมสุมิจฉาจาร ดังนี้เป็นต้น

หรือบางคนถือศีล เกิดชาติใหม่กลายเป็นคนสวย ไม่มีคำอธิษฐานตามรักษา สวยแล้วก็มีคนมาชอบหลายคน คนสวยเลยหลายใจ กลายเป็นกรรมกาเมสุมิจฉาจารขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้คุณยายฯ จึงสอนทุกคนว่า ทำบุญกุศลใดๆ ต้อง " อธิษฐานล้อมคอก " เอาไว้ อธิษฐานว่า " ขอให้เราทำแต่ความดีถ่ายเดียว ให้บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน " เมื่ออธิษฐานอย่างนี้ เราก็จะไม่พลาดพลั้ง ถอยหลังทำบาปให้ขาดทุน ในยามเวียนว่ายตายเกิด เพื่อสะสมสร้างบารมี ก็จะได้เกิดแต่ภพภูมิที่ดี มีโอกาสสร้างแต่บารมี รุดหน้าไปอย่างเดียว

เรื่องที่เก้า เมตตาบารมี การปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข เรื่องนี้เป็นเรื่องตรงข้ามกับความอิจฉาริษยา ซึ่งทำให้ใจคอเศร้าหมอง คับแคบ ความอิจฉาริษยา เป็นต้นเหตุให้เกิดความเคียดแค้น พยาบาทได้ เพราะมีมูลรากมาจากกิเลส ตัวโทสะ เหมือนกัน

เมื่อมารู้อย่างนี้ ป้าก็มีจิตใจอ่อนโยนในสัตว์ทั้งหลาย มากกว่าเดิม รวมทั้งในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ก็ให้รู้สึกเห็นอกเห็นใจว่า เป็นเพราะความไม่รู้ จึงได้พากันประมาท ทำบาปกรรมเพิ่มเติมให้ชีวิตขาดทุน เมื่อเข้าใจเสียอย่างนี้ ความรังเกียจก็ลดลง กลายเป็นนึกเมตตาสงสาร ถ้ามีหนทางใดสามารถช่วยเหลือ หรือชี้แจงแนะนำได้ ก็จะทำทันที ตรงข้ามกับนิสัยดั้งเดิมสมัยก่อน ถ้าพบใครเป็นคนประพฤติเลวทราม ไม่อยู่ในศีลธรรมแล้ว ก็จะตั้งหน้ารังเกียจ ไม่ยอมมอง ไม่ยอมพูด หรือคบหาสมาคมด้วย เป็นอันขาด ดีไม่ดียังตั้งตัว เป็นพระยายมกลั่นแกล้งเอาเสียอีกถ้ามีโอกาส

การพบหมู่คณะที่ช่วยกันสร้างวัด ทำให้ป้ามีความปรารถนาดี ต่อผู้คนและสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วหน้า ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีความเป็นอยู่ ดีกว่าป้ามากมายแค่ไหนก็ตาม ก็คิดอยากให้เขามีสุขกว่าเดิมยิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งแต่เดิมไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน จัตั้งความปรารถนาดีให้ ก็เฉพาะผู้ที่กำลังทุกข์ยากเดือดร้อนยิ่งกว่า ส่วนคนที่ดีกว่า ป้าจะรู้สึกเฉยๆ หรือมิฉะนั้นก็พาลไม่ชอบไปเสีย คงจะมีแรงริษยาแฝงอยู่ไม่น้อย แม้ไม่แสดงออกมาชัดแจ้ง แต่ก็ไม่ทำให้ใจมีปีติเสมอๆ อย่างปัจจุบัน

เรื่องที่สิบ อุเบกขาบารมี การมีใจเป็นกลางวางเฉยในสรพพสัตว์ เห็นว่าสัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นของตนเอง ใครทำกรรมใดก็ต้องรับผลของกรรมนั้น

เมื่อพบคุณยายฯ ใหม่ๆ ได้ฟังคำสอนอยู่ประโยคหนึ่งว่า " เมตตาพาตกเหว " ต้องเอาอุเบกขาเป็นเถาวัลย์ คอยดึงไว้ จึงจะปลอดภัย " ป้าฟังแล้วงงจริงๆ เคยได้ยินแต่ให้นิยม มีเมตตาในสัตว์ทั้งหลาย แม้ในศัตรูก็ไม่ยกเว้น ต้องแผ่เมตตาความปรารถนาดีไปให้ ไม่เคยมีใครบอกเลยว่า เมตตาจะให้ผลร้าย ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังบอกอานิสงส์ไว้ว่าใครแผ่เมตต่อยู่เสมอๆ จะมีผลดีเกิดขึ้นแก่ตนเองถึง ๑๑ อย่างคือ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของเทวดาและอมนุษย์ทั้งหลาย เทวดารักษา ไฟหรือยาพิษศาสตราวุธ ทำร้ายไม่ได้ ใจสงบได้เร็ว หน้าตาผ่องใส ไม่หลงตาย

เมื่อมีเหตุการณืผ่านมา ในชีวิตป้านานเข้า ป้าจึงได้เห็นโทษของการมีเมตตาเกินพอดีคือปรารถนาให้เขามีความสุขความเจริญ พยายามช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยประการต่างๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ บางทีต้องเห็นเขาทุกข์ยากเดือดร้อน มีกรุณาอยากจะช่วยเหลือ ช่วยไม่ได้ เลยเป็นทุกข์ตามไป เรียกว่าทั้งเมตตาทั้งกรุณา เป็นอารมณ์ฝ่ายดีก็จริง แต่ไม่ละเอียดลึกซึ้งดีพอ อยู่ใกล้กับความเกลียดความรัก มีดีใจถ้าเห็นเขาเป็นสุข เสียใจถ้าเขาเป็นทุกข์ และเราช่วยเหลืออะไรไม่ได้

ในกรณีที่เมตตาแล้ว ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายเป็นสุขยิ่งๆ ขึ้นไปได้ หรือกรุณาแล้ว ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ไม่ได้ แล้วเราต้องเสียใจเศร้าหมองนี่เอง เรียกว่าเมตตาพาตกเหว

ทีนี้ที่ว่าอุเบกขา เหมือนเถาวัลย์ดึงตนให้พ้นจากเหว เหวก็คือความทุกข์ การวางอุเบกขามีสองกรณี อุเบกขาชนิดที่หนึ่งเป็นอุเบกขาชนิดไม่มีปัญญา จะวางเฉย ถือเป็นเรื่องธุระไม่ใช่ไปเสียหมด เหมือนคนใจจืดใจดำ ชนิดนี้ไม่ใช่อุเบกขา ที่เป็นบารมีขึ้นมา

อุเบกขาที่เป็นบารมี ต้องประกอบด้วยปัญญา เมื่อเห็นสัตว์ใดที่ไม่สามารถเมตตาหรือกรุณาได้ เพราะเป็นเรื่องเกินวิสัย ก็ต้องปลงพิจารณาว่า ความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย เป็นไปตามอำนาจกรรมที่เขากระทำไว้เอง เราไม่สามารถอยู่เหนืออำนาจกรรมของใคร แม้แต่ตัวเราเอง ก็ต้องตกอยู่ในอำนาจกรรมของตน หลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อใช้กรุณาเมตตาไม่ได้ เช่นพบนักโทษประหาร พบสัตว์ที่เขากำลังขนไปฆ่า ฯลฯ สุดวิสัยที่เราจะไถ่ถอนชีวิต ก็ต้องวางใจให้เป็นอุเบกขา พิจารณาไปว่า

สัตว์ทั้งหลายที่ได้เกิดมา กำลังมีชีวิตอยู่ขณะนี้ เพราะการกระทำเก่าของเขาเอง ในภพชาติที่แล้วมา และเมื่อตายจากภพนี้ไป ก็จะไปเกิดตามกรรมของตน ในภพหน้า เหมือนตัวเราเองเช่นกัน

ตัวเราจะให้ใครมีสุขมีทุกข์ ด้วยการกระทำของเราเอง ไม่ใช่ของทำได้เสมอไป เพราะโดยหลักการความจริงแล้ว ทุกชีวิตมีกรรมของตนเอง เป็นที่ตั้ง

เรื่องอย่างที่ป้ากำลังเล่าอยู่นี้ ใครไม่พบกับตนเอง บางทีก็ยังไม่เข้าใจดีพอ ป้าพบมาจริงๆ เช่นป้าพบเด็กที่ยากจนมาก เกิดพายุฝนน้ำท่วมที่อยู่อาศัยจนหมด มารดามีอาชีพช้อนลูกน้ำขายที่ตลาด พอน้ำท่วมก็ไม่มีลูกน้ำไปขาย ไม่มีเงินซื้อข้าวให้ลูกกิน ป้าทราบเรื่องสงสารมากเพราะเด็กอดอาหารมาสองวันแล้ว ป้าจึงเอาข้าวสาร และไข่ดิบจากบ้านไปฝาก เมื่อเด็กรับไปแล้ว กลับลื่นหกล้มข้าวสารหกจนหมด ไข่ก็แตกตกลงน้ำสกปรก ไม่มีเหลือ ต้องอดต่อไปอีกหลายวัน กว่าจะมีโอกาสพบป้า และให้ความช่วยเหลือกันใหม่

นี่เป็นตัวอย่างอำนาจของกรรมชัดเจน ถ้าเคยอทินนาทาน คดโกงเบียดเบียนใคร ให้เขาลำบากอดอยากเอาไว้ เมื่อกรรมให้ผล แม้เราจะช่วยเหลืออย่างไร กรรมก็จะบีบ จนเขารับความช่วยเหลือไม่ได้อยู่ดี

การวางใจที่จะทำให้เกิดบุญสะสม เป็นอุเบกขาบารมี ต้องพิจารณาเรื่องสัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของของตน ดังนี้อยู่เสมอ ในกรณีที่ไม่สามารถ แสดงเมตตากรุณาได้

เหตุที่ต้องพยายามแสดงเมตตากรุณาไว้ก่อน เป็นอันดับแรก เพราะอย่างน้อยการกระทำนั้น เกิดเป็นบุญเป็นกุศลแก่ผู้กระทำแล้ว ส่วนที่จะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่กรรมของอีกฝ่าย จะสนับสนุนหรือตัดรอน

การพบหมู่คณะสร้างวัด ทำให้ป้ารู้จักการทำใจให้เป็นอุเบกขา ชนิดเป็นบารมีได้ดังนี้ มิฉะนั้นแล้วคงจะเป็น อุเบกขาชนิดไร้ปัญญา กลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ไมีดูดำดูดีเรื่องของใครถือเป็นกรรมใดใครก่อ ใครก็รับไปเสียเถอะ ไม่ใช่เรื่องของเรา โลกนี้คงแล้งน้ำใจยิ่งนัก

ทั้งสิบเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น ในบทสุดท้ายนี้ คือกำไรชีวิตที่ป้าได้รับ ยังนึกเสียดายอยู่เสมอว่า ถ้าป้าได้พบหมู่คณะก่อนมีครอบครัว ป้าคงได้บารมีต่างๆ เพิ่มจากที่เล่าไว้มากมาย มาถึงขณะนี้ป้าได้เห็นเด็กหนุมสาวส่วนหนึ่งมาวัด ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ทำทาน รักษาสีล ช่วยเหลือกิจการต่างๆ ของวัด ป้ายังนึกอนุโมทนา ชื่นชมยินดีด้วยยิ่งนัก ชีวิตของพวกเขาไม่เสียเวลาไปเปล่า

ชีวิตคนเรา ไม่ใช่ของยั่งยืน ยุคนี้อายุเฉลี่ยของคนมีประมาณ ๗๐ ปี และเวลาที่จะมีร่างการแข็งแรงจริงๆ ก็ไม่เกินห้าสิบปี ในจำนวนห้าสิบปี ต้องหมดไปในการศึกษาเล่าเรียน ไม่ต่ำกว่า ๒๕ ปี ที่เหลืออยู่ ๒๕ ปี หักเวลานอน เวลาทำกิจวัตรส่วนตัว เช่น กิน ถ่าย อาบน้ำ แต่งตัว ก็ดูจะหมดไปเกิน ๑๕ ปี เหลือเวลาราว ๑๐ ปี ถ้าต้องประกอบอาชีพเลี้ยงตนเอง เลี้ยงครอบครัว ก็แทบจะไม่มีเวลาเหลือ อยู่เลย เรื่องกินนอนพักผ่อน ขับถ่าย ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องจำเป็น ในการดำรงสังขารร่างกาย เราตัดทิ้งไม่ได้ จะเหลืออยู่ก็เรื่องการครองเรือนมีครอบครัว ซึ่งเราสามารถตัดได้

ถ้าตัดชีวิตการมีคู่ครอง มีลูกหลานออกได้แล้ว เวลาของการสร้างบารมี ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง แม้ไม่มากนัก ก็ยังดีกว่า

จึงอยู่ที่เราจะคิดได้แค่ไหน ถ้าคิดว่าเกิดมาชาตินี้ ต้องการเพียงคู่ครองสักคน ลูกเต้าสัก ๒ - ๓ คน แค่นั้น ก็ปล่อยให้เป็นโมฆะสูญเปล่า เกิดมาตายฟรี แถมขาดทุนไปด้วยต่างหาก

ถ้าคิดว่าเกิดมาเพื่อสร้างบารมี จะพยายามสะสมให้บารมีครบถ้วน เลิกเกิดให้ได้แล้ว เรื่องครองเรือนไม่ควรคิดเป็นอันขาด

มีหลายคนชอบเถียงป้าว่า ถ้าได้คู่ครองดีๆ ไม่สนับสนุนการสร้างบารมีหรือ คู่ครองยิ่งดีมาก ทำให้ต้องเกรงใจมาก จะทำสิ่งใดก็ต้องคอยกังวล ห่วงใยกันตลอดเวลา จึงเป็นการขัดขวางซึ่งกันและกันอยู่ในตัว อาจจะพอเกื้อหนุนกันได้ในบางบารมี เช่นเรื่องทาน พอบารมีอื่นๆ จะเริ่มขัดข้องทันที เรื่องศีล ทำได้อย่างมากก็เพียงศีลห้า เรื่องเนกขัมมะเป็นอันหมดสิทธิ์ เรื่องปัญญาก็ไม่มีเวลาจะทำ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การดู การฟัง กระทั่งภาวนา บารมีอื่นๆ ก็ทำนองเดียวกันทั้งหมด ชีวิตอิสระประเสริฐที่สุด

ไม่มีใครเลยที่จะบรรลุ โลกุตระธรรมขั้นสูงสุด เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า โดยมีชีวิตครองเรือน ล้วนแต่ออกจากกาม บำเพ็ญเนกขัมมะทั้งสิ้น

เรื่องสำคัญจึงอยู่ที่ ชีวิตของเราจะเห็นคุณค่าของสิ่งใด มากกว่ากัน

ป้าเล่ากำไรชีวิตของป้า ซึ่งได้มาเพียงเล็กน้อยให้ฟังแล้ว ใคร่จะยืนยันไว้ในที่นี้ว่า ขณะนี้ทุกท่านที่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ กำลังพบโชคดีอันยิ่งใหญ่กว่าป้า นับเท่าไม่ถ้วน เพราะชีวิตของป้าที่ผ่านมา มีโชคเพียงได้สร้างวัดวัดเดียว ที่กว้างเพียงร้อยกว่าไร่

แต่ ณ เวลาบัดนี้ หลวงพ่อฯ และหมู่คณะ กำลังสร้างศูนย์กลางพระธรรมกายโลก ๒ พันกว่าไร่ มีทั้งปูชนียวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ สถานศึกษาที่จะผลิตบัณฑิตที่แท้จริง มีความรู้คู่คุณธรรม ทำการเผยแผ่สันติธรรมไปทั่วโลก ให้ปรากฏความสงบร่มเย็น และเจริญรุ่งเรืองอีกสักครั้ง ดั่งสมัยพุทธกาล

งานดังที่กล่าวนี้ จึงเป็นที่รองรับการสร้างบารมีที่ยิ่งใหญ่ ชนิดไม่สามารถคำนวณคุณค่าได้ สำหรับผู้ที่ยังพร้อมด้วยวัย ด้วยความสามารถ สติปัญญา และกำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังใจ จะทุ่มเทให้ อย่าปล่อยโอกาสดีที่สุดนี้ ผ่านไปเลย

ชีวิตป้าเวลานี้ได้แต่มองด้วยความเสียดาย เห็นไม้งามยามพร้าบิ่นเสียแล้ว เห็นโอกาสสร้างบารมี ก็เป็นเวลาเข้าวัยชรา มีแต่ความเสื่อมมาเยือน เตือนแต่เรื่องเจ็บเรื่องตาย ชีวิตจึงหมดความหมายลง ทุกทีๆ ทำได้เต็มที่ก็เพียงเท่านี้คือ ชักชวนให้ทุกคนทราบ ส่วนใครจะทำหรือไม่ จะทำมากน้อยเพียงใด จึงอยู่ที่การตัดสินใจของตนเอง

เกิดมา ต้องรู้ว่า ตัวเองเป็นใคร

เกิดมา ต้องรู้ว่า เกิดมาทำไม

เกิดมา ต้องรู้ว่า ควรใช้ชีวิตอย่างไร

รู้แล้ว ทำไป ให้มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน

นั่นคือ ต้องสร้างบารมี

ขอทุกท่านจงสวัสดี ตลอดเส้นทางเดินสู่พระนิพพาน เทอญ..........

อุบาสิกา ถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล
๖ กรกฎาคม ๒๕๓๖



Create Date : 23 เมษายน 2551
Last Update : 23 เมษายน 2551 11:24:28 น. 0 comments
Counter : 1661 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.