บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
23 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
อุบาสิกา ถวิล - บทที่เจ็ด - เริ่มต้นรอยร้าว

ในระหว่างกำลังขุดคันคูดิน รอบอาณาเขตที่ดินสร้างวัด หมู่คณะจำต้องออกบอกบุญกันทุกคน จึงมีความจำเป็นต้องมีแบบแปลน สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่เราจะสร้างลงในวัดของเรา ทั้ง ศาลา โบสถ์ กุฏิ ห้องน้ำห้องส้วม ฯลฯ และควรใช้สถาปนิกคนเดียวกัน เพื่อให้สิ่งที่สร้างขึ้นทุกอย่างมี รูปแบบกลมกลืนสวยงาม ไม่ขัดแย้ง ใครจะไปบอกบุญที่ไหน จะได้นำแบบแปลนติดตัวไปด้วย คนบางคนพอใจทำบุญสิ่งก่อสร้าง ไม่เหมือนกัน จะได้เลือกทำบุญตามความพอใจ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อมีการประชุมมูลนิธิฯ ครั้งใด จึงต้องมีมติของที่ประชุมให้ช่วยเร่งการเขียนแบบแปลน ของอาจารย์ช่างที่เล่าไว้ คนตัวเล็กมีหน้าที่ไปขอร้อง เพราะมีรถใช้ประจำตัว สะดวกในการติดต่อ

เมื่อถูกเร่ง อาจารย์ช่างก็ชี้แจงว่า เรียนช่างเป็นเรื่องของศิลปะ ต้องมีแรงบันดาลใจ มีอารมณ์ จึงจะเขียนออก ถ้าจะให้ดีควรจะส่งเขาไปชมสังเวชนียสถาน ที่ประเทศอินเดีย ความเลื่อมใสศรัทธา อาจทำให้ มีความคิดสร้างสรรค์พิเศษเกิดขึ้น

ทั้งที่เงินค่าก่อสร้างไม่มี ต้องรอผู้คนบริจาคเป็นรายสัปดาห์ คุณยายฯ ต้องนำเงินที่มีผู้ถวายไว้ใช้ส่วนตัว รวมกับเงินผู้บริจาคบางส่วน รวมเป็น ๒ หมื่นบาท ให้อาจารย์ช่างไปอินเดีย เรื่องนี้เราไม่ได้ขออนุญาตมูลนิธิฯ และไม่กล้าบอกอาจารย์วรณี เพราะอาจถูกคัดค้าน

กลับจากอินเดียอีกหลายเดือนต่อมา อาจารย์ช่างก็ยังเขียนไม่ได้ ทำหุ่นจำลองศาลาแปดเหลี่ยม แสดงแก่ผู้คนที่มาร่วมงาน ในวันทอดผ้าป่ามาฆบูชาประจำปีนั้น ได้ชิ้นเดียว

อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการให้เกียรติอาจารย์ช่างผู้นั้น เมื่อเวลามีการประชุมมูลนิธิฯ ก็ไม่มีใครกล้าพูดให้ที่ประชุมฟัง คงให้ที่ประชุมส่วนใหญ่ มีศรัทธาในอาจารย์ช่างอยู่ดังเดิม

ป้าได้พูดมาในตอนต้นๆ ถึงผู้หญิงวัยสี่สิบเศษผู้หนึ่ง เป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของคุณยายฯ มาตั้งแต่สมัยคุณยายทองสุก ซึ่งเป็นอาจารย์สอนธรรมคนแรก ให้คุณยายฯ ผู้หญิงคนนี้มีอาชีพเป็นพยาบาล

เมื่อเป็นเช่นนี้ คนทั้งคู่จึงกลายจากเพื่อนสหธรรมมิก เพื่อนที่มาปฏิบัติธรรมร่วมกันเป็นผู้บังคับบัญชากับลูกน้อง การอยู่ใกล้ชิดกันทุกวัน ทำให้ฝ่ายผู้น้อย ต้องคอยหาเรื่องต่างๆ มาพูดให้ฟัง มีเหตุการณ์อะไรประจำวันเกิดขึ้น ก็จะเล่าเสมอ

สตรีช่างพูดผู้นี้จะไปวัด เพื่อดูแลสุขภาพคุณยายฯ อยู่บ่อยๆ บางระยะไปแทบทุกวัน ส่วนใหญ่เป็นเวลากลางวัน ในตอนเย็นก็จะกลับไปดูแลสุขภาพคุณหญิงมารดาของอาจารย์วรณี

กลางวันวันหนึ่ง มีสถาปนิกผู้หนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสหรือรองเจ้าอาวาส ป้าไม่แน่ใจ มาเยี่ยมหลวงพ่อฯ หมู่คณะของเรากำลังมีปัญหาเรื่องคนเขียนแบบแปลนอยู่ หลวงพ่อเจ้าอาวาส จึงได้ออกปากขอให้สถาปนิกผู้นั้น ช่วยทดลองเขียนแปลนศาลา ชนิดสร้างแล้วแข็งแรง จุคนได้มากแต่ไม่มีเสากลางให้เกะกะ และให้มีความงามแบบเรียบๆ ขณะนั้นสตรีช่างพูดอยู่ที่นั่นด้วย จึงได้ยินถ้อยคำที่สนทนากันทั้งหมด

ตกตอนเย็นเมื่อกลับไปทำงานที่บ้านอาจารย์วรณี สตรีนั้นก็นำเรื่องสถาปนิก มาเยี่ยมหลวงพ่อฯ และรับปากจะทดลองเขียนแบบแปลนศาลา เล่าให้อาจารย์วรณีฟัง อาจารย์วรณี โดยนิสัยเป็นผู้ทำงานตรง ตามระเบียบข้อบังคับ ฟังคำบอกเล่าแล้วไม่เห็นด้วย เพราะมติในที่ประชุมมูลนิธิฯ มอบหมายให้อาจารย์ช่างทำงานชิ้นนี้ไปแล้ว และอาจารย์วรณีเอง ไม่ทราบเรื่องอาจารย์ช่างบิดพลิ้ว การเขียนแบบแปลน ไม่ทราบกระทั่งเรื่องที่หมู่คณะ ต้องเสียเงินให้อาจารย์ช่างไปอินเดีย ไปแล้วก็ยังเขียนไม่ได้

กลางวันวันรุ่งขึ้น ด้วยนิสัยโผงผางตรงไปตรงมา อาจารย์วรณี จึงไปที่บ้านธรรมประสิทธิ์พบคุณยายฯ และหลวงพ่อฯ ท่านไม่ซักถามเลยว่า เรื่องราวต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร ออกปากตำหนิติติง คัดค้าน พูด พูด พูดอยู่ฝ่ายเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วก็กลับ ไม่เปิดโอกาส ให้หลวงพ่อฯ ชี้แจงอะไร ได้บ้างเลย

เวลานั้นหลวงพ่อฯ และคุณยายฯ ไม่ได้ขุ่นเคืองอาจารย์วรณี แม้แต่น้อย เพราะทราบอัธยาศัยดีอยู่แล้ว แต่ฟังจากถ้อยคำที่มากล่าวคัดค้านทั้งหมด ดูคลาดเคลื่อนจากเรื่องจริงไปมาก ราวกับว่าหลวงพ่อฯ ได้เปลี่ยนสถาปนิกเองแล้ว โดยไม่ผ่านมติที่ประชุมไปแล้ว ความจริงท่านเพียงแต่วานเพื่อน ลองเขียนมาให้ดูเท่านั้น ยังไม่ได้ตัดสินว่าจะเอาหรือไม่เอา เพราะถึงอย่างไรก็ต้องนำเสนอที่ประชุมก่อน

เย็นวันนั้น เมื่อสตรีช่างพูดไปถึงบ้านธรรมประสิทธิ์ หลวงพ่อฯ จึงได้สอบถามความจริงและได้สั่งสอนว่า การจะนำเรื่องราวใดๆ ไปพูดต่อ ต้องดูให้เหมาะให้ควร ดูถึงประโยชน์ด้วย ว่าพูดแล้วได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ ต้องพิจารณานิสัยใจคอของผู้ฟังด้วย ไม่ควรพูดสิ่งใดเกินจริง ให้เกิดความเสียหาย

การที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ในหมู่คณะขึ้นอย่างนี้ คุณยายฯ และหลวงพ่อฯ เห็นว่าเป็นความผิด ควรต้องมีการทำโทษบ้าง เพื่อต่อไปจะได้ไม่ทำอีก และเป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นในหมู่คณะระมัดระวัง ไม่ทำผิดทำนองเดียวกันด้วย

การลงโทษที่กระทำกันในเวลานั้น มีอยู่วิธีเดียว ที่ทางพระเรียกว่า ลงพรหมทัณฑ์ คือไม่ให้ใครพูดด้วย ไม่ให้ร่วมกิจกรรมใดๆ ให้นั่งสมาธิอย่างเดียว จะได้มีเวลาพิจารณาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำหนดเวลาตามโทสานุโทษ ใครผิดมากก็ถูกลงโทษเป็นเวลาหลายเดือน ใครผิดน้อยก็เพียงเดือนเดียว หรือสัปดาห์เดียว แล้วก็ประพฤติตนกันเหมือนเดิม ในหมู่คณะ

ในขณะนั้นหลวงพ่อทั้งสอง และหมู่คณะต่างเผชิญกับอุปสรรค ขัดข้องในการสร้างวัดอยู่หลายประการ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ป้าก็เจอกับปัญหาของตนเอง ชนิดคอขาดบาดตายประดังเข้ามาถึง ๓ เรื่องด้วยกัน คือเรื่องแรกแม่ของป้าป่วยหนัก เป็นมะเร็งที่ปอด เนื่องจากเป็นคนกินหมาก พิษจากยาเส้นที่กินพร้อมกับหมาก ทำให้เกิดมะเร็ง แพทย์หมดทางรักษา คงจะอยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือน เรื่องที่สองคือเรื่องหน้าที่การงานทางราชการของป้าเกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวง ชีวิตของป้าตอนนั้นถ้าไม่มีคุณยายฯ ไม่มีหลวงพ่อฯ ให้กำลังใจ คงไม่รอดมาถึงทุกวันนี้

ไม่อยากฟิ้นความหลังอันสาหัสมาเล่าอีกเลย อยากจะลืมไปเสียให้หมด แต่เมื่อนึกถึงว่าเหตุการณ์อย่างนี้ หรือทำนองนี้อาจเกิดขึ้นกับใครๆ ตัวอย่างชีวิตป้า อาจเป็นเครื่องเตือนใจหรือเป็นกำลังใจ เป็นทางออกให้แก่บางคน ที่กำลังเผชิญอยู่

ทุกข์ที่แม่ของป้ากำลังเจ็บหนัก รู่อยู่แก่ใจว่ากำลังจะจากกัน วันใดวันหนึ่ง ไม่ช้านี้ ชั่วชีวิตตั้งแต่เกิดมา คนที่จริงใจกับเราที่สุด ก็คือแม่ เมื่อมีท่านอยู่ลูกย่อมอบอุ่นใจยิ่งนัก พอนึกถึงว่า แม่กำลังจะจากไปในไม่ช้านี้ ก็ให้ใจหายวาบ วาบ อยู่เสมอๆ มีความว้าเหว่เกิดขึ้นบ่อยๆ

การปฏิบัติธรรมของป้า ยังไม่ได้รับผลอะไร แต่ปัญญาจากการอ่านการฟัง พอมีอยู่ ป้าก็สอนตนเองว่า " คนเราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้น ยังเป็นโชคดีของเรา ที่แม่เจ็บไข้ให้เรามีโอกาสรักษา พยาบาล ได้ตอบแทนคุณ ฉะนั้นทุกวินาที ที่กำลังนับเวลาจากกันอยู่นี้ เราต้องทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด"

เพราะคิดดังนี้ ช่วงระยะเวลานั้น ป้าจึงไม่ทอดทิ้งแม่ไปไหน กลับจากทำงานราชการ ก็จะมาคอยดูแลเอาใจใส่ท่าน

ป้าเองเมื่อได้ปรนนิบัติแม่ของป้าเป็นอย่างดี บางครั้งต้องให้ยาทุกชั่วโมง ป้าต้องอดนอนตลอดคืน ไม่มีใครสับเปลี่ยน รุ่งเช้าก็ต้องไปทำงานปกติ หลายเดือนเข้าร่างกายของป้า ผ่ายผอมเหลือนิดเดียว ป้าก็ไม่ย่อท้อ กลับดีใจว่าได้รับใช้แม่เต็มที่ สุดความสามารถ เมื่อท่านถึงแก่กรรมลง ป้าจึงไม่มีสิ่งใดค้างใจ เพราะได้ทำไว้บริบูรณ์ ทางร่างกายก็ดูแลท่านเป็นอย่างดีทางใจก็ประคับประคอง ให้อยู่ในบุญกุศล คุยแต่เรื่องให้ท่านจิตใจผ่องแผ้ว จึงไม่ขอดทุนทั้งผู้จากไป และทั้งป้าผู้ยังอยู่

ตอบแทนบุญคุณโดยเต็มที่แล้ว เมื่อความตายมาถึง ความทุกข์โศกก็ไม่ครอบงำ จนเกินกว่าเหตุ ไม่ต้องร้องไห้คร่ำครวญเสียดายว่า ยังไม่ได้ทำสิ่งโน้นให้ สิ่งนี้ให้ มีความอาลัยท่วมท้นโดยวิสัยปุถุชน ป้าก็ร้องไห้อยู่บ้าง ร้องเพราะรู้สึกคิดถึง แม่จากไปไม่กลับ มิตรแท้คนเดียวในชีวิต ขาดไปก็ว้าเหว่สุดประมาณ

เรื่องที่ ๓ เรื่องของสามี ทั้งที่ป้าทำใจไว้แล้วว่าวันหนึ่งคงต้องเจอ ก็คือสามีของป้าไม่พอใจ เรื่องที่ป้าสนใจการปฎิบัติธรรม และการสร้างวัด จึงแกล้งประชดด้วยการนอกใจ เพื่อให้ป้าเกิดความหึงหวง จะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างเดิม

( ชีวิตของคนมีครอบครัวนั้นคับแคบไม่เหมือนกับตัวคนเดียว สามารถประพฤติธรรมได้โดยสะดวก มีอิสระทุกอย่างเหมือนนกที่บินอยู่ในอากาศ ชีวิตของคนมีครอบครัว หากคู่ชีวิตมีศีล มีทิฎฐิเสมอกัน เห็นชอบในการประพฤติธรรมด้วย ก็จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนไปด้วยกันได้ แต่ถ้ามีศีลหรือทิฎฐิไม่เสมอกัน คือความคิดเห็นไม่ตรงกันก็กลายเป็นอุปสรรคในการประพฤติธรรมของเราได้ )

ที่สำคัญก็คือ ป้าได้ตั้งสัจจะกับคุณยายไว้แล้ว ต้องประกาศตน เป็นศัตรูกับกามคุณห้า มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น จะได้ถือโอกาศประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์ทั้งกายทั้งใจ แต่กระนั้นความทุกข์ จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก.. ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ก็จู่โจมจนแทบตั้งตัวไม่ติด ยิ่งถูกอีกฝ่ายแสดงทีท่าต้องการแตกแยกให้ได้ ก็ให้ทุกข์กินไม่ได้นอนไม่ได้ ไหนจะห่วงเกียรติยศชื่อเสียง อับอายขายหน้า เพราะป้าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ไหนจะสงสารลูกที่ยังเล็กๆ ร้องหาพ่อกันสะอึกสะอื้นหวั่นเกรงไปสารพัดว่า จะเลี้ยงลูกตามลำพังคนเดียวไหวหรือเปล่า ลูกจะมีปมด้อยจนกลายเปนเด็กมีปัญหาหรือเปล่า

แต่ป้าเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะคิดได้อย่างนี้

การเป็นสามีภรรยากันนั้น เป็นเพียงเรื่องสมมุติกันขึ้นในสังคม ความจริงคนทั้งคู่ต่างคนต่างเป็นคนอื่นกันมา เป็นลูกคนละพ่อคนละแม่ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มารู้จักกันตอนโตนี่เอง รู้จักแล้วชอบพอกันก็สมมุติเป็นคู่ครอง อยู่ต่อมาเมื่อไม่ชอบกันแล้ว ก็ต้องเลิกสมมุติ กลับเป็นคนอื่นต่อไปตามเดิม ไม่เห็นแปลกอะไร

และถ้าไม่ชอบกัน เพราะฝ่ายหนึ่งประพฤติผิด ก็ควรให้ฝ่ายผิดเป็นฝ่ายทุกข์ร้อน กลุ้มใจไปฝ่ายเดียว จึงจะยุติธรรม ไม่ควรให้ฝ่ายประพฤติถูกเป็นฝ่ายทนทุกข์ ถ้านับถือพระพุทธศาสนาเชื่อกฎของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฝ่ายประพฤติดี มาทำตัวกลุ้มเสียใจทุกข์ร้อน ก็เหมือนทำดีได้ชั่ว ไม่เป็นไปตามคำสอนของพระบรมศาสดา

นอกจากนั้นป้ายังสั่งสอนตนเองว่า " เราเป็นผู้บังคับบัญชาคนอื่น เราเป็นแม่ของเด็กๆ หลายคน ต้องทำตัวให้เข้มแข็ง จะได้เป็นตัวอย่าง เป็นที่พึ่งให้ความอุ่นใจ ถ้าเรามาเสียขวัญให้เห็น เป็นตัวปัญหาเสียเอง พวกเขาก็จะไม่มีตัวอย่างที่ดี ให้ทำตาม"

แม้จะสั่งสอนตักเตือนตนเอง ด้วยเหตุผลดีๆ อื่นๆ อีกมากมาย ก็ใช่ว่าจะหยุดความทุกข์ใจได้ทันทีเด็ดขาด ห้ามได้ประเดี๋ยวประด๋าว พอเผลสติก็ทุกข์ต่อไป เวลาเห็นอีกฝ่ายพาผู้หญิงใหม่ มาเยาะเย้ยถึงบ้าน ก็ให้เจ็บปวดรวดร้าว จะระบายความรู้สึกเอะอะ เอ็ดตะโร เหมือนชาวบ้านทั่วไปให้หายแค้นก็ทำไม่ได้ ความรู้ทางโลกที่เรียนมาสูง หน้าที่การงานที่มีคนนับหน้าถือตา บังคับให้ต้องสำรวมกิริยาวาจา ป้าซาบซึ้งกับ คำว่า " อกหัก " ดีที่สุด เพราะมีอาการเจ็บแปล๊บปล๊าบ ที่หน้าอกด้านซ้ายบ่อยๆ เหมือนอวัยวะบริเวณนั้น หักไปจริงๆ คิดว่าคงเป็นเพราะความไม่สบายใจ ทำให้หัวใจผิดปกติ สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายไม่ดี จึงเกิดอาการดังกล่าว ทุกข์ทางใจเมื่อมีมากเข้า ก็กลายมาเป็นทุกข์ทางกาย กินอาหารไม่ลง นอนหลับๆ ตื่นๆ บางทีตาเบิ่งโพลงทั้งคืน ไม่มีง่วง และจบลงด้วยอาการท้องเดิน พอมีเรื่องอะไรมากระทบใจขึ้นมา เป็นถ่ายท้อง สุขภาพทรดโทรม ร่างกายหมดเรี่ยวหมดแรง

ถึงขนาดนี้ป้าก็ต้องสอนตนเอง วิธีที่ใช้แก้ไข ก็เป็นวิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง ทุกข์เพราะรัก ป้าก็นึกให้เกลียดเสีย ทบทวนความจำในอดีต ให้เห็นความเลว ความบกพร่องของอีกฝ่าย ยิ่งนึกได้มากเท่าไร ความรักที่มีอยู่ ก็ค่อยคลายจางลง จางลง อัปปิเยหิสัมปะโยโค ทุกโข การประสบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ นี่เมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ไม่รัก ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์

ยามที่เราต้องพบความทุกข์ใจ จะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ถ้ามีทางระบายให้ใครสักคนฟัง แม้คนฟังจะช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่คนระบายก็จะคลายกลุ้มใจลงไปมาก ยิ่งถ้าได้รับคำปลอบใจสักคำสองคำ ก็เหมือนได้โอสถทิพย์ชโลมใจ เพราะเหตุนี้เวลาใครมีอะไรไม่สบายใจมาเล่าให้ป้าฟัง ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เรื่องพ่อแม่ลูก เรื่องเพื่อนร่วมงาน เรื่องครอบครัว เรื่องเศรษฐกิจ หรืออื่นๆ ป้าเป็นยอมอดทน รับฟังเสมอมา ฟังแล้วช่วยเหลือสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัย ก็ทำให้ ช่วยอะไรไม่ได้เลย ก็พูดปลอบใจให้ไป แต่ป้าก็สำรวจดูใจตนเอง บางคราวก็ให้รู้สึกเหนื่อยหน่าย ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร เป็นนักเรียนก็เป็นหัวหน้าชั้น ทำงานก็เป็นผู้บังคับบัญชาผู้อื่น กระทั่งมาถือศีลกินเพล ก็ต้องทำหน้าที่สั่งสอนอบรมหน้าที่ที่ถูกสมมุติให้เป็นเหล่านั้น กลายเป็นเหมือนกระโถน รองรับการระบายความทุกข์จากใครๆ

เรื่องสุขไม่ใคร่มีใครระบายให้ฟัง ระบายกันแต่เรื่องทุกข์ พลอยให้เราต้องไม่สบายใจตามไปด้วย เมื่อรู้ความรู้สึกของตนเองดีดังนี้ เวลามีทุกข์ ป้าจึงไม่ชอบเล่าให้ใครฟัง ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนสนิทกันแค่ไหนก็ตาม ยิ่งเป็นคนที่ป้ารักใคร่นับถือด้วยแล้ว ก็ยิ่งเกรงใจ ไม่อยากให้ร้อนหูร้อนใจ ตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้เมื่อยามทุกข์ร้อน ไม่ว่าจะน้อยหรือมากแค่ไหน ป้าจึงต้องเผชิญเหตุการณ์นั้นตามลำพัง ใช้ทั้งสติปัญญษแก้ไขตนเองให้รอด เป็นดังนี้ทุกครั้งไป

ในที่สุดก็พอสรุปได้ว่า ความทุกข์ใดๆ ก็ตาม เกิดขึ้นเพราะใจยึดถือ ยึดว่าสิ่งนี้ต้องเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อมีเหตุการณ์ไม่เป็นไปดังที่ใจยึด ความผิดหวังจึงเกิดขึ้นความทุกข์ก็ตามมา ถ้าไม่ยึดถือในสิ่งใด ไม่มีทางที่สิ่งนั้น จะทำความทุกข์ให้เกิดแก่เรา

จะพูดง่ายๆ ว่าทุกข์เกิดที่ใจยึดก็ได้ เมื่อจะแก้ ก็ต้องแก้กันที่ใจ ใจที่มีปัญญา คิดให้ถูกทาง มีอุบายแยบคายในการรู้จักคิด ก็จะเอาตัวรอดจากทุกข์ทุกอย่าง การคิดให้ได้ คิดให้เป็นจึงเป็นเสมือนเครื่องมือดับทุกข์ ประจำตัว

ยกตัวอย่างเช่น เวลานั้นป้ามีความทุกข์เรื่องต้องเลี้ยงดูลูกคนเดียว เด็กกำลังเล็กๆ ทั้งสามคน พ่อของเด็กไม่ยอมส่วค่าเลี้ยงดูให้แต่อย่างใด ถึงแม้ป้าจะร้องเรียนผู้บังคับบัญชาฝ่ายเขาก็แล้ว ร้องเรียนทางสภาสังคมสงเคราะห์ ให้ช่วยเรียกมาตกลงก็แล้ว โดยป้าให้ส่งเสีย ไม่กำหนดจำนวนเงิน จะให้น้อยแค่ไหนก็ได้ ขอเพียงให้เป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้ลูกมีความรู้สึกว่า พ่อได้มีส่วนในการเลี้ยงดู ปรากฏว่าถูกปฏิเสธหมดทุกอย่าง และทางกฏหมายก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะไม่ได้อย่าขาดจากกัน

เมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือ คิดจะท้อแท้ ป้าก็ได้ครูสอนใจให้มีมานะฮึดสู้ สอนได้สำเร็จตลอดมา จนป้าเลี้ยงลูกโตมีงานมีการทำ ครูที่ว่านี้คือ สุนัขกลางถนนแม่ลูกอ่อน มันอาศัยอยู่ไม่ห่างจากบ้านป้านัก ป้ามีเศษอาหารเหลือ ก็จะใส่ภาชนะวางไว้ข้างถนน มันก็มากิน ปีหนึ่งๆ มันออกลูกถึงสองครอก ครอกหนึ่งสองสามตัว บางทีถึงห้าตัว มันก็เลี้ยงลูกของมันได้จนโต ลูกของมันที่ตัวสวยหน่อย คนก็เอาไปเลี้ยง ตัวขี้เหร่ก็เหลืออยู่กับแม่ จนกลายเป็นหมาโต วิ่งหาเศษอาหารกินตามกองขยะต่อไป

สุนัขกลางถนนไม่มีอาชีพการงาน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มีกินบ้างไม่มีบ้าง มันยังไม่ทุกข์ร้อนอะไร เลี้ยงลูกได้โดยไม่เกี่ยงใคร ไม่เห็นมันแสดงความทุกข์ร้อน บางคราวแม่สุนัขลูกอ่อนตัวอื่น ถูกรถชนตาย เจ้าตัวข้างบ้านป้า มันยังไปคาบเอาลูกๆ ของตัวที่ตายมาเลี้ยง รวมกับลูกของมันเอง รวมกันเป็น ๗ - ๘ ตัว ด้วยซ้ำไป น้ำใจแม่หมากลางถนน ดีกว่าคนบางคนเสียอีก

ป้าเห็นอย่างนี้แล้ว มีกำลังใจสู้ชีวิต ป้าดีกว่าสุนัขนั้นนับเท่าไม่ถ้วน บ้านก็มีอยู่ อาชีพการงานก็มีทำ รายได้ไม่มาก แต่ก็พอใช้จ่ายอย่างสบาย คิดท้อแท้ก็น่าอายสุนัข

นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ถ้าพบปัญหาหรือความทุกข์ใดๆ คิดให้เป็น ก็จะแก้ไขได้ทุกเรื่อง บางคนทำธุรกิจขาดทุน กลุ้มใจคิดจะฆ่าตัวตาย ถ้าคิดสักนิดว่า เมื่อเกิดมามีแต่ตัวเปล่า ผ้าพันกายสักชิ้นก็ไม่มี เมื่อถึงเวลาที่คิดว่าทุกข์หนัก เพราะสูญเสียทรัพย์ ถ้าเห็นว่าเสื้อผ้า ของใช้อะไรต่างๆ ยังเหลืออยู่ อย่างไรเสียก็ยังร่ำรวยกว่าเมื่อแรกคลอดจากครรภ์มารดา เท่านี้ก็หายทุกข์ได้

หรือจะคิดเมตตาตนเอง รักตนเอง คือคิดว่า เมื่อต้องสูญเสียสิ่งใดไปแล้ว ก็อย่าต้องเสียใจ เพราะจะเป็นการเสียสองอย่าง ถ้าปล่อยให้ใจเสีย อาจต่อเนื่องให้เสียสุขภาพ ร่างกายเจ็บป่วย กลายเป็นเสียสามอย่าง บางทีพาลเสียอารมณ์ เกิดการบ่นว่าผู้อื่น ทำให้ทะเลาะวิวาท ถึงกับทำร้ายซึ่งกันและกัน เสียความสงบสุข กลายเป็นเสียสี่อย่าง

ถ้ารักตนเอง ก็จงยอมให้เสียเพียงอย่างแรกอย่างเดียว อย่าปล่อยให้ลามเสียไปถึงสุขภาพจิต มิฉะนั้นจะเกิดการเสียอื่นๆ ตามมาได้ง่าย คิดอย่างนี้ก็หายทุกข์ลงได้ เหมือนกัน




Create Date : 23 เมษายน 2551
Last Update : 23 เมษายน 2551 11:15:10 น. 1 comments
Counter : 1017 Pageviews.

 
ช่วยหาเจ้าภาพสร้างศาลาธรรมสังเวชให้แล้วเสร็จด้วย


โดย: พระบุญถึง ถามพโล IP: 202.149.25.234 วันที่: 16 มีนาคม 2552 เวลา:20:52:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.