ทำไมผู้ผลิตญี่ปุ่นจึงพ่ายแพ้
คนญี่ปุ่นยังคิดว่าตัวเองมีความสามารถทางเทคโนโลยี แต่ไม่เก่งขายของ เอาจริงๆ แล้วคนญี่ปุ่นยังหลงมัวเมากับคำว่า ประเทศญี่ปุ่นมีความสามารถเทคโนโลยี อยู่หรือไม่ไปๆ มาๆ อาจจะสู้ชาติอื่นแล้วไม่ได้
Panasonic Sony Toshiba Hitachi Sharp Sanyo NEC Pioneer
ชื่อนี้เราได้ยินกันมานาน
แต่รู้สึกว่าปัจจุบันมันไม่ยิ่งใหญ่เท่าเมื่อก่อน
Sumgsung, LG
ผู้ผลิตสัญชาติเกาหลีที่มีผลิตภัณฑ์ครองพื้นที่ในร้านเครื่องใช้ไฟฟ้ามากที่สุด
และบริษัทจีนเกิดใหม่อย่างHuawei ที่กำลังมาแรง
ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าทำไมผู้ผลิตญี่ปุ่นจึงเริ่มตายจากหายไป
Yunogami Takashi อดีตวิศวกรของบริษัทฮิตาชิ ได้กล่าวถึง ความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นไว้ในหนังสือที่เขาแต่งชื่อเรื่องพอแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
ความพ่ายแพ้ของการผลิตแบบญี่ปุ่น: เครื่องบินซีโร่ สารกึ่งตัวนำ ทีวี
(日本型モノづくりの敗北)
ความพ่ายแพ้ที่ว่านี้อย่างน้อยเป็นสิ่งที่ผู้เขียนหนังสือรู้สึก
ผมก็รู้สึกเช่นกัน
หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี2013 เดือนตุลาคม แม้เวลาผ่านมา 3 ปีเศษแล้ว แต่เนื้อหายังไม่ได้ล้าสมัย
ผมได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบลงเลยมาขอเล่าให้ฟัง ณ มารุมุระ ในที่นี้จะยกประเด็นที่น่าสนใจไว้ 3 ข้อที่เกี่ยวกับสาเหตุความพ่ายแพ้ที่ว่านี้และตามด้วยความเห็นของคุณ Yunogami ว่าญี่ปุ่นควรทำอะไรดี
1. สินค้าญี่ปุ่นOver Quality และราคาแพง
+ Over quality
ญี่ปุ่นสร้างของที่มีQuality สูง แต่คุณภาพก็สูงเกินความจำเป็น
และไม่ยอมสร้างสินค้าราคาที่ถูกและจูงใจพอให้คนควักกระเป๋าตังค์
ยกตัวอย่างเช่นทีวีจอ LCD ของ Sony
แม้ทีวีLCD ของ Sony จะภาพสวย กว่าทีวีเจ้าอื่นในต่างประเทศ (ตามที่อ้างในหนังสือ)แต่มันก็เป็นความแตกต่างเพียงเล็กน้อยที่ยากจะสังเกต
และถ้ามันมีทีวีที่ราคาถูกกว่ามีฟังก์ชั่นที่ต้องการมากกว่า คนจะซื้อ Sony ทำไม
เขายกตัวอย่างเช่นตลาดในอินเดีย
คนอินเดียนิยมดูคริกเกตกันมาก
เกมกีฬาคริกเกตนัดหนึ่งยาวนานมากถ่ายทอดทางทีวีถึง 4 5 ชั่วโมง
คนดูถ่ายทอดสดก็มีอยากเปลี่ยนไปทีวีช่องอื่นบ้างแต่ก็ยังอยากรู้สกอร์
ทีวีเจ้าอื่นมีฟังก์ชั่นให้แสดงผลสกอร์กีฬาคริกเกตตรงมุมหน้าจอด้านขวาถึงเปลี่ยนไปดูช่องอื่นก็สามารถติดตามผลคริกเกตได้
แต่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ปรับตัวตามเพราะฝ่ายวางแผนสินค้ายังยืนกรานจะชูจุดขายด้วย Quality ของภาพ
Quality ภาพดี แต่ไม่มีฟังก์ชั่นการแสดงผลคะแนนคริกเกต (Quality ด้านการใช้สอย)
Quality ของคนขาย แต่ใช่ Quality ที่คนซื้อต้องการหรือเปล่า
+ ราคาแพง
สาเหตุที่สินค้าญี่ปุ่นมีราคาแพงเพราะการสร้างOver quality เหล่านี้
ในกระบวนการสร้างOver quality ที่ว่านี้ต้องใช้การพัฒนาแบบ Fine-Tuning ที่จูนชิ้นส่วนประกอบทุกชิ้นเข้าหากันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้การพัฒนาแบบนี้ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 擦り合わせ [สุริอาวาเซะ]
แต่ข้อเสียของการพัฒนาแบบนี้คือเมื่อFine-tuned แล้ว จะขาดความยืดหยุ่น หาอะไหล่เปลี่ยนยาก วางแผนสำรองยาก
ยกตัวอย่างเช่นเครื่องบิน Zero fighter
เครื่องบินZero-fighter ถูกออกแบบและผลิตโดยบริษัท Mitsubishi Heavy industry
เครื่องบินถูกพัฒนาให้มีตัวเครื่องเบาที่สุดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการการบินที่รวดเร็ว ของกองทัพเรือ ถึงขั้นไม่ติดเกราะป้องกันกระสุนของเครื่องบินเลยทีเดียว
และแล้วสงครามโลกครั้งที่สองก็เริ่มต้นขึ้น
เพื่อเพิ่มกำลังผลิตเครื่องบินป้อนให้ทันตามความต้องการกองทัพเลยมีคำสั่งจากกองทัพเรือให้อีกบริษัทที่ชื่อว่าNakjima Hikouki ร่วมการผลิตเครื่องบินZero-fighter ด้วย
แต่ด้วยความที่เครื่องบินนั้นถูกFine-tuned จากการออกแบบของบริษัท Mitsubishi Heavy industry ให้เครื่องบินเบาที่สุด(Quality ความเบา) กลับก่อให้เกิดความลำบากเมื่อต้องการประกอบเครื่องบินที่อะไหล่ผลิตกันคนหล่ะบริษัท ตัวอย่างเช่นตัวถังน้ำมันที่ผลิตโดย NakajimaHikouki ไม่สามารถมาประกอบกับตัวถังเครื่องที่ผลิตโดยบริษัท MitsubishiHeavy Industry จึงทำให้การผลิตนั้นขาดความยืดหยุ่น กำลังการผลิตลดลงแต่ล่ะบริษัทต้องมีวิธีการบำรุงรักษาต่างกันและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของตัวบุคคลค่อนข้างมาก
แม้จะเป็นตัวอย่างในอดีตแต่การพัฒนาแบบ Fine-Tuning 擦り合わせ [สุริอาวาเซะ]ก็เป็นสิ่งที่พบเห็นเป็นปรกติในญี่ปุ่น ซึ่งการมุ่งสู่ Quality ที่มากเกินไปนั้นจะทำให้เกิดราคาที่แพงตามมาจากเวลาที่ต้องใช้ไปในการสร้าง Quality นั้นๆ
2. ภาษาญี่ปุ่นที่ตีความหมายของInnovation และ Marketing แบบผิดๆ
+Innovation
ความเข้าใจผิด
Innovation มักจะถูกแปลเป็นคำภาษาญี่ปุ่นที่หมายความว่า การปฎิรูปทางเทคโนโลยี技術革新[กิจุซึคะคุชิน]*
ความหมายแท้จริง
Innovation การผสมผสานระหว่างสิ่งประดิษฐ์และตลาดที่รองรับ
*หลังๆคนญี่ปุ่นก็เริ่มใช้คำทับศัพท์แล้ว
+Marketing
ความเข้าใจผิด
Marketing คือการขายของที่สร้างขึ้นมา**
ความหมายแท้จริง
Marketing คือการสร้างสรรค์ทำตลาด
**ความคิดแบบคลาสสิคของบริษัทผู้ผลิตที่รุ่งเรืองในยุค80
คนญี่ปุ่นยังคิดว่าตัวเองมีความสามารถทางเทคโนโลยี แต่ไม่เก่งขายของ
เอาจริงๆแล้ว คนญี่ปุ่นยังหลงมัวเมากับคำว่า ประเทศญี่ปุ่นมีความสามารถเทคโนโลยี อยู่หรือไม่
ไปๆมาๆ อาจจะสู้ชาติอื่นแล้วไม่ได้
คำพูดที่ว่านี้ เป็นกับดักทางความคิดของคนญี่ปุ่น
3. ผู้ผลิตญี่ปุ่นกอดคอกันตายหมู่
ขอยกเหตุการณ์สมมติที่มีหลายส่วนจากเรื่องจริง
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 1 : เฮ้ย ต่างชาติยอดขายกำลังไล่แซงพวกเราแล้วว่ะ
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 2 : ทำไงดี
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 3 : งั้นเรามารวมตัวกันเป็นกลุ่มผู้ผลิต สร้างชิป (chip)ไปต่อกรพวกมัน
(ผู้ผลิตทุกราย): เอาเบยๆ
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 3 : เป้าหมายของพวกเราจะนำพาประเทศญี่ปุ่นกลับมากุมบังเหียนของอนาคตSemi-conductor ให้ได้
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 1 : เราไปขอเงินสนับสนุนจากรัฐกัน
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 2 : แล้วเราจะทำอะไรดีล่ะ
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 1 : เรามาออกแบบชิปที่สุดยอดกันดีกว่า
ผู้ผลิตทุกรายต่างส่งวิศวกรมือดีของตนมาร่วมออกแบบชิปกัน
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 2 : ว่าแต่การกุมบังเหียนของอนาคต Semi-conductorคืออะไรหว่า
เวลาผ่านไป5 ปี
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 1 : เป็นไงบ้างชิปที่พวกเราผลิตกันขึ้นมาด้วยงบประมาณ 70000 ล้านเยน
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 3 : ดูไปดูมา มันเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยไปแล้ว
ผู้ผลิตSemi-conductor ญี่ปุ่น 2 : ชิปหายแล้ว
เมื่อผู้ผลิตSemi-conductor รวมตัวกันเพื่อออกแบบชิปตัวใหม่ไปแข่งขันกับต่างประเทศแต่ชิปที่ถูกออกแบบนั้นล้าสมัยไป ทำให้ญี่ปุ่นเสียทั้งเงิน ทรัพยากรบุคคล และเวลา
การรวมตัวที่แลดูเหมือนจะก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ที่ดีนั้นจริงๆ แล้วต่างสร้างสถานการณ์รับผิดชอบหมู่ เพื่อจะโยนกลองกันไปกันมาทีหลังสุดท้ายก็ตายหมู่
+++
ที่กล่าวมาเป็นปัจจัยกว้างๆที่ทำให้ บริษัทญี่ปุ่นเจอความพ่ายแพ้
ความพ่ายแพ้นี้อาจจะฟังดูแรงอาจจะเป็นเพียงแค่ข้อความที่ผู้เขียนต้องการสื่อถึงความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตน
เมื่อผู้ผลิตญี่ปุ่นไม่รู้ว่าจริงๆตลาดต้องการอะไร และหลงงมไปกับสิ่งที่ตัวเองถนัดซึ่งก็คือการพัฒนาแต่เทคโนโลยีพอเจอภัยคุยคามจากคู่แข่งต่างประเทศบริษัทผู้ผลิตในประเทศก็กอดคอร่วมหัวจนจมท้ายไปกันทั้งหมด
ในท้ายเล่มคุณYunogami ผู้เขียนได้เสนอแนวทางว่าญี่ปุ่นควรทำอย่างไร
+ ญี่ปุ่นควรทำอย่างที่เคยทำมาในอดีตช่วงแรกๆสมัยหลังสงครามโลกซึ่งก็คือการ Copy ของดีๆจากต่างประเทศแล้วเอามาปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม ขอให้ลืมสะว่า ญี่ปุ่นมีความสามารถทางเทคโนโลยีที่ประเทศเกาหลีใต้และจีนมีวันนี้ได้เพราะCopy อย่าคิดว่า Copy ต้องเป็นเรื่องน่าอาย ให้ศึกษาจากคนที่เก่งกว่า
+ การสร้างตลาดใหม่นั้นเทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งจำเป็น ต้องตั้งโจทย์มีภาพในใจว่าคนเราจะเป็นสุขเพียงใดหากเราตอบโจทย์ให้เขาได้เหมือนดั่งการสร้างเครื่องฉีดน้ำล้างก้น washlet ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่อยากกลับไปล้างก้นแบบเดิมอีกแล้ว
+++
จบกันไปสำหรับประเด็นสำคัญในหนังสือและข้อเสนอของผู้เขียนที่คิดว่ามีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านได้ลองคิดดูแล้วมันก็เป็นอะไรซ้ำๆกับที่เคยอ่านมาไหมครับ
ศึกษาจากคนที่เก่งกว่าและ สร้างตลาด
โดยส่วนตัวแล้วผมก็คิดว่าการที่ผู้ผลิตญี่ปุ่นญี่ปุ่นไม่ได้คิดระดับโลกจริงๆเป็นส่วนให้ความสามารถในการแข่งขันของญี่ปุ่นตกลงไป เขาอาจจะลืมตั้งโจทย์ว่า ทำอย่างให้คนอินเดียรู้สกอร์คริกเกตแม้จะเปลี่ยนช่องทีวี
ผู้ผลิตชาวญี่ปุ่นคงต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วในการตั้งโจทย์
ฉันต้องทำทำอะไร สักอย่างแล้ว
เล่าโดย: วสุ มารุมุระ
ที่มา //www.marumura.com/lost-japanese-manufacturer/