Group Blog
 
 
เมษายน 2557
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
21 เมษายน 2557
 
All Blogs
 
[ บั น ทึ ก ค ลั่ ง ห นั ง ] สรุปประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์ปี 2013 ตามประสาคนรักหนัง

SmileySmileySmiley


สวัสดีครับ เพื่อนๆ ชาวบล็อกแก๊งทุกท่าน

เราเชื่อว่าสิ่งที่โปรดปรานที่สุดสำหรับคนรักหนังทุกคนคงหนีไม่พ้นการได้ดูหนัง

แม้ผลลัพธ์สุดท้ายเราจะชอบหนังเรื่องนั้นหรือไม่

ทว่า สิ่งที่เราจะได้รับกลับมาเสมอก็คือความทรงจำและความรู้สึกที่หนังแต่ละเรื่องมอบให้แก่เรา

ไม่ว่าจะเป็นหนังพล็อตซ้ำซากจำเจหรือหนังที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

แนวแอคชั่นมันส์ๆ, ตลกขบขันหรือซาบซึ้งน้ำตาไหล ฯลฯ

หนังทุกเรื่องมักแตกต่างกันเสมอไม่มากก็น้อย

ไม่มีหนังเรื่องไหนบนโลกนี้ที่เหมือนกัน


ดังนั้นความทรงจำและความรู้สึกต่อหนังแต่ละเรื่องจึงเป็นเอกลักษณ์ของใครของมัน

ไม่มีหนังเรื่องใดแทนที่หนังอีกเรื่องหนึ่งได้นี่จึงเป็นอีกความงดงามของการเสพภาพยนตร์


ลักษณะบทบันทึกที่คนรักหนังใช้เก็บความทรงจำและความรู้สึกให้คงอยู่

มักจะมาในรูปแบบของบทวิเคราะห์บทวิจารณ์การรีวิว และการแสดงความคิดเห็นสั้นๆ


อย่างไรก็ตามสำหรับเราความงดงามของการเสพภาพยนตร์

ยังมีอีกสิ่งซึ่งเรานิยามมันเอาเองว่า 'ประสบการณ์'

โดยเฉพาะประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์ ณ โรงฉายทั้งใกล้และไกลบ้าน


เคล้าคลอด้วยเสียงกินป๊อปคอร์น
, กลิ่นบาทา,และระบบเบาะกระตุกด้วยฝ่าเท้า

โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตั๋วระบบ 4DX แต่อย่างใด


บันทึกนี้เป็นการรวบรวมประสบการณ์แห่งการดูหนังโรงเมื่อปีที่แล้ว

โดยสรุปเป็นสถิติและตัวเลขต่างๆเป็นสำคัญ


วัตถุประสงค์ของการเขียนบันทึกก็เพื่อแบ่งปันและเชิญชวน

ให้เพื่อนๆชาวบล็อกแก๊งทุกท่านมาร่วมพูดคุยตามประสาคนดูหนังและคนรักหนังด้วยกัน


เพราะเราเชื่อว่า แม้
'ประสบการณ์'จะเป็นแค่เปลือกนอกแห่งความงดงามของการเสพภาพยนตร์

ทว่าหากขาดซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ชีวิตการดูหนังของเราก็คงไม่สมบูรณ์


เราดูหนังคนเดียวประจำเลย มาคุยกันหน่อยนะ


ปล. ตกลงนี่มันบันทึกคลั่งหนัง หรือบันทึกคลายเหงา 
5555




ส ถิ ติ นั บ เ ล่ น ๆ  สำ ห รั บ ห นั ง โ ร ง ปี  2 0 1 3

โหมโรงด้วยเรื่องวัน เดือน ปี

ทำลายสถิติปี 2012 ได้สำเร็จด้วยการดูหนังในโรงไปทั้งสิ้น 125 เรื่อง

เดือนที่ดูหนังเยอะสุดคือเดือนเมษายนดูไปทั้งสิ้น16 เรื่อง (ไม่สามารถทำลายสถิติเดือนธันวาคมปี 2012ได้) รองลงมาคือเดือนตุลาคม และธันวาคม 15 เรื่องเท่ากัน สำหรับเดือนที่ดูน้อยที่สุด คือ เดือนกรกฎาคม (อีกแล้ว)ดูไปเพียง 4 เรื่อง เท่านั้น

สำหรับวันที่ดูหนังมากที่สุดในรอบหนึ่งวันในปี2013 มี 2 วันด้วยกัน คือวันที่ 21 ตุลาคม และ วันที่ 22ตุลาคม ดูไปวันละ 3 เรื่องทำให้สองวันติด ซัดกันไป 6 เรื่องทีเดียว ซึ่งวันที่ 21 นั้นสิงอยู่ที่โรงหนังเฮาส์อาร์ซีเอตั้งแต่ประมาณสี่โมงเย็นจนถึงเกือบๆสี่ทุ่ม ส่วนวันที่22 หนักกว่า ดูหนังรอบแรกที่รัชโยธินตั้งแต่บ่ายโมงกว่าจนถึงเรื่องสุดท้ายจบเกือบๆสี่ทุ่มเช่นกัน

ช่วงที่บ้าคลั่งมากที่สุดคือช่วงระหว่างวันที่30 มกราคม ถึง 3 กุมภาพันธ์ เพราะดูหนังติดกัน 5 วันติด ที่น่าเหลือเชื่อคือทั้งห้าวันโรงภาพยนตร์ที่เข้าไปอุดหนุนกลับไม่ใช่โรงภาพยนตร์เดียวกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไล่ตั้งแต่เอสพลานาด รัชดา
, เอสพลาดนาดแคราย, เมเจอร์รัชโยธิน, เฮาส์อาร์ซีเอ และตบท้ายโดยโรงภาพยนตร์ลิโด้

สมแล้วที่เมเจอร์และเอสเอฟเรียกวันพุธว่า
Movie Day เพราะวันที่เรามักนิยมไปดูหนังมากที่สุดคือวันพุธ (บ่งบอกถึงสภาพความฝืดเคืองได้เป็นอย่างดี)โดยดูไปทั้งสิ้น 26 ครั้ง รองลงมาคือ วันอาทิตย์ 25 ครั้งน้อยที่สุดคือ วันพฤหัสเพียง 10 ครั้ง (ก็ไม่ชอบดูหนังเพิ่งเข้าอ่ะนะ)



ทัศนาสไตล์


ช่วงเวลาที่ได้ดูหนังบ่อยที่สุดคือช่วงเวลาสองทุ่ม ดูไปทั้งสิ้น 42 ครั้ง สาเหตุหลักน่าจะมาจากหนังรอบพิเศษหรือรอบสื่อมักฉายรอบเวลา 20.00 รองลงมาคือช่วงสี่โมงเย็น ทั้งหมด 19ครั้งโดยหนังที่ดูรอบเช้าที่สุดในปี 2013 คือ Free Birds รอบ 10.30 และดึกที่สุดคือเรื่อง Penthouse North รอบ11.40

แถวที่นั่งที่ได้นั่งบ่อยที่สุด คือแถว
H จำนวนทั้งสิ้น29 ครั้ง (หากเป็นโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่หน่อย จะเหมาะมากเพราะจะอยู่ประมาณกลางโรงพอดีแต่ถ้าโรงเล็ก การดูหนังครั้งนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับการดูดาวบนฟ้า หรือ หยากไย่บนเพดาน )รองลงมาคือ แถว G และF สถิติเท่ากันอย่างละ19ครั้ง

ปี 2013 ดูระบบสามมิติไป 5 ครั้ง เป็น
RealD3D 2ครั้ง และเป็น IMAX 3D 3ครั้ง ดูจอ IMAX แต่ไม่3ไปหนึ่งครั้งคือ เรื่อง 2 Guns และได้ไปลองโรงMMAX ที่เอสพลานาดแคราย โฆษณาว่ามีจอโคตรอภิหมาเวรี่ซูเปอร์ยักษ์ใหญ่เบิ้มมาแล้วครั้งหนึ่ง จากเรื่องHansel& Gretel:Witch Hunters

มีปรากฏการณ์ 3 อย่าง ที่สำคัญเกิดขึ้นในปี2013 หนึ่ง คือการเอาป๊อปคอร์นเข้าไปกินในโรงหนังเพียงครั้งเดียวเนื่องจากได้ฟรีจากการสะสมแต้มซึ่งภาพยนตร์ผู้โชคดีเรื่องนั้น คือ
You’reNext ส่วนปรากฏการณ์ที่สองคือมีภาพยนตร์เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้เราเผลอวูบหลับไปช่วงหนึ่งพอสะดุ้งตื่นมาจึงแก้ปัญหาด้วยการนำน้ำดื่มที่พกมาราดล้างหน้าตรงนั้นเสียเลยภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวคือ Jack the Giant Slayer และสามมีหนังเพียงเรื่องแรกและเรื่องเดียวในประวัติศาสตร์ที่เราได้ดูสองครั้งในโรงหนังเรื่องนั้นคือ Silver Linings Playbook

ความจงรักภักดี


ในปี 2013 เสียค่าบัตรเข้าชมไปเป็นจำนวนทั้งหมด6,265 บาท (น้อยกว่าปี 2012 ทั้งๆที่ปริมาณหนังเยอะกว่า) เฉลี่ยตกเรื่องละ 50.12 บาทเนื่องจากเน้นดูฟรีเข้าว่า และหากไม่มีโปรโมชั่นจะไม่มีทางดูราคาเต็มเลย(ยกเว้นที่ เฮาส์ กับ ลิโด้ เพราะราคาเต็มสองที่นี้เท่ากับมีโปรที่อื่น)

ดูหนังฟรีไปรวมแล้ว 53 ครั้งด้วยกันส่วนใหญ่เป็นรอบพิเศษ
, รอบสื่อ, เทศกาลหนังหรือไม่ก็เป็นกิจกรรมบางอย่างมีเพียง 10 ครั้ง ที่ใช้โปรโมชั่น พวกสะสมแต้มสะสมคะแนนไม่ก็ได้ Voucherฟรี จากทางโรงไม่ก็ค่ายหนัง

ราคาตั๋วที่จ่ายบ่อยที่สุดคือ 100 บาท จำนวน 40เรื่องรองลงมาคือ 80 บาท 12 เรื่องส่วนราคาที่ถูกที่สุดที่เคยจ่าย (ไม่นับฟรี) คือ30 บาท มี 6 เรื่อง และหนังที่จ่ายราคาแพงสุดคือ
Frozen ด้วยราคา 110 บาท

เครือโรงหนังที่เราเข้าไปตากแอร์มากที่สุดคือเมเจอร์ (ขอประชาสัมพันธ์หน่อย พระราม 3 เค้าไม่ร้อนแล้วนะ ล่าสุดไปแอร์เย็นมากทีเดียว) จำนวนทั้งสิ้น 84 ครั้ง รองลงมาคือ เฮาส์อาร์ซีเอ 19 ครั้ง(เจ้านี้แอร์เย็นเฉียบ) ถัดมาคือ ลิโด้สยาม 13 ครั้ง เอสเอฟ ไปแค่ 9 ครั้งและน้อยที่สุดคือ
BACC หรือหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครใช้บริการเนื่องในงาน CinemaDiverse: Director's Choice เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ดังนั้น โรงภาพยนตร์ที่ไปบ่อยสุดย่อมเป็นเมเจอร์รัชโยธิน จำนวนทั้งสิ้น 49 ครั้ง อันดับสองคือ เอสพลานาด รัชดา 23ครั้งและอันดับสาม คือ เฮาส์อาร์ซีเอ 19 ครั้ง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเครือเมเจอร์จะได้เงินจากเราไปมากที่สุดถึง 3
,465 บาทแต่โรงภาพยนตร์ที่กวาดเงินเราเข้ากระเป๋ามากที่สุดกลับตกเป็นของเฮาส์อาร์ซีเอด้วยจำนวนเงิน 1,500บาท เฉือนเมเจอร์รัชโยธินไปเพียง 5 บาท เท่านั้น อันดับถัดมาคือเอสพลาดนาด รัชดา 1,310บาท ซึ่งเฉือนโรงภาพยนตร์ลิโด้ไปเพียง 10 บาท เช่นกัน (ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าส่วนใหญ่หนังรอบพิเศษหรือรอบสื่อ มักจะจัดที่ เมเจอร์รัชโยธิน และเอสพลานาด รัชดา)ทว่า ที่น่าสนใจกว่าก็คือ ในปี 2013 เครือเอสเอฟ ไม่ได้ตังค์จากเราไปแม้แต่บาทเดียวอย่าโกรธหนูนะ


ภาพยนตร์นิยม


ปี 2013 ดูท่า เราจะโชคดีกว่าปี 2012 เสียอีกเพราะกว่า 125 เรื่องที่ดู มีหนังที่เราชอบถึง 87 เรื่องที่เหลืออีกแค่ 37 เรื่องเป็นหนังที่ไม่ค่อยชอบและมีเพียงเรื่องเดียว ซึ่งไม่สามารถให้เกรดได้ คือ The Death of Carlos Gardel สาเหตุน่าจะมาจากความอ่อนด้อยในการตีความของเราเองที่ทำให้เข้าใจหนังไม่ถึง50% ด้วยซ้ำโดยเมื่อลองนำบันทึกที่ให้คะแนนมานับจำนวน จะได้ดังนี้ A = 5, A- = 27, B+= 26, B = 29, B- = 16, C+ = 15, C = 5และ C- มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นคือ คิดถึงคนแปลกหน้า

ประเทศยอดนิยมที่เราเสพหนังเป็นประจำตกเป็นของอเมริกา หรือ ฮอลลีวู้ด ด้วยจำนวนมากมายถึง 73 เรื่อง อันดับสองเป็นหนังไทยแลนด์แดนมหัศจรรย์ 22 เรื่อง หนังยุโรป 15 เรื่อง หนังเอเชีย 11 เรื่องออสเตรเลีย 2 เรื่องและยังมีบราซิลกับแคนาดา อีกอย่างละเรื่อง

แนวหนังที่เราโปรดปรานที่สุดท่าจะเป็นแนวดราม่า เพราะจัดไปถึง 51 เรื่อง รองลงมาคือ แอคชั่น 22
, หนังรัก13, คอมเมดี้9, หนังผี8, ทริลเลอร์6, อนิเมชั่น6, แนวผจญภัย5 และแนวลึกลับสืบสวนสอบสวนอีก 5เรื่อง แน่นอนว่าหนังแต่ละเรื่อง มันมีหลากหลายแนวเราจึงแบ่งประเภทของมัน ตามความคิดของเราเองว่าหนังเน้นหนักไปทางแนวใดมากที่สุด

ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะสามารถนำมาตัดสินทัศนคติของเราหรือทิศทางของหนังในปัจจุบันได้หรือไม่เนื่องจากเราลองไล่เรียงดูบทสรุปสุดท้ายของแต่ละเรื่องผลปรากฏว่า มีหนังที่จบดีจบสวย จบแฮปปี้เอนดิ้ง มากมายถึง 73 เรื่อง ตรงกันข้าม คือจบแบบมึงฆ่ากูเถอะ 32 เรื่องและที่เหลืออีก20 เป็นหนังประเภทที่เราไม่อาจขีดเส้นฟันธงลงไปได้เลยว่ามันจบในลักษณะใดเพราะมันประกอบไปด้วยหนังประเภท ไม่มีเนื้อเรื่องหรือทำเพื่อชงไปภาคต่อหรือสามารถมองได้หลากหลายแง่มุมจนเกินไป หรือจบแบบปลายเปิดแล้วแต่คนดูแต่ละคนจะคิด

นับวันหนังภาคต่อก็มีแต่จะมากขึ้นทุกทีซึ่งในปี2013 มีหนังภาคต่อที่เราดูในโรงถึง 15 เรื่องด้วยกันส่วนใหญ่เป็นภาคสอง จำนวน 11เรื่อง โดยหนังชุดที่มีจำนวนภาคมากที่สุดในปี 2013 ที่ได้ดูคือ
TAP Perfect Education ซึ่งเป็นตอนที่8 เข้าให้แล้ว รองลงมาคือ Fast& Furious ภาค 6 นั่นเอง

ในส่วนของหนังรีเมค รีบูธ รีเทิร์นรีไซเคิลบินหรือรีรีข้าวสาร (ทุ้ย!) หรือหนังที่มีคนเคยทำแล้วแต่ก็เอากลับมาทำใหม่ หรือตีความใหม่ ก็มีจำนวนไม่น้อยถึง 14 เรื่องเช่นกัน ที่น่าสนใจคือมีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งนอกจากจะเป็นหนังตีความใหม่แล้ว มันยังเป็นหนังภาคต่อด้วยหนังเรื่องนั้นคือ จันดารา ปัจฉิมบท

หนังที่มีเค้าโครงแรงบันดาลใจหรือสร้างมาจากเรื่องจริงก็มีจำนวนเยอะไม่ใช่เล่น อยู่ที่ 15 เรื่องแต่ที่แปลกประหลาดกว่านั้นคือมีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่เรื่องราวในหนังไม่ได้สร้างจากเรื่องราวจริงแต่สร้างมาจาก 410ทวีต บนทวิตเตอร์ จริงๆ หนังเรื่องนั้นคือ
Marry Is Happy, Marry Is Happy

ในปี 2013 มีหนัง 6 เรื่องที่เราได้ดู ซึ่งมีผกกกับนักแสดงหลัก เป็นคนเดียวกัน ได้แก่
Chinese Zodiac, Liberal Arts, Polisse, ฤดูที่ฉันเหงา, นางฟ้าและ Don Jon

หนังที่มีรันไทม์สั้นที่สุดที่ได้ดูคือ
Fingering วุ่นรักพักนิ้วเพราะหนังยาวเพียงแค่ 59 นาทีเท่านั้น(ตดในโรงยังไม่ทันหายเหม็น)ส่วนหนังที่ยาวที่สุดตกเป็นของ Blue is the Warmest Color ที่มีความยาวกว่า179 นาที (เรียกได้ว่าตาแฉะกันเลยทีเดียว อิอิ)

ว่าถึงชื่อหนังกันบ้างท่ามกลางหนังที่เราได้ดูหนังที่มีชื่อเรื่องสั้นที่สุด นับจากจำนวนตัวอักษรเครื่องหมาย และตัวเลขต่างๆ(แต่ไม่นับเว้นวรรค) คือ
Mud และที่ยาวที่สุดมีสองเรื่อง ได้แก่ The Mortal Instruments: City of Bones และฮาชิมะ โปรเจกต์ ไม่เชื่อต้องลบหลู่ จำนวนเรื่องละ32 ตัว (ไม่เชื่อลองนับดูสิ)

และสุดท้าย (พอและเหนื่อย)หนังที่มีตัวเลขอยู่ในชื่อหนัง มีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 11 เรื่อง และ (อ่าวไหนบอกเหนื่อย) หนังที่มีชื่อตัวละครอยู่ในชื่อหนัง มีอยู่ทั้งสิ้น 30 เรื่องพอดี





SmileySmileySmiley


ขอบคุณที่ติดตามจนจบนะครับหวังว่าจะได้พบกันต้นปีหน้าหากยังมีแรงดูหนังอยู่

สวัสดีครับ




Create Date : 21 เมษายน 2557
Last Update : 22 เมษายน 2557 11:25:33 น. 0 comments
Counter : 750 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เด็กชายรักยิ้ม
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add เด็กชายรักยิ้ม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.