BIR (1) หมู่บ้านในฝัน
"Bir"
ฉันพยายามหัดออกเสียงให้ชัด ๆ กับชื่อของที่หมายถัดไป แต่ก็ดูเหมือนว่าอักขระสามตัวนั่นมันช่างเดายากกกว่าที่คิดไว้ซะจริง เมืองอะไรก็ไม่รู้ชื่อแปลก ๆ แถมไม่มีรถวิ่งผ่านตรงอีกต่างหาก แน่นอนว่า ฉันยังคงอยู่ที่รัฐหิมาจัลประเทศ และมันคงเป็น สถานที่สุดท้ายก่อนจากลารัฐนี้ไป
ก่อนหน้านี้คนดูแลที่พักและร้านกาแฟในรีวัลซาร์ ได้เคยแนะนำให้ฉันไปต่อรถที่สถานีขนส่ง Baijnath พร้อมคำถามเดิม ๆ ตามที่ได้ยินมาจากหลายคนทัก ราวกับจะซ้อมนัดกันไว้เมื่อได้รู้ว่าฉันจะไปที่ไหนต่อ
"ตั้งใจจะไปร่อน paragliding รึไง?"
คำตอบของฉันคงอาจดูผิดคาดไปเยอะ
"ไม่หรอก แค่อยากแวะไปดูบางโครงการที่คนรู้จักแนะนำมา"
ที่จริงแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่ามันมีแหล่งท่องเที่ยวอะไรบ้าง ข้อมูลเรื่อง Bir จึงดูไม่ได้มีอะไรให้น่าสืบค้นไปมากกว่านั้น กระทั่งหน้าเวบไซต์ของทางการเองก็ตาม
ฉันมาตั้งหลักที่ท่ารถเมืองมานดี้ และหารถเดินทางไปต่อ มีป้ายเล็ก ๆ กับตัวเขียนของอักษรคุ้นตาติดไว้ที่รถเมล์คันหนึ่ง
"ผ่านเบียหรือปล่าวคะ?"
แต่พอฉันถามคนขับรถไปแบบนี้ เขาก็กลับทำหน้างง ๆ
"บีร์?"
เออ... ใช่ มันควรออกเสียงแบบนี้ล่ะมั้ง มิน่าล่ะ! พอออกเสียงว่า 'เบีย' ก็มีแต่คนทำท่าติ๊ต่าง เหมือนยกแก้วกระดกทุกที (ไม่ใช่เบียร์ เฟร้ย)
"ผ่านถนนหลัก Bir Road ...ต้องหารถต่อเข้าไปอีก" เขาบอกกลับมาอย่างตะกุกตะกักเพราะสื่อสารได้ไม่กี่คำ
ต่อมาเมื่อรถวิ่งเทียบจอดยังท่ารถเล็ก ๆ ที่มีจุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสาร และจะ ทำการหยุดพักประมาณสิบห้านาทีได้ แต่ถึงยังไงฉันก็ยังคงกังวลเรื่องการหา รถอีกต่อหากเมื่อไปถึงยังปลายทางตรงถนนเส้นหลัก และก่อนที่คนขับจะลงจาก รถไปเพื่อหาชาดื่ม ฉันก็ตรงเข้าไปถามย้ำอีกหน เผื่อว่าท่ารถแห่งนี้จะมีรถคันไหน วิ่งตรงไปส่งถึงยังบีร์ได้ หลังจากที่ลุงคนขับรถคันแรกเดินเข้าไปถามกลุ่มโชเฟอร์ อื่น ๆ ที่พากันมายืนรวมตัวพูดคุยระหว่างพักจอดนี้ หนึ่งในนั้นได้เรียกบอกให้ฉัน ย้ายมานั่งที่รถเมล์คัน หนึ่งที่มีคำว่า बीड ตัวโต ๆ แปะหราให้เห็น ดังนั้นฉันจึงได้ โอกาสเปลี่ยนเที่ยวโดยสารจากที่นี่แทน
ภาพการเดินทางในเวลานั้น หลังหลุดออกจากตัวเมืองสักระยะ รถก็ได้แล่นผ่าน ไปบนถนนที่ขนาบข้างไปด้วยป่าไม้บนภูเขา ส่วนภาคพื้นล่างจะเป็นภาพผืนนา- กว้าง และมีคนที่กำลังร่อนร่มอยู่เหนือท้องฟ้าอยู่ไกล ๆ
ฉันได้ยินมาว่าหากเดินทางมาจากเส้นปาลัมปูร์ ก็จะมีโอกาสได้เห็นไร่ชาอีกด้วย ซึ่งพื้นที่แถบนี้มันสวยด้วยสภาพแวดล้อมของมันเอง ไม่ใช่จากสิ่งก่อสร้าง และมลภาวะที่ไกลห่างจากเมืองแบบนี้ ก็ทำให้ฉันกล้าเปิดบานกระจกรับลม...เพื่อสูดหายใจได้อย่างเต็ม ๆ
พอเมื่อเริ่มกลับเข้าสู่เขตชุมชนเมืองอีกครั้ง ก็มีป้ายโปรโมท Bir - Billing ขนาดใหญ่โชว์หราข้างหน้า บอกให้เห็นหน้าตาที่หมายปลายทางให้ลุ้นเล่นเล็ก ๆ เมื่อรถบัสได้ทำการเลี้ยวเข้าถนนเส้นเล็กสู่ บีร์ และแม้หน้าทางเข้าที่ถัดไปไม่ไกลจากฝั่งซ้ายมือ จะมีป้ายของสถาบันเล็ก ๆ ดงปลูกชา ติดบอกถึงชื่อสถานที่ ที่ฉันตั้งใจจะมา แต่ก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไรนัก เป็นเพราะสมองเจ้ากรรม มันดันประมวลผลไปเป็นที่อื่น นั่นคือ บีร์ทางตอนบน (upper bir) ซะได้ นั่นเพราะไปเข้าใจเอาเองว่าชุมชนชาวทิเบต น่าจะตั้งอยู่บนนั้น
....
หลังจากที่รถพามาสุดทางที่ upper bir ตรงสี่แยกแล้ว ฉันก็ลงรถจากที่นั่น พอมองตรงไปทางข้างหน้า ก็เห็นเพียงชุมชนที่แสนจะเงียบสงบเท่านั้น
เฮ้...เจ้าคนที่แนะนำให้แวะมาที่นี่ เขาเข้าใจว่าฉันเป็นพวกยูนี้คนักรึไง
ห๊าาา?
บริเวณสี่แยก ที่รถประจำทางวิ่งผ่าน และมีจุดบริการรถแท็กซี่ นี่คือใจกลางชุมชน โดยจะมีร้านค้าและร้านขายอาหารขนาดเล็กตั้งอยู่
ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ... แทนที่จะไปเดินหา Tibetan Colony ให้เจอ ฉันก็ได้เปลี่ยนแผนใหม่ โดยตรงไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ด้านบนก่อน เพื่อหาที่อยู่อาศัย และบ้านที่ไปพักเขาก็ได้แบ่งพื้นที่ข้างบ้าน สร้างเป็นเรือนพักอยู่แค่เพียงสองห้อง แต่ดูเหมือนว่าในตอนนั้น พวกเขากำลังทำการต่อเติมพื้นที่บนบ้านที่เป็นอาคารปูนเพิ่มเติมด้วย ซึ่งนั่นอาจจะทำเป็นห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยวเพิ่มเติมอีกก็ได้ แม้ครอบครัวนี้จะไม่ได้ทำการเกษตรกันเป็นอาชีพหลัก แต่บริเวณรอบ พื้นที่บ้านในส่วนอื่น ๆ พวกเขาได้ปลูกส้มและปลูกพืชผลบางอย่าง เพื่อเอาไว้เก็บกินเองก็เยอะ สำหรับที่พักเจ้าอื่น นอกเหนือจากตรงนี้แล้วฉันก็ไม่เห็นเกสท์เฮาส์ไหนอีก นั่นเท่ากับว่าในช่วงเวลานี้ ตัวเองคงเป็นคนต่างถิ่นเพียงคนเดียวในละแวกนี้แน่ ๆ
ถัดมา เมื่อฉันได้ออกมาสำรวจดูหน้าตาของพื้นที่ชุมชนโดยรอบ คำจำกัดความของที่นี่ อาจควรได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านเกษตรพอเพียง ได้เลย บ้านแต่ละหลังจะมีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกรอบบ้าน ท่อส่งน้ำรอบข้างจะเป็นทาง- น้ำไหลที่ส่งต่อมาจากบนภูเขาไหลขนาบไปตามละแวกต่าง ๆ และมีพื้นที่ทำคอก เลี้ยงสัตว์ขนาดเล็กกันด้วย ส่วนยามเช้าตรู่ก็อาจได้เห็นชาวบ้านมานั่งรีดนมแกะ นมวัว กันที่ลานหน้าบ้าน ในช่วงค่ำคืน ที่นี่แทบไม่มีแสงไฟรบกวนเลย จะมีก็แต่เสียงน้ำไหลกับเสียงลม ที่พัดอื้ออึงจากภายนอก ตีพัดปะทะกับต้นไม้รอบบ้านค่อนข้างแรงพอควร และ บ่อยครั้ง มันก็ทำให้ฉันเข้าใจผิดว่ามีกำลังฝนตกพายุเข้าอยู่หลายหน และเผลอ พลั้งรีบรนออกจากห้องเพื่อเก็บผ้าที่ตากไว้ด้านนอก แต่นั่นก็ทำให้ฉันเก้อทุกครั้ง เพราะนอกจากจะไม่ได้มีฝนเทลงมาให้เปียกสักนิด บนท้องฟ้ายังคงปลอดโปร่ง และเต็มไปด้วยดวงดาว
ถึงแม้ว่า ตัวเองจะไม่ได้ตั้งใจมาอยู่ upper bir แห่งนี้ตั้งแต่แรกคิด แต่จากสภาพแวดล้อมดังกล่าว มันก็ทำให้ฉันแอบเรียกมันว่าเป็น "หมู่บ้านในอุดมคติ" ได้ไม่ยากเลยนะ
จุดที่ตั้งของหมู่บ้านด้านบนจะมีร้านขายชำของเล็ก ๆ สองสามแห่ง และที่สำคัญมันไม่มีร้านอาหาร โดยเฉพาะแถวที่พักอาศัยของฉัน หากต้องการซื้อของใช้สอยหรือกินข้าว ก็ต้องเดินย้อนไปที่สี่แยกโน่น
ที่จริงแล้ว ฉันตั้งใจจะเดินทางมายังชุมชนคนทิเบต แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปตั้งรกรากกันตรงไหนกัน?
อย่างไรก็ดี ที่ตั้งชุมชนดังกล่าวก็อาจดูไม่น่าจะไกลเกินไปถึง เมื่อเด็กสาวลูกเจ้าของบ้านพัก ได้ชี้บอกทางลัดสำหรับเดินลง ไปยัง Tibetan Colony ให้เห็น
....
ย้อนกลับ มาที่เรื่องของแหล่งอาหารการกินบ้าง เท่าที่เห็นก็จะมีอยู่ก็แถวสี่แยก ร้านอาหารแถวนี้มันแทบจะไม่มีให้เห็น จะว่ามีก็เหมือนไม่มี จึงเป็นไปได้ว่านัก- ท่องเที่ยวอาจแวะมาที่นี่ ก็เพื่อร่อนร่มเสียมากกว่าแวะพัก ดังนั้นมันจึงไม่มีความ คึกคักแบบสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป ความเป็นชุมชนธรรมดาจึงมีค่อนข้างสูง ซึ่งชาวบ้านแถวนี้คงไม่ค่อยออกมากินอาหารนอกบ้านกันเท่าไหร่
ฉันแวะกินมื้อเย็นที่ร้านท้องถิ่นแห่งหนึ่งแถวนั้น มองหารายการที่จะสั่ง อืม...คงไม่มีอะไรดีไปกว่าหมี่ผัดแล้วละ นี่เป็นร้านอาหารจานด่วน ที่มีแต่ของกินจำพวกเส้น ๆ
"ขอโชเมียนไก่จานเล็ก" อ้อ...หมายถึง half size นะ ฉันย้ำ สิ่งหนึ่งที่มักพึงรำลึกเพื่อระวังเสมอถึงเรื่องของนักท่องเที่ยว มักจะถูกยัดเยียดให้จ่ายกับราคาจานใหญ่ เพราะมันจะแพงกว่าสองเท่า
full size 80 รูปี / half size 40 รูปี
และเมื่อจานที่สั่งไว้ได้ถูกยกมาวางข้างหน้า มันถูกแต่งด้วยผักแบบแปลก ๆ มีแตงกวา และมะเขือเทศ เรียงอยู่รอบขอบ แถมโรยด้วยผักอีกนิดหน่อย ก็ได้แต่ถอนใจนี่ตรูได้จ่ายราคาเต็มอีกแหง...พี่เล่นจัดแต่งผักมาให้ซะสวยงามเชียว แต่ก็ต้องมาแปลกใจ ที่พวกเขาคิดราคาปกติทั้งที่จานมันใหญ่โต หลังจากแอบเทียบเคียงจานเล็กที่โต๊ะข้าง ๆ ก็ยิ่งประหลาดใจไม่หาย
ถัดไปอีกร้านหนึ่งที่ขายชา กาแฟ และ ไข่เจียวกับขนมปัง ฉันลองสั่งกาแฟดื่มตอนเช้า ซึ่งมันก็เป็นกาแฟผงสำเร็จรูป ตามหลักแล้วทุกที่ในอินเดีย "กาแฟ" ย่อม แพงกว่า "ชา" ทั้งที่มันก็ชงง่ายกว่าแถมไม่ต้องลงเครื่องเทศกรองกากเพิ่มให้วุ่น
ในขณะที่ถ้วยใส่ชาของคนอื่นๆ ที่มานั่ง จะมีขนาดเล็กเหมาะมือแต่ถ้วยกาแฟของฉัน เป็นแก้วโต ที่น่าจะเรียก mug มากกว่า cup จากที่เห็นตอนต้มน้ำเขาเทนมให้เยอะเกือบครึ่ง
เอาสิ...โดนโขกราคาแน่นอน ฉันเริ่มหวั่น ๆ เมื่อไปจ่ายเงินเขาบอกว่า ฟิฟตี้ รูปี นะจ้ะ และเมื่อฉันยื่นแบงค์ 50 รูปี ส่งไป ... ฮาว่าละ!
ก่อนนึกเปรยบ่นถึงกาแฟถ้วยนั้น ที่ชงให้เสียใหญ่โต ก็เพราะจะคิดเงินเราเยอะ ๆ แต่ก็ผิดคาดอีก คนขายกลับไม่ได้เปิดลิ้นชักเพื่อเก็บเงินไปเงียบ ๆ แต่กลับรื้อหาธนบัตรและเหรียญ พร้อมยื่นเงินทอนกลับมา กรี๊ด ... ทำไมเมื่อกี้นี้พูดไม่ชัดคะ!
ฟิฟทีน ค่ะ ฟิฟทีน ปล่อยให้ครู่ก่อน ฉันหลงด่าในใจเป็นวักเป็นเวง นี่แหละหนา นี่แหละหนา พวกจิตใจขุ่นมัว!
และนี่คือหน้าตาของย่าน upper Bir (ภาพถ่ายจากมือถือนะคะ)
แนวสวนส้มเล็ก ๆ ของบ้านที่ไปพัก
ทางน้ำไหล ที่ปันส่งไปตามพื้นที่ การแบ่งพื้นที่เพาะปลูกของบ้านแถวนั้น
Create Date : 20 พฤศจิกายน 2559 |
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2560 17:00:29 น. |
|
10 comments
|
Counter : 1117 Pageviews. |
|
|
กล้าเที่ยวจริงๆ...กลัวใจเลย
.
.
.
หมี่ กับ กาแฟ อร่อยไหม
50 รูปี ยังมีทอนอีก
อ่านได้เพลินดีครับคุณฟ้า