หนแรกของการใช้สุขาที่ว่า ช่างทุลักทุเลสิ้นดีเพราะไหนจะเป้ที่ถ่วงน้ำหนักจาก
ด้านหลัง และกล้องที่สะพายคล้องด้านหน้า แถมยังต้องใช้มืออีกสองข้างจับรั้ง
ประตูให้เลื่อนลากมาปิดให้พอเป็นพิธี นี่ยังไม่นับเรื่องการทรงตัวบนแผ่นไม้พัง ๆ
บนปากหลุมที่มันจะพาพลิกคว่ำได้ทุกเมื่อหากเผลอขยับตัวมากเกินเหตุอีกนะ
เดี๋ยวจะร่วงหล่นไปจมอยู่กับสิ่งปฏิกูลแล้วจะวุ่นวาย
ถึงฉันจะเคยได้ยินคำเตือนเรื่องของห้องน้ำในเมืองจีนอยู่บ้าง แต่โชคยังดีที่ยังไม่
ได้พบเจอระบบสุขภัณฑ์ที่มีการจัดการแบบรางเทน้ำทิ้งล้างบางและไร้ที่กำบัง
ขณะใช้งาน หรือถึงขนาดต้องนั่งจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างที่เขาร่ำลือ คงเพราะ
ได้อยู่เที่ยวแค่เฉพาะในตัวเมืองใหญ่เท่านั้น ก็เลยรับประกันความโหดเรื่องห้องน้ำ
ระหว่างสองประเทศนี้ไม่ได้ว่าใครจะชนะเลิศที่สุด?
กลับมายังคอกม้าที่เดิมต่อ ฉันตกลงที่จะเช่าม้าขี่เป็นเวลา 1 ชั่วโมง พวกเขาคิด
ราคา 6,000 ทู้กรุก โดยต้องมีไกค์นำทาง(อันนี้ภาคบังคับ) ...แต่ฟังดูก็น่าตลก
ตรงที่ว่าเราจะต้องเสียค่าเช่าม้าให้กับคนนำทางด้วย
นี่คือการขี่ม้าครั้งแรกของฉัน และคงไม่มีอะไรที่น่ากลัวเท่ากับความเซ็ง!
คนที่เป็นไกค์ได้เอาเชือกมาผูกโยงระหว่างม้าของเขา กับม้าของฉันที่มีระยะห่าง
ประมาณสามเมตรได้ ก่อนที่จะนำทางไปยังทุ่งกว้างด้านนอก "เจ้าม้ามองโกล"
แห่งทุ่งหญ้าสเตปป์ดูเหมือนจะมีรูปร่างป้อมเตี้ยและขาใหญ่ ต่างไปจากที่ฉันคิด
ไว้ แต่เท่าที่เคยได้ยินมาพวกมัน ว่องไว และอึดทน ต่อสภาพอากาศที่โหดร้าย
เพราะถูกเลี้ยงไว้นอกบ้าน ซึ่งในตอนกลางวันอาจมีอุณหภูมิปกติหรืออบอุ่นอยู่
บ้างในขณะกลางคืนกลับหนาวขั้นติดลบ
ไอ้ม้าแกลบของฉันมันก็กวนไม่ใช่เล่น ๆ หลายหนที่พยายามเดินแซงม้าของไกด์
และบางทีมันก็หยุดฉี่หน้าตาเฉย ส่วนคนนำทางดูท่าทางจะไม่คุยไม่หือไม่อือ
อะไรไปตลอดชั่วโมง ฉันไม่ได้เป็นพวกเรื่องมากแต่ก็ไม่ชอบที่จะเจอกับสถาน-
การณ์แบบนี้ เขาดูไม่ค่อยเต็มใจนำเที่ยว และเอาแต่สูบยาเส้นกับคอยดึงเชือกคุม
ม้าอยู่อย่างเดียว
ท้องทุ่งหญ้าที่โล่งกว้างในเวลานั้น จะมีกลุ่มจามรีตัวใหญ่เดินกระจัดกระจายเต็ม
ไปหมด พวกมันมีขนปุยปกคลุมหนาและไม่ดุร้าย แม้ไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นเจ้าของ
แต่พวกมันคงอยู่ในสถานะสัตว์เลี้ยงอยู่ดี
และในขณะเดียวกันกับที่ฉันเอาแต่ยังกล้องขึ้นมาเก็บภาพสัตว์เลี้ยงตัวยักษ์
ทุ่งหญ้า และเพิงบ้านหลังไม้เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่แถวนั้น ตาลุงไกด์ก็ได้หันมาพูดด้วย
"ยัค"
ใช่...เขาบอกให้ฉันรู้ว่า เจ้าตัวโตที่กำลังเดินเล็มหญ้าไปมาไม่ใช่ หมา วัว ควาย
หรือสมเสร็จ ...กระทั่งญาติห่าง ๆ กับปลาโลมา หรือ เอ๋อเหมยซอรัส ฯลฯ
แต่มันคือ "ยัค" ไงล่ะ หรือที่คนบ้านเราเรียกพวกมันว่า "จามรี"
มหัศจรรย์พันลึก จริง ๆ
โน่นก็ยัค นี่ก็ยัค มีแต่ ยัค เต็มไปหมด เย้ ๆๆๆๆ
หลังจากผ่านความเงียบงันมาพักใหญ่ นี่คงเป็นคำเดียวที่ไกค์หันมาคุยด้วย
คงเพราะเห็นฉันเอาแต่มองฝูงสัตว์ตัวโตเหล่านั้นอย่างไม่ลดละ ว่าแล้วก็หันไปสูบ
ยาเส้นต่อ
พอหมดชั่วโมงแห่งความน่าเบื่อหน่าย เราวกกลับไปที่เส้นทางเดิมที่จะต้องผ่าน
ลำธารและดงป่า ที่คราวนี้กลับได้เจออะไรแปลก ๆ เข้า มันอาจเป็นภาพบาดตา
เล็กน้อย เมื่อฉันได้เห็นชายสองคนกำลังนั่งยองหันหลังและมีบั้นท้ายที่เปลือย-
เปล่าอยู่ที่พุ่มไม้ไร้ใบดกซึ่งก็คงไม่พอจะให้เป็นที่กำบังพรางตาได้ดีเท่าไหร่
เมื่อเจ้าม้าแกลบทั้งสองเดินซวบซาบย่างผ่านมา ก็ทำให้พวกเขารู้ตัวและรีบลุกขึ้น
ใส่กางเกงหลังเสร็จธุระส่วนตัว หนึ่งในนั้นได้เดินเข้ามาคุยกับคนนำทาง และ
ทำท่าจะมาขี่ม้าของฉันเพื่อขอซ้อนท้าย (เฮ่ย!) แต่ไกด์ได้บอกให้มาที่ม้าของเขา
แทน และชายคนนั้นก็ติดม้ามาจนเกือบถึงที่คอกม้า
จะมีรถวิ่งไป 'อูลันบาตอร์' กี่โมงกันแน่?
หลังจบกิจกรรมขี่ม้าที่ไม่ค่อยประทับใจไปแล้ว ฉันเองก็อยากรู้เรื่องเที่ยวรถขา
กลับเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรพลาด ก็เพราะขามายังดูทุลักทุเลไม่เบา
"สองทุ่ม"
ผู้หญิงที่คอกม้าบอกฉันมาแบบนี้ แต่เอ๊ะ...ทำไมถึงไม่ตรงกับข้อมูลที่ได้มาล่ะ
นายมิคาเอล ก็ย้ำเป็นหนักแน่นว่าหากเลยห้าโมงเย็นไปแล้วอาจลำบาก
ทั้งที่จริงแล้ว หากวันนี้ฉันจะนอนค้างที่อุทยานฯ ก็คงไม่มีปัญหาหรอกนะ เพียง
แต่ว่าในตอนนี้น่ะ เริ่มหิวแล้ว "แล้วที่นี่มีอาหารขายไหม?"
ทว่าคำตอบที่ได้มากลับ ฟังดูแล้วก็แทบไม่น่าเชื่อ "ไม่มี"
สองทุ่ม? ถึงแม้ว่าในฤดูนี้กว่าดวงอาทิตย์จะหมดแสงประมาณทุ่มครึ่งแต่แน่นอน
ว่า หลังจากที่มืดลงแล้วอุณหภูมิจะลดฮวบอย่างเร็วมาก โดยเฉพาะการต้องมารอ
อยู่ในพื้นที่กลางป่าแบบนี้คงไม่สนุกแน่ นี่ขนาดแค่บ่ายสี่โมงกว่าแล้วก็แทบจะไม่
เห็นรถวิ่งผ่านมาเลย แล้วสองทุ่มที่ว่านั่นมันจะเอาอะไรมารับประกันได้!?
ไม่ว่าจะยังไง คนแถวนี้บอกเพียงแค่ว่า "ไม่รู้"
เหมือนกับจะนัดคำตอบกันไว้
บ้าไปแล้ว !!!
ฉันเดินไปรอบบริเวณนอกเผื่อว่าจะยังมีร้านขายของกินเปิดอยู่บ้าง และอาจ
เปลี่ยนใจนอนค้างแรมมันที่อุทยานฯ นั่นคงจะดีกว่าหวังรออะไรลมแล้งกับเที่ยว
รถรอบสองทุ่ม แต่ดูเหมือนร้านรวงเล็ก ๆ กลับปิดเงียบไปหมดคงเพราะหมดช่วง
ฤดูท่องเที่ยวอันแสนจะคึกคักไปแล้วงั้นหรือ?
ที่ริมศาลานั่งพักมีกลุ่มคนท้องถิ่นคุยกันอยู่ ฉันจึงแวะตรงไปถามเรื่องเที่ยวรถ
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีคำตอบเหมือนเดิม และนั่นก็ทำให้ฉันคิดรักมองโกเลียไม่ลง
พอปลีกตัวออกมานั่งห่างจากพวกเขา พร้อมกับความรู้สึกแย่ ๆ ที่สุมเข้ามาใน
ความคิดตอนนั้น ทุกอย่างมันกลายเป็นอคติเชิงลบไปหมด
หากจะมีใครกล่าวว่าฉันมองโลกในแง่ร้ายจนมากเกินไปก็อย่าได้แปลกใจเลย
เพราะนี่คือครั้งแรกที่ตัวเองได้ออกมาดูโลกข้างนอกเพียงลำพัง ซึ่งนี่ก็ไม่ได้
ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทางทั้งหมดทั้งมวลเสียหน่อย
กระทั่งมีลูกของคนที่นั่นเดินเข้ามาเล่นด้วย เป็นเด็กชายแก้มยุ้ยในชุดท้องถิ่น
ดูน่ารักน่าหยิกเหมือนว่า ฉันกำลังจะพ้นผ่านสถานการณ์อันน่าเครียดไปได้บ้าง
แต่อยู่ ๆ เจ้าเด็กนี่ กลับดูท่าจะหาเรื่องโดนเตะ เมื่อน้องลงไปนั่งเล่นที่พื้นทราย
และโกยดิน จากนั้นก็หยิบดินสาดใส่พร้อมหัวเราะ เอิ๊ก เอิ๊ก
เฮ่ย ไม่เล่น !
ดุกลับเป็นภาษาไทยนี่แหละ...และนั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าเด็กหยุดป่วน
นานทีเดียวกว่าแม่เด็กจะหันเห็นแล้วมาอุ้มกลับไปก็แทบปวดหัว
นี่เราคงไม่ถูกชะตากับที่นี่จริง ๆ ซะแล้วล่ะมั้งกลับเหอะ
....
ระหว่างที่ฉันกำลังเดินออกไปยังทางถนน ด้านทิศที่มีประตูทางออกของอุทยานฯ
ก็รถยนต์คันหนึ่งกำลังวิ่งสวนผ่านมาพอดี ก็เลยตัดสินใจทำตามแบบคนที่นี่
โบกสิครัช...จะรออะไรอยู่!
คนขับรถได้ชะลอจอดและเปิดกระจกให้ฉันได้เดินเข้าไปถาม แม้ว่าจะสื่อสารครั้ง
นั้นจะไม่ค่อยได้ความเท่าไหร่ "ผ่าน อูลันบาตอร์ ไหม ?"
"อูลันบาตอร์ ไกลไป" คนขับรถบอกคร่าว ๆ ว่าไปไม่ถึงในเมือง
ฉันไม่รู้ทิศทางของพื้นที่ดีพอเท่าไหร่และต่อให้เขาบอกถึงเขตที่จะไปลง
มันคงไม่ได้ช่วยให้เข้าใจได้อยู่ดี อ้อ...ฉันนึกออกละ ยังมีรูปถ่ายป้ายรอรถเมล์
ที่ถ่ายเก็บเอาไว้อยู่นี่นา ไม่แน่ว่าเขาอาจไปส่งฉันที่จุดลงรถเมล์ตรงนั้นได้
ฉันหยิบกล้องออกเพื่อเปิดย้อนดูภาพที่ว่า ให้เขาดูเผื่อว่าจะไปลงที่นั่นได้
คนขับรถจึงตกลงใจที่จะไปส่ง และหลังจากที่ได้ขึ้นรถแล้วเขาก็ขับย้อนวกกลับ
มาที่อุทยานฯ อีกหนเพื่อไปหาคนติดรถเพิ่มเติม
ดังนั้นเที่ยวรถขาออกครั้งนี้ จึงมีคุณป้าหนึ่งคนกับคุณยายที่แต่งชุดพื้นเมือง
อีกสองที่โดยสารออกมาจากอุทยานพร้อมกับฉัน และถัดมาไม่นานก็ยังผู้ชาย
อีกรายที่โบกรถขึ้นเพิ่มระหว่างทาง
พวกเราแยกย้ายกันตรงจุดรอรถโดยสารตรงตัวเมืองเล็ก ๆ ที่ว่า ก็เหลือแต่คุณป้า
ที่มาด้วยกันกำลังจะหารถต่อไปอูลันบาตอร์พอดี ทำให้ฉันมีเพื่อนร่วมทางกลับ
เข้าเมืองโดยบังเอิญ
ไม่นานนักก็มีรถยนต์คันหนึ่งขับมาจอดเทียบถามเราพอดี เขาเป็นทหารที่แต่ง
เครื่องแบบลายพราง สวมหมวกแก็ป และดูเหมือนว่าจะเดินทางไปเข้ากรมฯที่
ตัวเมือง คุณป้าจึงถามถึงทางที่เขาจะขับผ่านซึ่งก็เป็นอันตกลงว่าพวกเราจะไป
ยังอูลันบาตอร์กันได้ แม้ว่าจะไม่ถึงกับสุดทางก็ตาม
การเดินทางเข้าเมืองครั้งนี้ มีคนร่วมนั่งโดยสารไปกันทั้งหมด 3 คน แม้ว่าจะ
เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นดีกับอัตราเร่งของรถที่พุ่งทะยานและตลอดจนฝีมือการเร่ง
แซงปาดซ้ายขวาของรถคันอื่น ๆ บนท้องถนน แต่ฉันก็ไม่สะดวกที่จะยกกล้อง
ขึ้นมาเก็บภาพ เพราะนั่งอยู่ตำแหน่งกลางและรู้สึกเกรงใจความเป็นส่วนตัวของ
พวกเขาก็ด้วย
แต่ก็อย่างว่าแหละ ฉันไม่ขอถอนคำกล่าวที่ว่าคนมองโกเลียขับรถกันได้น่าหวาด
หวั่นสุด ๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องมีการแซงกันซึ่งหน้าก็ถึงกับยอมกันไม่ได้เลย
มีหนนึง ที่รถบรรทุกปูนพยายามหาทางที่จะปาดแซงรถเราเพื่อย้ายเลน ด้วยความ
ที่เป็นรถใหญ่และมีการพ่วงท้ายที่โม่ปูน องศาการเลี้ยวของมันจึงแทบจะหักมา
เฉียดโดนหน้ารถ คนทั้งรถพากันนั่งเกร็งและหายใจเฮือกเป็นเสียงเดียวกันเมื่อ
ตอนถึงจังหวะที่เกือบหวิดชน
แต่นั่นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบเพราะพี่ทหารก็ดันไม่ยอมง่าย ๆ
เขาขับเบียดวิ่งขึ้นแซงรถคันที่ว่าพร้อมบีบแตรขู่ ฉันเดาว่าหากแกไม่ติด
ที่จะต้องรีบไปเข้ากรมฯ หรือเข้าเวร คงได้ลงไปมีเรื่องต่อแน่นอน
หลังหมดช่วงเวลาอันน่าระทึกบนท้องถนนแล้ว เราลงรถกันที่หน้ากรมทหาร
อย่างปลอดภัยและหลังจ่ายค่าโดยสารแล้ว คุณป้าก็ถามถึงที่พักของฉันว่าอยู่
ที่ไหน?
ที่จริงแล้วฉันก็บอกไม่ถูกเพราะเป็นพวกหลงทิศทางประจำแม้จะมีแผนที่
อยู่ในมือก็ตาม ดีที่ตอนนั้นได้พกเอานามบัตรของเกสท์เฮาส์ติดตัวมาด้วย
ฉันเลยยื่นส่งให้คุณป้าดู ซึ่งคงไม่ยากสำหรับคนพื้นที่ที่จะรู้ที่ตั้งของมันว่า
ไกลจากที่ตรงนี้มากหรือปล่าว
ถึงป้าจะไม่ได้สื่อสารมาเป็นภาษาอังกฤษ แต่ท่าทางที่ส่งมาได้บอกให้รู้ได้
ไม่ยากว่ามันจำเป็นต้องนั่งรถเมล์ไป จากนั้นคุณป้ามองโกเลียก็เดินนำทาง
ขึ้นรถโดยสารไปส่ง
ค่ารถโดยสารของที่นี่จะตกอยู่ราว 400-600 ทู้กรุก ที่ฉันได้จ่ายในส่วนของตัวเอง
แต่ในขณะที่คุณป้ากลับไม่ต้องจ่ายอะไรเพราะแขวนบัตรบางอย่างไว้ที่คอ
นั่นอาจเป็นสิทธิบางอย่างที่ป้าไม่จำเป็นต้องเสียค่าโดยสาร
ที่บนรถเมล์นั้นไม่มีเครื่องปรับอุณหภูมิ มันอาจฟังดูอึดอัดนิด ๆ ในเมื่อช่วงเวลา
ดังกล่าวนั้นจะเต็มไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียดกันบนนั้นมากไปหมด ยังดีเรามีที่นั่ง
และได้อาศัยไออุ่นจากความร้อนที่แผ่มาจากอุณหภูมิร่างกายของใครหลายคน
ที่มารวมตัวกันบนนี้ พวกเรานั่งติดกับประตูทางขึ้นซึ่งมักจะถูกเปิดแง้มบ่อยครั้ง
เมื่อถึงป้าย และสายลมเย็น ๆ ก็มักจะพัดวูบเข้ามาปะทะโดนเราให้ขนลุกซุ่เสมอ
ตลอดการเดินทางคุณป้าพูดโน่นนี่นั่นให้ฟังไปเรื่อย แม้จะรู้ว่าฉันฟังภาษา
มองโกลไม่ออกสักนิดก็ตาม ระหว่างนั้นก็เธอหยิบมือฉันไปถูและกุมให้อุ่น
สลับข้างกันไปมาตลอด
ตั้งแต่เมื่อเช้าที่ผ่านมา ฉันจำได้ว่าตัวเองคุยกับใครไม่รู้ความเลยสักคน กระทั่งได้
รับรู้ถึงความอึดอัดเมื่อถูกปฎิเสธและเพิกเฉย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีคนที่ให้
คอยความช่วยเหลือ ทั้งที่เราต่างก็สื่อสารกันคนละภาษาเช่นกัน ดังนั้นข้อสรุป
สำหรับมองโกเลีย คงเป็นเรื่องต่างวาระและความรู้สึกที่พบเจอละนะ
เราเดินลงจากรถโดยสารตรงป้ายจอดแถว ๆ ย่านที่พัก คุณป้าลงจากรถมาส่งฉัน
เพื่อพาเดินข้ามถนน และย้ำถามเป็นหนักแน่นถึงทางเข้าที่พักว่ามันไม่ไกลเกิน-
กว่าจะไม่เดินหลง จากนั้นคุณป้าก็บอกลาพร้อมกับข้ามถนนกลับไปรอรถเมล์ที่
ฟากฝั่งตรงข้าม
....
สุดท้ายแล้ว ที่พักของค่ำคืนนี้กลับไม่ใช่เกอร์ ที่ตั้งอยู่กลางทุ่งกว้าง แต่กลับ
เป็นบนเตียงนอนเดิมของฉันในเกสท์เฮาส์ ที่มีฮีทเตอร์อุ่น ๆ ปรับอุณหภูมิให้ไม่
ต้องทนหนาวเหมือนกับไปอยู่ในตู้เย็นแบบอากาศข้างนอกนั่น
ในห้องพักตอนนี้ เหลือแค่ฉันที่ยังนั่งเล่นอยู่เพียงลำพัง ดูเหมือนว่าคนอื่น ๆ
จะพากันออกไปข้างนอกกันหมด ฉันได้เวลานี้ส่งข่าวแจ้งบอกกับบ้านผ่าน
สัญญาณอินเตอร์เน็ตว่าอาจจะต้องขาดการติดต่อไปประมาณสองวันนับจากคืนพรุ่งนี้
** เพิ่มเติม
คนแรกๆๆๆๆ