มิคาเอล โผล่หน้าออกมาจากถุงนอนในช่วงเช้า ที่ฉันกำลังจัดกระเป๋าใบเล็ก
เตรียมออกเดินทางไปนอกเมือง เขาช่วยชี้จุดขึ้นรถบนแผนที่จากหนังสือนำเที่ยว
ให้พร้อมย้ำเตือนเรื่องของเวลาเอาไว้ หากว่าฉันไม่คิดจะค้างแรมที่นั่น
Terelj (Тэрэлж) อุทยานชื่อแปลก ที่มีเสียง "จ" กระซิบพ่วงท้ายเบา ๆ
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไกลจากอูลันบาตอร์ประมาณ 80 กิโลเมตร
เป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญที่ต้องขีดเส้นใต้ย้ำไว้เป็นหนักหนาว่า ห้ามพลาด
มาถึงมองโกเลียแล้วคงไม่มีใครคิดอยากเดินเที่ยวในเมืองกันหรอกนะ แต่ติดตรง
ที่ว่ามาร์กอตกลับตั้งราคาทัวร์ไว้สูงเกินไป ถึงจะสะดวกและดีพร้อมกว่าที่จะต้อง
ดั้นด้นไปเองแบบนี้ก็เถอะ
สเวียตต้า ยังคงสาละวนอยู่ในครัวเหมือนเคย เพียงแต่รอบนี้เธอไม่ได้นั่งดม
กำยานกับจิบชามะนาวเหมือนเมื่อคืน เธอกำลังยืนหั่นหอมใหญ่กับมะเขือเทศอยู่
"ฉันจะทำสปาเกตตี้สำหรับเช้านี้อยู่กินด้วยกันไหม?"
"มื้อเย็นละกัน เดี๋ยวฉันจะออกไปอุทยานแล้ว" ฉันขอเลื่อนไปก่อน
"คงไม่ได้เจอกันแล้วช่วงสายนี้ฉันก็จะออกไปนอกเมืองเหมือนกัน
ไปยาวอาทิตย์นึงเลย" สเวียตต้า ตอบ
ฉันคงยังไม่ชินกับการเดินทางมากเท่าไหร่ และรู้สึกไม่ชอบเลย
เมื่อต้องทำความรู้จักกับใครสักคนได้ไม่นาน จากนั้นก็ต้องบอกลากัน
ในเวลาที่ไม่ห่างกันนัก
"ปากกา!" คำ ๆ นี้ที่ทำให้เรานั่งขำกันเมื่อคืน พอเมื่อเอามาพูดใช้งานสำหรับ
บอกลา ก็กลับไม่มีเสียงหัวเราะลั่นต่อท้ายกันอีกแล้ว
จากจตุรัสกลางเมืองที่มีรูปปั้นของวีรบุรุษชาวมองโกเลียที่ชื่อว่า Sukhbaatar
เลียบผ่านลงมายังสวนหย่อม และข้ามไปยังฝั่งอาคารที่เป็นสถานที่ราชการ-
แห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าป้ายรถเมล์ที่มิคาเอลบอกเอาไว้เป๊ะ
ฉันเดินถามเรื่องถึงรถโดยสาร และยื่นโพยกระดาษที่จดชื่อเป็นภาษามองโกเลีย
ให้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นดู มันอาจฟังดูไม่ดีที่ไม่มีใครสักคนช่วยบอกอะไรได้เลย
พวกเขาได้แต่มองโพยดังกล่าว แล้วก็ส่ายหน้าบอก "ไม่รู้"
บางคนก็เดินหนีหรือไม่ก็ว่าให้ลองโบกแท็กซี่ไปสิ
แท็กซี่มองโกเลียมีหน้าตาเป็นยังไงกัน ฉันยังไม่เคยเห็นเลยสักคัน?!
ในเวลานั้นคงจะต้องเรียกว่า เคว้ง และ หมดใจ ไปแล้ว กับประเทศนี้
เกือบสิบโมงที่รถเมล์คันแล้วคันเล่าได้วิ่งแล่นผ่านไป และฉันก็มาหยุดพักนั่ง
ที่ป้ายรถประจำทาง โดยที่ยังไปไหนไม่ไกลกว่าจตุรัสกลางเมือง
ในตอนนั้นมีคุณยายผมขาวมานั่งรอรถฯ เลยลองเสี่ยงเขาไปถามยายดูละกัน
ถึงจะฟังดูแปลกไปหน่อยที่คิดจะถามคนเฒ่าคนแก่ เพราะแม้แต่พวกคนหนุ่มสาว
วัยรุ่น ที่แล้วมายังช่วยอะไรไม่ได้เลย และนี่คงเป็นที่พึ่งสุดท้ายแล้ว...
คุณยายตอบกลับเป็นภาษามองโกเลีย แบบคนอื่น ๆ ที่ผ่านมา
แต่ครั้งนี้แกกลับลุกไปถามแม่ลูกคู่หนึ่งที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลนัก
คุณป้าคนที่ว่าจูงลูกสาวเข้ามาคุยอะไรบางอย่างกับฉัน พร้อมทั้ง
คุณยายก็หันมาส่งสัญญาณมือบอกใบ้ให้ตามเขาไป
สองแม่ลูกพามาขึ้นรถประจำทางไปลงที่ย่าน peace avenue (จุดขึ้นรถจะอยู่
ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรม Narantuul) พร้อมกับส่งขึ้นไปนั่งบนรถอีกคัน และกำชับ
ให้กระเป๋ารถเมล์แจ้งบอกฉันด้วยเมื่อถึงที่หมาย ทั้งสองจะหันมาบอกลาก่อนที่จะ
เดินลงจากรถ และฉันก็เผลอยกมือไหว้บอก ขอบคุณ เป็นภาษาไทย ด้วยความ
ดีใจแบบลืมคำพูดไปเสียสนิท ที่พวกเขาอุตส่าห์พามาส่งไกลถึงขนาดนี้
จากนั้นรถประจำทางวิ่งเลี้ยวออกไปทางท้องทุ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปจากตัวเมือง-
ใหญ่ ที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างกันลิบลับ ผ่านแม่น้ำสีฟ้าเข้มที่ไหลตัดผ่านพื้นที่
โล่งกว้าง ที่มองไปทางไหนก็เจอกับฝูงม้าที่กำลังยืนเล็มหญ้า และต้นไม้ที่มีแต่
ใบสีเหลืองเต็มไปหมด ดูเหมือนว่าฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่จะไวกว่าที่เมืองจีน
ทั้งที่เมื่อสามวันก่อนต้นแปะก๊วยที่ข้างทางในกรุงปักกิ่ง ยังคงมีใบเขียวสดอยู่เลย
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงได้ ที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งในเขตเมืองเล็ก ๆ
กระเป๋ารถฯ เดินมาสะกิดให้ฉันลงที่นี่ พร้อมชี้ไปยังจุดรอรถที่ฝั่งตรงข้าม
ในเวลาบ่ายโมง ที่จะมีรถโดยสารไปส่งยัง Terelj อีกต่อ
เอ๊า...ไหงการเดินทางมันดันพิศดารอย่างงี้ล่ะเนี่ย?
หนแรก ฉันก็นึกว่าจะเป็นการนั่งรถแค่ต่อเดียวเสียอีก
จุดตรงนี้คือที่ไหน ฉันเองก็ไม่รู้ทั้งพิกัดและชื่อ เลยถ่ายรูป
ที่เพิงรอรถแห่งนี้เก็บเอาไว้เผื่อว่าขากลับจะจำจุดรอรถได้
กระทั่งบ่ายโมงก็แล้วรถก็ยังไม่มา มีเด็กผู้หญิงเสื้อสีฟ้าคนหนึ่งกำลังเดิน
ไปมา สลับกับดูนาฬิกาข้อมือและคุยโทรศัพท์เหมือนว่าจะรีบร้อนนิดหน่อย
เธอบอกว่าจะไปที่อุทยานเช่นกัน และดูเหมือนว่าวันนี้รถโดยสารจะมาไม่ตรงเวลา
" มานี่ "
ครู่ใหญ่ เจ้าเด็กเสื้อฟ้าคนนั้นกวักมือเรียกบอกให้ฉันไปกับเธอหลังจากที่รู้ว่า
จะไปทางเดียวกัน เราย้ายจุดรอรถมายังที่อีกมุมของแยกถนนพร้อมกับโบกรถ
ที่กำลังวิ่งอยู่ กลุ่มคนแถวนั้นก็ทำแบบนี้เช่นเดียวกัน มีทั้งรถบางคันที่จอดรับ
หรือไม่ก็ผ่านเลยไป
เราได้ติดรถไปกับใครก็ไม่รู้ที่เจ้าเด็กคนนั้นเดินเข้าไปถาม ที่เบาะหลังของรถ
คันดังกล่าว มีคนที่นั่งไปด้วยกันรวมทั้งหมด 5 คน และนี่คงจะเป็นสิ่งที่ฉันเห็น
จากเมื่อวานนี้ที่มาร์กอตโบกรถคันโน้นนี้ เพื่อให้ไปส่งยังที่พัก ทั้งที่ไม่ใช่รถ-
โดยสารรับจ้างแต่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคล
งั้นก็แสดงว่าสำหรับมองโกเลีย รถทุกคันพร้อมที่จะเป็น Taxi ได้ตลอดเวลา
นั่นเอง แต่เรื่องค่าโดยสารก็ขึ้นอยู่กับระยะทาง จำนวนคนที่ร่วมทางด้วยนะ
พวกเรานั่งไปกันหลายคนและค่าโดยสารก็หารเฉลี่ยกันแค่ 2,000 ทูกรุก*
*ใน Guide book บอกถึง ค่าเข้าอุทยานที่ต้องจ่ายกันที่บริเวณ Turtle rock
แต่ดูเหมือนว่ารถยนต์ที่นั่งมาจะไม่ได้วิ่งผ่านทางที่ว่านั่น
ตลอดทางจะเห็นเนินเขาขนาบข้างที่เต็มไปด้วยป่าสน หรือบางทีก็จะมีหิน
รูปทรงแปลกที่มาจากการถูกลมกัดเซาะ มีจุดตั้งเกอร์แคมป์สลับกับอาคารที่
กำลังจะทำการก่อสร้างขึ้นใหม่ แต่ที่เด็ดกว่านั้นคงจะเป็นสวนไดโนเสาร์ที่มี
รูปปั้นจำลองของเจ้าพวกสัตว์ดึกดำบรรพ์ตัวใหญ่ยืนโชว์อยู่ข้างทางเต็มไปหมด
นั่นก็เพราะที่มองโกเลีย มีการค้นพบฟอสซิล โครงไดโนเสาร์ และรอยเท้า
แถว ๆ ทะเลทรายโกบี ว่าแล้วก็ให้ลองนึกถึงพื้นที่บริเวณนี้เมื่อหลายสิบล้านปี
ก่อนดูสิ พวกมันคงจะออกมาเดินเพ่นพ่านกันเยอะเลยล่ะ
พื้นถนนบางส่วนดูจะค่อยไม่ราบรื่นดีนัก เพราะมีการทำทางใหม่รถยนต์จำเป็นต้อง
วิ่งลัดลงเนิน เพื่อเลี่ยงทางและอ้อมไปโผล่อีกฝั่งถนน ส่วนผู้โดยสารก็ต้องลงจาก
รถไปยืนรอตรงทางข้างหน้า เพื่อลดน้ำหนักบรรทุกโดยเฉพาะตอนที่ต้องย้อนปีน
ป่ายขึ้นเนินสูง แถมบางครั้งก็ต้องอาศัยแรงผู้ชายมาช่วยดันรถช่วงที่ติดหล่มกลางทาง
ในที่สุดแล้วฉันก็มาถึงที่หมายจนได้ หลังลงจากรถ เราต่างก็แยกย้ายกันไป
คนละทาง ฉันที่เดินตรงไปยังกลุ่มคนเลี้ยงม้าที่นั่งกันอยู่บริเวณไม่ไกลจากจุดลง
รถนักพวกเขาเสนอที่พักคืนละ 10,000 ทู้กรุก กับค่าเช่าม้าขี่ที่คิดเป็นรายชั่วโมง
มันก็น่าสนใจดีนะเสียแค่ตรงที่ว่า หากจะค้างแรมที่กระโจมของพวกเขา
ฉันต้องนำอาหารมาเองและดูเหมือนว่าจะมีตัวเลือกอยู่เพียงเท่านี้
นี่คงเป็นอีกบทเรียนหนึ่งของการเดินทาง ที่ได้เห็นข้อแตกต่าง
ระหว่างการซื้อทัวร์กับการเดินทางมาเองคือ คือเมื่อเรายอมจ่ายมูลค่านั้น ๆ
ที่ได้รับการเสนอต่างฝ่ายต่างก็ Happy together
แบคแพคเกอร์
เที่ยวเองได้ไม่ง้อทัวร์ แต่ต้องมาซื้อทัวร์(ภายหลัง)ฟังดูแล้วมันก็แปลก ๆ
หลังจากได้เห็นหลายต่อหลายคน เดินทางมาถึงที่หมายเองและสุดท้าย
ก็ตามหาแพคเกจนำเที่ยวจากท้องถิ่นกันเกือบทั้งนั้นมันเลยต่างไปนิยามเดิม ๆ
ที่ตัวเองเคยคิดไว้มากอยู่
ภาพของนักเดินทางที่เดินกางแผนที่แบกเป้ใบโตบนหลัง แต่งตัวทะมัดทะแมง
ไปจนถึงเซอร์ อาจมีร่องรอยการไม่อาบน้ำ ยืนโบกรถ แบบ Hitch-Hike
ค่ำไหนนอนนั่น ไปจนถึงคนจำพวกบุกเบิกการเดินทางเองได้เรียนรู้และใช้วิถีชีวิต
แบบเดียวกับคนท้องถิ่นนั้น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปโดยการจัดฉากจำลองที่เตรียมไว้
สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ มันหายไปไหนหมดแล้ว
หรือบางทีแล้ว การแบกเป้ มันอาจเป็นแค่สิ่งสมมติไปแล้วก็ได้
เดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้เยอะ คือ เดือนทางเอง สุดท้ายไปซื้อทัวร์ มันพูดลำบากเหมือนกันในจุดนี้ คงจะเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวในแบบปัจจุบันแล้วมั้งครับ
+