BIR (3) ฉันจะเล่าเรื่องการเดินทางให้ฟัง
ฉันนั่งพะวงกับการสะกดชื่อ บีร์ ในภาษาฮินดีอย่างไม่เป็นสุข ลำพังความจำ ที่มีอย่างเลือนลางและการสะกดแบบงู ๆ ปลา ๆ ก็พาให้เอะใจและวุ่นวาย กับการเทียบเสียง ระหว่าง बीड ที่เป็นชื่อปรากฏถึงสถานที่นี้ และ बीर ที่ออกเสียงใกล้เคียงกว่าแต่สุดท้าย ข้อสรุปนี้ก็ไปตกอยู่ที่การสะกดแรก ที่ได้เห็นจากตามป้ายหน้ารถเมล์ยันไกด์บุคนี่แหละ
.....
ในปีที่ผ่านมา บีร์ ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน Paragliding World Cup เป็นครั้งแรก นี่ก็แอบนึกเสียดายอยู่เหมือนกันนะ ที่มาไม่ทันได้เห็นงานนี้
Deer Park Institute
จนแล้วจนเล่า ฉันก็ยังก้าวไปไหนได้ไม่พ้นรัฐหิมาจัลประเทศเสียที หลังจากที่กล้องพังแล้วก็ยิ่งไปใหญ่...ฉันพับแผนการเดินทางไปยังสถานที่ ใหญ่โตไปจนหมดและเรื่องมันก็พัดเพหันเหมาสนใจกับพื้นที่เล็ก ๆ แทนซะได้ ครั้งนี้ฉันก็มีเรื่องมาเล่าย้อนหลังให้ฟัง มันเป็นเกี่ยวกับการเดินทางของฉันเองนี่แหละ
ในที่สุดฉันก็เดินทางมาถึง Deer Park จนได้ โดยบังเอิญมารู้จักจากคำบอกผ่านของเพื่อนร่วมทางที่แนะนำมา เมื่อวันก่อนหลังจากที่เดินวนดูรอบสถานที่แล้ว กลับไม่ได้พบเจอใคร อาจเพราะหมดฤดูกาลการทำกิจกรรมหรือหลักสูตรอบรมเป็นที่เรียบร้อย เหลือให้เห็นเพียงแต่เจ้าหน้าที่ประจำไม่กี่คน
ฉันมานั่งจ๋องอยู่แถวหน้าบันไดทางเข้าวิหารเล็ก ๆ ซึ่งด้านใน มีพระประธานตั้งอยู่ (ที่นี่ไม่ได้เป็นวัดหรอกนะ เดี๋ยวจะเข้าใจผิด)
และกำลังคิดใคร่ครวญว่า... หลังกลับไปยังบ้านพักแล้วและอยู่ต่ออีกคืนหนึ่ง
ก็คงลาลับไปจากบีร์พร้อม ๆ กับความทรงจำที่ว่างเปล่า ถ้าหาก ปวิน หนึ่งในเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานไม่เดินมาทักเข้า
การพูดคุยของพวกเราไม่ได้ดูห่างเหิน แต่ก็ไม่ใช่ตีซี้แบบที่เคยเจอมา เขาวางตัวค่อนข้างดี ปวิน ได้พาเดินดูสถานที่เพื่ออธิบายโครงการฯ เพิ่มเติม รวมไปถึงเล่าเรื่องการร่วมงานกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งด้านองค์ความรู้ และรวมไปถึงโครงการปลูกผักปลอดสารพิษที่จัดพื้นที่แบ่งไว้ส่วนหนึ่ง
บริเวณสวนผักปลอดสารพิษ ที่ได้แต่ยืนมองห่าง ๆ จะเข้าไปข้างในโดยพละการไม่ได้เพราะหมาที่เฝ้าดุมาก
บริเวณ Eco Zone ของกลุ่มงาน Zero Waste
ปวินเคยเดินทางมาอบรมจันทบุรีเมื่อปีก่อนและยังมีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง ในภาคส่วนของงานด้านสิ่งแวดล้อม ก็เคยเดินทางมาเรียนรู้แลกเปลี่ยน ในเมืองไทยเช่นกันและอยู่นานจนถึง 6 เดือนเชียว
ฉันรู้มาว่ามีกลุุ่มนักศึกษาและองค์กรจากประเทศไทย ได้เข้ามามีส่วนร่วมในบางกิจกรรมด้วย
ดังนั้นปวินจึงบอกกับฉันว่า พวกเขากับคนไทยเป็นกัลยาณมิตรกัน กัลยาณมิตร เพราะจัง...มันฟังดูดีกว่า my friend ตั้งเยอะ แบบที่หลายคนชอบทึกทักเรียกบ่อยครั้งแต่แรกพบจนเลี่ยนหู
พวกเขาต่างรู้จักกับ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กันดี และที่ห้องสมุดนี้ก็มีหนังสือที่เขียนโดย ส.ศิวรักษ์ อยู่หลายเล่ม
ห้องสมุดของ Deer Park Institute
ส่วนอีกบุคคล ที่ฉันพอจะจำได้ ปวินได้พูดถึงผู้ที่เป็น ภิกษุณี รูปแรกของไทย ซึ่งฉันจำชื่อท่านไม่ได้หรอก ดังนั้นตัวเองจึงแอบมีสิ่งที่เคลือบแคลงเล็ก ๆ กับคำใช้เรียก 'ภิกษุณี' ของเขา
ภิกษุณี ที่พูดถึง... ท่านห่มผ้าเหลือง หรือขาวกัน?
เช่นเดียวกับนักบวชหญิงที่เคยพบจาก Bön Monastery ฉันกลับใช้คำว่า 'พระผู้หญิง' แทนที่จะเรียกเป็นคำแทนอื่น เพราะกลัวว่าจะผิดเพี้ยนจากความหมาย แต่ปวินก็ตอบได้กระจ่างดีเสียเหลือเกิน นุ่งเหลืองสิ ... ถ้าสีขาวน่ะ Mae Shee
ฉันนี่ขำแทบตาย ที่เขาใช้คำทับศัพท์ภาษาไทยได้ชัดขนาดนั้น
ศูนย์อบรมฯ ของที่นี่เป็นแนวพุทธ โดยยึดตามสโกแกนที่ตั้งไว้ว่า
Spirit of Nalanda continues...
ถ้าไม่นับเรื่องของการเข้าหลักสูตรการเรียนการสอนเชิงศาสนา ก็จะยังมีส่วน ของงานอบรมอื่นที่จัดขึ้นทั้งปี อย่างการถ่ายรูป การทำภาพยนตร์สั้น ฯลฯ รวมไปถึงกิจกรรมสำหรับกลุ่มเด็กและเยาวชน ตลอดจนงานที่ทำร่วมกับชุมชน ด้านสิ่งแวดล้อมและกลุ่มเกษตรกรท้องถิ่น
เท่าที่เดิน(หลง)ผ่านพื้นที่ท้องไร่ท้องนาเมื่อวันก่อน การที่ได้เห็นพื้นที่การเกษตรตั้งแต่ Upper Bir ไล่เรื่อยลงมา ยังหมู่บ้าน Chowgan ซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวทิเบต ก็ได้มีการจัดสรรปันส่วนพื้นที่กันอย่างเป็นระบบระเบียบ มีการทำโรงเรือนปลูกพืช บางแห่งก็ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ ไว้สำหรับผลิตไฟฟ้า หรือไม่ก็ประเภทที่ไว้ใช้ทำน้ำอุ่นแทนการใช้ฟืน
มานึกดูแล้ว อาจจะเป็นเพราะบทบาทของกลุ่มองค์กรเหล่านี้ก็ได้ พวกเขามักจะมีอาสาสมัครจากที่ต่าง ๆ เข้ามาร่วมงานในการรณรงค์ และให้ความรู้แก่ชุมชนเสมอ
ฉันคิดว่านวัตกรรมที่มนุษย์คิดค้นสร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวก และผ่อนแรงที่ดูเข้าท่า โดยไม่รบกวนสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อมลภาวะ เท่าที่นึกออกก็คงมี 'จักรยาน' แล้วก็ 'โซล่าเซลล์' นี่แหละ โอ๊ะ ๆ... อย่าเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นพวก Luddite เชียว! คือทุกอย่างมันก็ต้องมีความพอดีกันบ้างล่ะน่า
บริเวณโดยรอบที่พอมองเห็นจากมุมดาดฟ้าของ Deer Park ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนชาวทิเบต และมีวัดตั้งอยู่หลายแห่ง
วัดทิเบตอีกแห่งที่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าจากฝั่งถนน
ทีนี้ฉันพอเดาออกแล้วล่ะว่า...กลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางมายังบีร์ทั้งหลาย หากตัดเรื่องการมาเยี่ยมชมสถานที่และวัดวาอาราม การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และ Paragliding ออกไป ก็คงจะมาเป็นอาสาสมัครหรือ มาฝึกอบรมฯ อยู่กัน แบบระยะยาว ส่วนสถานที่ซึ่งจัดรองรับ เท่าที่รู้มานอกจากที่ > Deer Park แล้ว
อีกอย่างหนึ่ง แม้ที่นี่จะดูมีวัดพุทธวัชรยานหลากนิกายตั้งอยู่หลายจุด แต่ถัดไปจากบริเวณนี้ไม่ไกล ก็มีร้านจำหน่ายไวน์ท้องถิ่นตั้งอยู่เยอะ โดยเฉพาะแถวสนามที่เป็นลานร่อนร่ม เนี่ย ...มันน่าไปนั่งชมวิวชะมัด!
และถึงสภาพแวดล้อมจะดูเป็นใจแบบนั้นก็เถอะ ฉันกลับไม่คิดกล้าไปนั่ง ก่งก๊งเท่าไหร่ ก็เพราะเกรงใจสถานที่พักแห่งใหม่มากกว่า ใช่แล้ว เพราะในตอนนี้ฉันย้ายลงมาเข้าพักที่ Deer Park แทนแล้วน่ะสิ
จาก Upper Bir มาถึง Tibetan Colony ฉันเดินเท้ามาประมาณสี่กิโลเมตรบนเส้นถนนที่ดูไกลกว่า แต่น่าตลก ที่กลับมาถึงจุดหมายไวกว่าทางลัดแบบเมื่อวานซะอีก
ถึงมันจะตั้งอยู่กลางเขตชุมชน แต่ก็ดูเงียบสงบดีทีเดียวและฉันเองก็ไม่ค่อย เหงาเท่าไหร่ แถมยังมีชาวต่างชาติที่อาจเป็นหน้าเก่าแวะมาพักเช่นเดียวกัน ทั้งนี้สถานที่พักใน Deer Park จะไม่เหมือนเกสท์เฮาส์แบบทั่วไปหรอกนะ เนื่องด้วยเขามีจัดไว้รองรับคนที่เข้ามาทำกิจกรรมหรือกลุ่มอาสาสมัครมากกว่า พอปวินบอกว่า ช่วงนี้ไม่ได้มีงานอบรมอะไรแล้วจึงมีห้องว่างเหลือให้เข้าพัก เยอะแยะ หากจะเลือกนอนแบบดอร์ม(ห้องหนึ่ง มี 3 เตียง) ฉันก็จะเหมาห้อง อยู่ได้คนเดียวเลย โดยมีข้อแม้ว่าห้ามไปยุ่มย่าม ใช้หมอน ผ้าห่ม ของเตียงอื่น ๆ หรือกระทั่ง พื้นที่ตู้เก็บของที่ไม่ได้เป็นของฉัน แม้มันจะอยู่ในสถานะว่างก็ตาม ...
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ช่วงมื้อกลางวันของวันแรกนั้น ฉันได้ลองไปเลือกหา จากร้านข้างนอกดู และพบว่ามันช่างยุ่งยากกับการเดินออกไปตระเวนหาอะไร กินเองมาก ๆ
ถึงร้านอาหารของที่นี่จะมีเยอะแถว Upper Bir ก็จริง แต่รายการเลือกสั่งกลับ มีไม่กี่อย่างเช่นเคย ซึ่งคนแถวนี้เรียกมันว่า fast food หรือไม่ก็เหมารวมว่าเป็น Chinese Food ที่วนเวียนอยู่แค่ โชวเมียน - โมโม่ - ทุกปะ นี่แหละ
หน้าฉันคงจะกางโตเท่าถาดใส่หมี่ผัดในไม่ช้า ก็ส่วนประกอบอาหารที่ว่ามันช่างไร้โภชนาการสิ้นดี
หลังมื้อกลางวันอันน่าเบื่อนั่นได้ผ่านไปก่อนช่วงเย็นฉันเลยไปสั่นกระดิ่ง ที่จัดวางไว้หน้าประตูห้องครัว (มันเป็นสัญญาณเรียกเจ้าหน้าที่ในนั้น) เพื่อ ขอลงชื่อเข้ารับมื้ออาหารจากครัว ก็ได้เจอกับตาบีเอ็ม (B.M.) ชาวเนปาลี ผู้ทำหน้าที่อยู่ประจำห้องครัวเดินออกมาเจรจาด้วย
เขาอธิบายรายการอาหารแต่ละมื้อ เพื่อเตรียมใจไว้ให้ฟังก่อนว่า ทางเราไม่รู้ว่าแต่ละวันจะกำหนดเมนูอะไรได้ มันขึ้นกับวัตถุดิบที่ได้มา ส่วนปริมาณที่ทำแต่ละมื้อ ก็ตามจำนวนคนที่ลงชื่อล่วงหน้า ดังนั้น... อย่าคาดหวังและตักใส่ถาดแต่พออิ่ม ส่วนเวลาก็มีจำกัดสำหรับการวาง ให้บริการ หากมาช้าอาหารก็อาจหมดไม่ก็ถูกยกกลับเข้าโรงครัว
ฉันได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ตกลงตามที่ว่าไปก่อนที่จะลงชื่อแจ้งบอก ไว้ว่าจะมากินมื้อไหนบ้าง ฉันเลือกแค่ มื้อกลางวันและมื้อเย็น เพราะตอนเช้าอยากจะออกไปโต๋เต๋ข้างนอกมากกว่า
ถัดจากนั้น ฉันจึงได้รู้ว่าเสียงระรัวเคาะโลหะดัง แก๊ง ๆๆๆๆ ปริศนา ที่ได้ยินในช่วงเที่ยงวันที่ผ่านมาเนี่ย มันคืออะไรกัน?
ระหว่างที่ฉันมานั่งใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตแถวหน้าโรงอาหาร เพื่อฆ่าเวลาก่อน กินมื้อเย็นของวันนั้น ดันเหลือบไปเห็นภาพของชายคนหนึ่งจากโรงครัวเดินออก มาเคาะถาดโลหะตอนหกโมง ตามเวลากินข้าวที่กำหนดในตารางเป๊ะ ๆ ผู้คนที่มาพักต่างก็เดินเร่ตรงเข้ามาหยิบถาดหลุม ช้อน ส้อม ถ้วยใบเล็ก และเวียนตักอาหารกันแบบรู้งาน ส่วนเวลากินหมดแล้วก็จะต้องทำหน้าที่ รับผิดชอบเก็บล้างเอง
โอ....ฉันจึงเพิ่งรู้ว่าเขาเคาะส่งสัญญาณเรียกกินข้าวกันแบบนี้นี่เอง ภายหลังจากที่ออกไปจากที่นี่แล้ว พอได้เวลาอาหารทีไร ฉันมักจะนึกถึงช่วงเวลาเขาเรียกกินข้าวอยู่เสมอ ๆ
ส่วนในวันที่ฉันย้ายมาเข้าพักนอกจากจะต้องมาติดต่อ และกรอกแบบฟอร์ม ลงชื่อเข้าพักกับปวินแล้ว ก็ยังได้เจอกับเจ้าหน้าที่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งชื่อว่าปรีตู เธอทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เพราะไม่ค่อยได้เจอผู้หญิงที่ออกมา ทำงานแบบนี้เลยและก็มีเธอเพียงคนเดียวในที่นี้ ที่อยู่ในส่วนสำนักงาน
ตอนเราเจอกันวันแรก เธอแต่งตัวด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์ ใส่รองเท้ากีฬา แบบวัยรุ่นทั่วไป ปรีตูเข้ามาทักทายอย่าง เฮ้ว ๆ ถึงชื่อเธอว่าถ้าออกเสียงยากนัก ก็ให้เรียกง่าย ๆ ว่า P2 ในความรู้สึกของฉันตอนนั้น โคตรดีใจแทบตายเลยรู้ไหม ที่นาน ๆ ทีจะได้พูดคุยกับผู้หญิงด้วยกันเนี่ย !!!
เขตปลอดขยะ
ปวิน ได้กล่าวอย่างภูมิใจว่าหิมาจัลประเทศเป็นรัฐแรกในอินเดีย ที่ประกาศนโยบายต่อต้านการใช้ถุงพลาสติกมาตั้งแต่ปี 2003
ฉันไม่เคยคิดเลยนะ ว่าตัวเองจะทำตัวให้เป็นปัญหากับสภาพแวดล้อม และคิดว่าบรรดาขยะทั้งหลายเมื่อลงไปอยู่ในถังแล้วทุกอย่างก็จบสิ้นลง
ตอนที่เดินทางไปอยู่ในหมู่บ้าน จิตกุล ฉันก็มัวแต่บ่นอุบถึงเรื่องถังขยะ ที่หลังจากเดินหามารอบหมู่บ้านแล้วก็กลับไม่พบ แถมผู้คนมักทิ้งกันเกลื่อน โดยเฉพาะพวกที่เป็นถุงขนม ขวดน้ำ ที่ซื้อมาจากร้านขายของชำเล็ก ๆ ที่มีตั้งอยู่เพียงสองสามแห่ง
แต่คราวนี้ ดูเหมือนว่าการมีถังขยะ อาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุดเพียงอย่างเดียวแล้วสินะ
ตาม กติกา ข้อตกลง ของที่นี่ สำหรับการทิ้งขยะจากส่วนที่เราเอาเข้ามา บริโภคในที่นี้ จำเป็นต้องมาแยกประเภทเสียก่อน โดยพวกเขาจะมีถังจัดเตรียม ไว้ให้แยกทิ้ง เพื่อนำกลับมาใช้ในกิจกรรมอื่นทั้ง Recycle และ Reuse ครั้งต่อไป ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ไม่ง่าย
ฉันต้องนำถุงขนม และ สิ่งต่าง ๆ ที่ กินและใช้แล้ว มากางแผ่เพื่อทำความสะอาด ก่อนที่จะนำไปตากผึ่งลมและเมื่อมันแห้งแล้ว ถึงจะนำเอามาหย่อนลงถังได้
โดยแต่ละถังก็มีการกำหนดประเภทต่างกันออกไป ในช่วงแรกฉันก็ยังสนุกอยู่นะ ที่ต้องมารับผิดชอบกับสิ่งที่ซื้อมากินหลังจากนั้น พักหลัง ดูเหมือนว่าปริมาณที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากถังใบแล้วใบเล่ามันจะมาจาก ฝีมือของตัวเองทั้งนั้น ครั้นจะคิดลักไก่แอบเอาออกไปทิ้งที่ด้านนอกเสีย ก็ดู เหมือนจะหลอกตัวเองและโยนภาระให้ชุมชนอีก
เฮ้ย...
นี่ฉันเริ่มวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้มากไปแล้วใช่ไหมเนี่ย? แต่มันก็ทำให้ได้ข้อสรุปมาเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าต่อให้มีพื้นที่ทิ้งเพื่อความ เป็นระเบียบมากแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เรากำลังจะ 'ผลิต' ออกมา ยังมีขยะอยู่อีกประเภทหนึ่ง ที่ฉันทิ้งได้แบบไม่รู้สึกผิดเท่าไหร่ นั่นคือถังสำหรับทิ้งเปลือกผลไม้และถังใส่เศษอาหาร เศษขนม ที่เหลือส่วนหนึ่งจะถูกนำไปย่อยสลายโดย วัว
คล้าย ๆ กับสมัยเด็กที่เคยเห็นคนเลี้ยงหมูมาตระเวนขอเศษอาหาร ตามบ้านเลย หรือเศษอาหารที่เหลือบางส่วนพวกเขาก็จะนำไปทำปุ๋ยหมัก นึกภาพออกไหมล่ะ ฉันกำลังพูดถึงขยะที่มันนำไปกำจัดทางธรรมชาติได้น่ะ
ในบริบทผู้ทำหน้าที่ย่อยสลายนี้ ฉันไม่คิดเหมารวมกับพวกวัวที่น่าสงสาร ในย่านเมืองใหญ่เด็ดขาด ถ้าใครที่มาอินเดียก็คงจะคุ้นภาพของวัวที่เดินไป เดินมาอย่างสบายใจเฉิบตามที่ต่าง ๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้เราอาจเห็นได้ว่า วัวตามเมืองใหญ่พวกมันกินไม่ค่อยเลือกเท่าไหร่ หรือไม่ก็ไม่มีอะไรให้เลือกกิน และซ้ำร้ายไปกว่านั้นฉันเคยเห็นพวกมัน กินขยะเป็นอาหาร !
ขยะจำพวกพลาสติก, โฟม ยังต้องอาศัยกระบวนการย่อยสลายหลายร้อยปี แล้วแบบนี้ท้องไส้พวกวัวเหล่านั้นมันไม่พินาศเอารึไง?
นี่ฉันแค่ยกตัวอย่างถึงเรื่องผลกระทบของสภาพแวดล้อมในกระเพาะวัวเองนะ ยังไม่ได้ขยายความถึงการกำจัดขยะอื่น ๆ บนโลก ในส่วนมหภาคที่มีทั้ง บรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ กระทั่งขยะพิษ โดยการนำไปทำลายและย่อยสลายด้วยการ ทิ้งลงทะเล, เผา, ฝังกลบ หรือกระทั่งเอาไปทิ้งยังประเทศโลกที่สาม จากการได้มาอยู่ที่นี่นานวันเข้า แม้ไม่ได้อบรมอะไรแต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่จัดขึ้น ฉันเองก็จำเป็นที่จะต้อง Rethink ขึ้นเยอะเลยล่ะ
ต้องมาคิดแล้วคิดอีก ว่าจะเลือกซื้อเลือกใช้อะไรมาบริโภค
แล้วสิ่งที่เหลือทิ้งจะกลายไปเป็นอะไรต่อจากนั้น
ภาพที่ถ่ายมาจากเมืองรีวัลซาร์
ในตอนเช้าตรู่ ฉันพบว่าอากาศที่นี่ค่อนข้างหนาว ถึงมันจะอยู่สูงจากระดับ- น้ำทะเลแค่ 1,350 เมตร แต่ก็ยังแอบมีเกล็ดน้ำแข็งติดเกาะตามใบหญ้าด้วย ดังนั้นเวลาที่ฉันเดินออกไปข้างนอก ก็ต้องเอาผ้าคลุมมาห่มพันตัวทับกันหนาว เพิ่มอีกชั้น แต่แล้วก็ไปเจอกับฝูงหมาที่อยู่แถวนั้นเข้า พวกมันจ้องเขม็งอยู่นาน เชียว ฉันทำเป็นไม่ใส่ใจกระทั่งเดินผ่านแต่ก็โดนแว้งกัดจากด้านหลังเข้า ดีที่มันไปงับดึงที่ชายผ้าไม่ได้กัดฉันโดยตรง ทำฉันให้เริ่มนึกถึงเรื่องหมาจรจัด ที่คุ้มคลั่งตอนที่เจอกับอากาศหนาวจัดขึ้นมาทันที และยิ่งถ้ามันอยู่รวมเป็นฝูงล่ะ ก็ให้เลี่ยงหลบไปไกลเลย
เพราะที่เลห์ ก็ข่าวถึงมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น พวกมันพากันรุมกัดกินเด็กเล็กตาย ส่วนอีกรายเป็นผู้หญิงจนบาดเจ็บแต่รอดชีวิต
จากเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่เกิดกับฉันวันนั้น ก็พาลให้ระแวงหมาจรไปพักใหญ่ทีเดียว
แต่ในที่นี้ก็คงต้องยกเว้นกับเจ้าปั๊บปี้ และ กาลู (กาลู ที่ผันมาจากคำว่า กาลา ในภาษาฮินดี แปลว่า ดำ) สองหมาใน Deer Park ที่ดูเป็นมิตรที่สุดในย่านนี้
โดยเฉพาะปั๊บปี้ ชอบมาโผล่หน้าห้องเป็นประจำ
ฉันพยายามจำภาษาฮินดีจากตำราที่เปิดอ่านในห้องสมุด และลองหัด ประติดประต่อคำเล่น ๆ ดู พอเห็นปรีตูจูงสองหมาภูเขาที่ตัวโตและดุ ออกมาเดินตอนเช้ากับเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง เลยลองหันไปลองวิชาสักนิด
"บารา กุตต้า"
แปลว่า หมาตัวใหญ่
ปรีตู รีบหันมาควับแซวกลับทันทีว่าทำไมฉันรู้ภาษาฮินดีด้วย ฉันบอกว่าเพิ่งไปหัดอ่านมาจากห้องสมุดเมื่อวาน แต่เธอกลับทำหน้าตามีเลศนัยแอบยิ้มกรุ้มกริ่มเล็ก ๆ
โวะ พวกผู้หญิงนี่ชอบคิดอะไรมุ้งมิ้งกันซะจริง !!!
การเดินของฉันใกล้จบลงแล้ว แต่ยังมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟัง ฉันได้พบกับ "โดโรเธีย" สาวใหญ่ชาวเยอรมัน ที่มาเข้าพักในช่วงเดียวกับฉัน โดโรเธียแต่งงานกับชาวอินเดีย และได้พำนักอาศัยอยู่ในประเทศนี้ แต่ทุกปี เธอจะจัดแบ่งเวลากลับไปเยี่ยมบ้านเกิด หรือบางครั้งก็มาเข้าพักที่นี่เพื่อปลีกตัว เราเริ่มพูดคุยกันเพราะมานั่งผิงไฟกันที่โรงอาหารหลังมื้อค่ำ ด้วยความที่ปรีตูเคยพบเจอกับโดโรเธียมาก่อน ก็เลยได้ฟังพวกเขา คุยเรื่องหนหลังไปด้วย และพอเราได้ร่วมทำความรู้จักกันแล้วเราพากัน คุยเรื่อยเปื่อยถึงการเดินทางแต่ละคน และฉันก็ได้ยินเรื่องราวของลาดักห์อีกครั้ง หลังจากที่ชื่อนี้มันได้เลือนหายไปจากความคิดของตัวเองมานาน สถานที่ที่ใคร ๆ ก็ไปกัน...จนคิดว่าไม่มีอะไรเหลือให้น่าค้นหาแล้ว เมื่อได้ฟังผ่านการบอกเล่าของคนที่เคยไปเมื่อยี่สิบปีก่อน และเธอยังคงรักที่นั่น คำพูดของโดโรเธียทำให้ฉันเริ่มนึกถึงการเดินทาง ในหนถัดไปอีกครั้งที่ยังไงจะต้องมีลาดักห์เป็นเป้าหมายอย่างแน่นอน
ในคืนวันสุดท้าย ปรีตู โดโรเธีย และ ฉัน พากันออกไปดื่มชากันที่ด้านนอก มันก็มีหลายเรื่องให้เรานึกขำกัน อย่างการที่พวกเราต่างโตมากันคนละแห่ง มาจากโลกที่ต่างวัฒนธรรม มีภาษาแม่ที่พูดคนละภาษา ถ้าใครคนใดคนหนึ่ง เกิดไม่เข้าใจในเรื่องที่อีกฝ่ายกำลังพยายามอธิบายเรื่องของตนให้เข้าใจ เราคงจะหาทางจูนกันยากพิลึก
และเมื่อ โดโรเธียถามฉันว่าได้ไปที่ไหนมาบ้าง? ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวจากการเดินทางมากนัก เมื่อบอกเธอถึงสถานที่ต่าง ๆ ที่ผ่านมาก่อนที่จะบ่นถึงช่วงเวลาที่ใช้ไป ฉันติดกับการพูดคุย ติดกับการอยากรู้อยากเห็นมากกว่าการท่องเที่ยว และหลายคนก็มักจะคาดหวังให้ไปจนทั่วพิชิตทั้งเหนือจรดใต้ มากกว่า ที่จะออกมาเป็นรูปแบบนี้
แต่ถึงอย่างนั้น ท่าทีของโดโรเธียกลับดูต่าง และผิดไปจากที่คาดไว้มาก เมื่อเธอพูดกับฉัน
"เธอไปไม่เยอะ แต่ก็ได้เห็นอะไรเยอะนะ"
"ไร่ชา" ที่ตั้งขนาบทางถนนก่อนถึงลานร่อนร่ม หากเป็นช่วงฤดูร้อนคงมีนักท่องเที่ยว เช่าจักรยานมาปั่นชมวิวกัน แต่พอตอนนี้เข้าหน้าหนาวแล้วมันเลยอาจดูเงียบเหงาไปบ้าง
เอาละ นี่คงเป็นวรรคท้ายสุดแล้วที่ฉันจะได้เขียนบันทึกบ่นถึง เพราะจำเป็น จะต้องตีห่างไปจากรัฐหิมาจัลประเทศ ที่ซึ่งฉันสามารถมองเห็นแนวเขาหิมาลัย ได้อย่างไม่ยากเย็น อาจดูตลกนะ แม้ตอนนี้ฉันยังนึกฝันถึงแนวเทือกเขานั่นมาตลอด
ในเย็นวันสุดท้าย ฉันรีบเดินจ้ำอ้าวเพื่อมาเก็บภาพสุดท้ายก่อนตะวันตกดิน ตรงหน้าลานร่อนร่ม มุมโปรดที่สุดในบีร์ เพื่อบันทึกความทรงจำเอาไว้ ก่อนที่ จะต้องย้อนกลับไปกินข้าวเย็นให้ทันเวลาตามเสียงเคาะเรียกก๊องแก๊ง ๆๆ
และเมื่อถึงวันที่ฉันได้ออกไปจากที่นี่ การจากลาครั้งนี้ดูไม่น่าเศร้ามากมายนัก ยังมีผู้คนที่ยังติดต่อกันอยู่ มีภาพแห่งการรำลึกถึงและยังหวังถึงการหวนคืน
แสงส้ม ๆ ที่สาดกระทบภูเขาของดวงอาทิตย์ ตอนลาลับขอบฟ้ายามนั้น ยังคงงดงามเสมอ
Create Date : 08 ธันวาคม 2559 |
Last Update : 2 มีนาคม 2561 9:21:11 น. |
|
32 comments
|
Counter : 1758 Pageviews. |
|
|
ตามไปเที่ยวด้วยคนค่ะ
มีคำถาม สงสัยเรื่องขยะรีไซเคิลค่ะ เป็นกฏว่าต้องล้างต้องผึ่งให้แห้งก่อนนำไปทิ้งรวมหรือคะ
+