" Nehru personally chose Dharamshala for us,
base on what he called it's peace and tranquility."
บทความจากหนังสือ The Dalai Lama 'My Tibet' , หน้าที่ 9
โดย Glen Rowell
....
บ่อยครั้งเราก็เชื่อมั่นในประสบการณ์มากเกินไป !
ณ ท่ารถเมืองมะนาลี ในช่วงค่ำของวันฮาโลวีน ฉันเคยจองตั๋วโดยสารล่วง-
หน้ามาตลอดและพบว่าเที่ยวรถไม่เคยเต็ม โดยเฉพาะการเดินทางรอบกลางคืน
แต่มาหนนี้กลับไม่ใช่ตามที่นึกคิดไว้ มะนาลี - (ผ่าน ชัมบา) - ดารัมซาลา
ที่มีเที่ยวโดยสารรอบเดียวตอนหนึ่งทุ่ม ซึ่งมันจะไปถึงยังที่หมายตอนหกโมงเช้า
กลับถูกจองจนเต็มคันแล้ว
"เอาไงดีเนี่ย ?"
จากที่สอบถามไว้ เที่ยวรถที่วิ่งตรงไปยังเส้นทางดังกล่าว
มีเพียงแค่สองเที่ยวคือรอบหนึ่งทุ่มครึ่งและเจ็ดโมงเช้า
ในตอนนั้นยังมีรถประจำทางที่วิ่งมาจาก Keylong แวะมาจอดรับส่งผู้โดยสาร
ที่มะนาลี และกำลังจะเดินทางผ่านไปยัง ดารัมซาลา ด้วย แต่ไม่ได้วิ่งตรงแบบ
เส้นทางเฉพาะเหมือนคันที่ตั้งใจจะไป
มันเป็นเหมือนกับรถหวานเย็นที่แวะจอดรับไปเรื่อย
ฉันเหลือเวลาให้ตัดสินใจไม่มากนัก เพราะรถที่ว่า
กำลังจะออกเดินทางต่อแล้วอีกสองนาที
เดินทางไวจากกำหนดนิดหน่อยคงไม่เป็นไร
กระเป๋ารถเมล์บอกว่าจะไปถึงที่หมายประมาณตีสี่ครึ่ง
เอาน่า อีกไม่นานก็เช้า !
เมื่อถึงเวลานั้น ฉันคงนั่งอยู่ในท่ารถเมืองดารัมซาลา
จนกว่าจะสว่างนั่นแหละแล้วค่อยจับรถขึ้นต่อไปยังเมืองด้านบน
หลังจากกระโดดขึ้นรถ ไปอย่างฉุกละหุกตอนนั้น
ก็ได้แต่คิดว่า ชีวิตคือการเดินทาง ชีวิตคือการผจญภัย
เรื่องการเดินทางตอนกลางคืนด้วยรถโดยสารประจำทางในอินเดีย
มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลยสำหรับตัวเอง แต่นี่คงเป็นครั้งแรก
ที่นึกอยากให้เจ้ารถหวานเย็นวิ่งไปถึงที่หมายช้า ๆ เสียเหลือเกิน
จำนวนผู้โดยสารที่รับมาจากมะนาลี มีอยู่ประมาณ 20 คนได้
แต่หลังจากนั้นก็มีคนใหม่ขึ้นมาเพิ่มไม่ก็ลงป้ายไปตลอดทาง
มีลุงขี้เมาตาเยิ้มนั่งพิงหน้าต่างและยกขาพาดกินพื้นที่เบาะสามที่นั่ง
อยู่เยื้องถัดจากฉันไปไม่มากกำลังเปิดเพลงจากโทรศัพท์ฟังอย่างสบายใจ
ฉันคิดว่าจะดีกว่าไหม ถ้าลุงซื้อหูฟังมาใส่ฟัง?
หนวกหูจริง(ว้อย) ...
กลางดึกราวห้าทุ่ม
มีผู้โดยสารเหลืออยู่บนรถห้าคน
ซึ่งก็ไม่รวมกระเป๋ารถเมล์และคนขับรถนะ
ถึงกระจกหน้าต่างบนรถจะปิดหมดทุกบาน ก็ใช่ว่ามันจะป้องกันลมได้
มีจุดชำรุด หรือไม่ก็มีการเคลื่อนเปิดแง้มเวลาเบรกเพราะไม่มีตัวล็อคที่ดี
จึงทำให้ลมเย็นจากด้านนอกพัดเข้ามาได้เป็นระยะ
ความหนาวในตอนนั้น ชาวบ้านหลายคนต่างงัดเอาผ้าคลุม (Shawl) ที่มีลายปัก
แบบกุลลูมาคลุมห่อร่าง คล้ายผ้าห่มเพื่อกันความหนาวทับเสื้อแจ็คเก็ตอีกที
ฉันมีแค่ผ้าพันคอผืนบาง ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรได้ดีเท่าไหร่และมักสะดุ้งตื่น
เพราะความหนาวจากลมที่พัดลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่มันแอบเคลื่อนแง้ม
ไปเกือบตลอดทางบ่อยครั้ง
จนกระทั่งทุกอย่างลงตัว หลังจากเอาผ้าพันคอมาห่มกันลมได้สำเร็จ และไม่มี
การเผยอเลื่อนของหน้าต่างมาพักหนึ่ง เลยทำให้ฉันงีบหลับไปได้อย่างสนิท
......
"ถึงดารัมซาลาแล้ว"
กระเป๋ารถฯ เดินมาสะกิดปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
ตีสี่ครึ่งแล้วเหรอเนี่ย? ไวจริง
ฉันงัวเงียลุกขึ้นมาเอื้อมหยิบเป้ใหญ่ที่วางไว้บนช่องเก็บสัมภาระบนรถ
พลางหยิบนาฬิกามาดูเพื่อความแน่ใจ บ้าไปแล้วว ตีสองครึ่ง!
รถคันนั้นไม่ได้เข้าจอดตรงท่ารถเสียด้วย มันเป็นปากทางที่ด้านข้างมีเพียง
แค่ทางเล็ก ๆ มืด ๆ ส่วนรอบข้างที่เห็นในเวลานั้นยังกับป่าละเมาะรกร้าง
ไม่รู้ทำไมถึงให้มาลงที่นี่ มันเป็นจุดจอดรถแท็กซี่
มีแสงสว่างจากหลอดไฟดวงเดียวตรงซุ้ม นอกเหนือไปจากนี้ก็มืดสนิท
ถึงฉันจะเคยมาเมืองนี้แต่มันก็จำอะไรไม่ได้หรอก ส่วนย่าน 'แมคลอดกันจ์'
ที่จะไป ก็ต้องต่อรถประจำทางขึ้นไปอีกราว 9 กิโลเมตร บนทางถนนปกติ
แต่หากเป็นรถรับจ้างเขาจะพาไปยังทางลัดที่ใกล้กว่าและดูเปลี่ยวมาก
ฉันยอมรับเลยว่าไม่กล้าไปคนเดียวในตอนนี้
มีรถแท็กซี่ จอดอยู่ 6-7 คัน ซึ่งคนขับจะนอนหลับคลุมโปงกันอยู่ข้างใน
กลุ่มคนที่ลงรถมาด้วยกันกับฉันเป็นผู้ชายทั้งหมด บางคนก็เคาะเรียกแท็กซี่
เพื่อจ้างวานให้ไปส่งยังที่หมายถัดไป
ฉันวิ่งไปถามเพื่อหวังที่จะขอติดรถและหารค่าโดยสารด้วย
แต่ก็น่าผิดหวังเพราะยังหาคนที่จะเดินทางขึ้นไปยังแมคลอดกันจ์ไม่ได้
ทำให้ต้องหอบเป้กลับมายืนตรงซุ้มในจุดที่มีแสงไฟอย่างกังวลเล็กน้อย
ชื่อว่าเมือง'ธรรมศาลา' คงไม่น่าจะมีอะไรหรอก
อืม แต่ด้านข้างก็เป็นป่ามืด ๆ นี่หว่า
ฉันคิดปลอบใจตัวเอง ว่าจะออกไปตรงนี้ได้ยังไงกัน
แล้วเมื่อไหร่มันจะสว่างเสียที นานเกินไปแล้วนะ หนาวก็หนาว
พระเจ้าขา ขอให้ส่งใครก็ได้
ที่น่าไว้ใจมาสักคนเถอะ !!!!!
10 นาที ผ่านไป มีรถโดยสารคันใหม่มาเทียบจอดที่นี่ ฉันไม่ทันได้มองป้าย
ข้างรถหรอกว่ามันวิ่งมาจากที่ไหน มีกลุ่มคนเดินลงมาตามเดิม บ้างก็เดินหายไป
ยังทางมืด ๆ บ้างก็มาเคาะเรียกแท็กซี่ ซึ่งก็ตามเคยพวกเขาจะต่อรถไปที่อื่น
แต่ยังมีความหวังอยู่ลึก ๆ เมื่อเห็นพระทิเบตรูปหนึ่งเดินลงมาจากรถ
หลวงพี่สะพายเป้ใบเล็กใส่รองเท้าผ้าใบและในมือถือโทรศัพท์
สมองรีบประมวลผลทันทีเลยว่า พระทิเบตต้องขึ้นไปที่แมคลอดกันจ์!
"ไป แมคลอดกันจ์ หรือปล่าวคะ?"
ฉันเดินเข้าไปถามโดยทิ้งเป้ใบโตไว้ที่ข้างซุ้มก่อน
"โน ๆ อิงลิช"
พระ หันมาบอกว่าไม่เข้าใจที่ฉันพูดมาหรอก ภาษาอังกฤษเนี่ย
ฉันจึงพยายามอีกครั้ง ย้ำถึง แมค - ลอด - กันจ์
ให้ชัดอีกหน คราวนี้หลวงพี่ก็พยักหน้าตอบ
รอดแล้ว !!!!
ก่อนที่จะแน่ใจและกลับไปแบกกระเป๋าที่วางไว้ ก็เห็นหลวงพี่ยืนกดโทรศัพท์
คุยผ่านโปรแกรมสนทนา และเดินมาเคาะที่รถคันหนึ่งพร้อมกดมือถือโทรออก
ระหว่างรอคนขับตื่นขึ้นมา ...พวกเขากำลังคุยอะไรกัน ฉันฟังไม่ออกหรอก
จังหวะที่ตาแท็กซี่ เปิดผ้าห่มที่คลุมตัวพร้อมกับเลื่อนบานหน้าต่างรถลง
เพื่อเจรจา พระทิเบตก็ส่งมือถือให้พูดกับปลายทาง แท็กซี่ดูเหมือนไม่เต็มใจ
แถมยังแสดงท่าทางรำคาญเล็กน้อย ที่ต้องคุยผ่านโทรศัพท์
ฉันพอเข้าใจแล้วว่า พระทิเบตรูปนี้พูดภาษาฮินดีไม่ได้
ผ่านไปนานหลายนาทีอยู่กว่าจะยอมออกรถ
หลวงพี่ตรงเข้าไปนั่งด้านในและรถแท็กซี่ก็เริ่มติดเครื่อง
ในขณะที่ฉันกำลังยืนลุ้นอย่างจดจ่อ ว่าจะพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ยังไง
หลวงพี่เหลือบหันมามองฉันอีกครั้ง ก่อนจะปิดประตูรถ
ฉันชี้มาที่ตัวเองและชี้ไปยังรถบอกใบ้ว่าขอตามติดไปด้วยได้ไหม?
ถึงจะดูไม่เข้าใจประโยคคำถามนี้ แต่พระก็พยักหน้าและเขยิบที่ให้นั่ง
แท็กซี่พาพวกเราตรงขึ้นไปยังทางลัด
ซึ่งก็เป็นตามที่คาดมันเปลี่ยวและมืดสุด ๆ
คนขับฯ พยายามพูดอะไรบางอย่างกับพระทิเบต คงเป็นเรื่องที่หมาย
แต่หลวงพี่ไม่รู้ภาษาและสื่อสารไม่ได้ ทำได้แต่ส่งมือถือที่ยังเปิดคุยอยู่
ยื่นให้พูดถามกับคนในสาย เจ้าคนขับรถงี่เง่าก็เอาแต่พร่ำบ่น ๆๆๆ ไม่หยุด
ที่จริงแล้วฉันไม่รู้หรอกว่าปลายทางที่จะไปถึงมันคือที่ไหนกัน?
ไม่กี่อึดใจนักเราก็มาถึง แมคลอดกันจ์ ที่ฉันเคยรู้จัก
แต่ในตอนนั้นกลับมืดมิดไปหมดทุกตรอกซอกซอยจนดูน่ากลัว
แท็กซี่ได้หยุดจอดในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งบริเวณนั้นก็มีแต่บ้านช่องที่ปิดเงียบไปหมด
ก่อนลงจากรถฉันคิดจะเดินไปหาที่นั่งแถวทางแยกหน้า Main square จนสว่าง
แล้วค่อยหาที่พักอีกที ตอนนั้นมีผู้ชายชาวทิเบตมายืนรอที่ปลายทางล่วงหน้า
ท่ามกลางเงามืด ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่เดาว่าน่าจะเป็นคน ๆ เดียวกับเสียง
ในโทรศัพท์ที่คอยบอกทางกับคนขับแท็กซี่และพูดคุยกับพระ
จากนั้นเราก็จ่ายค่าโดยสารคนละร้อยรูปี
ฉันโผล่หน้าไปทักทายชายทิเบตที่มายืนรอรับพระ
พร้อมกับมองไปยังพื้นที่รอบข้างก็พบว่าไม่มีจุดนั่งพักในที่สว่างเลย
"เธอมีที่พักหรือปล่าว?" เขาถามฉัน
ดูท่าว่าจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากคุยกับพระ
"ยังไม่มีเลย ฉันมาถึงที่นี่ผิดเวลา"
ไม่รู้ว่าจะไปไหนได้ในเวลานี้ตอนตีสามเนี่ย!
"ไปพักที่บ้านผมก่อน พอสว่างแล้วก็ค่อยออกมา" เขาเอ่ยปากชวน
ไปก็ไป ไม่มีทางเลือกแล้ว
พวกเขาเดินนำทางฉันไปยังตรอกทางเข้าที่พัก ต่างคนต่างเอาโทรศัพท์มาเปิด
ไฟส่องทางเดินให้ มันเป็นทางเนินลงที่ห่างจากถนนเส้นหลักพอสมควร
ประตูจากห้องเล็ก ๆ ฝั่งริมถูกเปิดออก ฉันถอดรองเท้าวางไว้ข้างนอก
เหมือนกับพวกเขาก่อนที่จะเดินเข้าไป ด้านในห้องนั้นมีการวางเตียงนอนแยก
อยู่ที่สามมุมขนานชิดไปกับผนังสามฝั่ง และที่เตียงกลางมีคนนอนหลับอยู่
ในขณะที่ฉันนั่งกองอยู่ที่พื้นห้องเพื่อรอพระกับชายทิเบตคนนั้น
แต่แล้วคนที่กำลังนอนได้โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม และลุกขึ้นมาคุยด้วย
หลังจากที่รู้ว่ามีคนแปลกหน้าหลงมาเยือนยามวิกาล เขาพูดภาษาแปลก ๆ
ที่อาจพอเดาได้ว่า ไปไงมาไง?
"รถ จากมะนาลี มาถึง ดารัมซาลา ตอนตี สอง"
ฉันพูดทีละคำพร้อมไปกับชี้นาฬิกา และชูนิ้วเป็นบอกเวลาให้พอเข้าใจ
เขาพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม ๆ ก่อนจะเอนตัวลงนอนคลุมโปงต่อ
เราคงสื่อสารกันได้ไม่เยอะเท่าไหร่แถมยังรู้สึกง่วงนอนมากด้วย
สักพัก พระและชายทิเบตก็เดินออกมาจากห้องด้านใน
เขาบอกให้ฉันนอนเตียงที่ตั้งตรงทางเข้าประตูนี่แหละ
"ขอบคุณมาก" คงไม่มีคำไหนดีไปกว่านี้
เขาพยักหน้าพร้อมบอก ไม่เป็นไร
ฉันวางกระเป๋าใบเล็กลงที่เตียงก่อนจะห่มผ้าคลุมตัวหลับ
ในบรรยากาศไม่คุ้นเคย เสียงพูดคุยระหว่างสามคนนั้น
เป็นภาษาเดียวกับที่ฉันเคยฟังในหนังเรื่องหนึ่งไม่ผิดเพี้ยน
เพียงแค่ไม่มีคำบรรยายภาษาไทยให้รู้ความหมาย
ก่อนที่จะหลับลงโดยสนิทใจว่าปลอดภัยแล้วจริง ๆ
หน้าประตูของ บ้านพักที่ได้มาขออาศัยหลับก่อนสว่าง
ยามเช้า เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือดังขึ้นตอนหกโมง ความจริงแล้ว
หากไม่ได้พลาดเรื่องรถหรือฉันจองตั๋วเที่ยวรถนั้นเอาไว้ล่วงหน้า มันก็ควร
เป็นเวลาที่ฉันน่าจะมาถึงเมืองนี้มากกว่าจะมาตื่นนอนที่บ้านคนทิเบตแบบนี้
พวกเขายังไม่ตื่นกันสักคน แต่ก็ไม่กล้าเรียกปลุก
ที่เตียงนอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งผ้าห่มและผ้าคลุม เพิ่งถูกซักและปูใหม่
เพื่อรอต้อนรับใครสักคน คงเป็นพระที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อคืนแน่ ๆ
เมื่อฉันหันไปมองเตียงที่ตั้งติดผนังฝั่งตรงข้าม
ก็พบว่าชายคนนั้นต้องไปนอนเบียดกับหลวงพี่แทน
ทางเดินไปที่พักชาวทิเบต เมื่อช่วงดึกที่ผ่านมา
พบว่าเป็นแยกทางเดินไปยัง น้ำตกบัคซู
ฉันออกมาจากที่นั่นโดยไม่มีใครรู้ แต่ระหว่างนั้นก็พยายามนึกจำหน้าตาของ
พวกเขาแต่ก็นึกไม่ออก เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะไวเกินกว่าที่จะจำทัน และ
อีกอย่างในตอนนั้นมันก็มืดมากเสียด้วย
ได้แต่แอบหวังว่าบนพื้นที่เล็ก ๆ บนแมคลอดกันจ์แห่งนี้
คงคับแคบพอที่จะทำให้พวกเราได้กลับมาพบเจอกันอีก
ฉันเดินมาถึงหน้าถนนโจกิวารา พร้อมกับก้าวเดินลงทางบันได ตรงไปยังย่าน
ที่พักเก่าด้านล่างและได้เจอเด็กคนหนึ่งเดินมาซื้อนมที่ร้านชำ คงซื้อเอาไปต้มชาดื่ม
"กำลังหาที่พักอยู่รึปล่าว"
เจ้าหนู นี่มันตาไวดีแท้ ...เขาโผล่หน้ามาถามฉันอย่างไว
"ใช่" ด้วยสภาพตอนนี้ที่เหมือนคนอดนอน กับเป้ที่สะพายอยู่บนหลัง
มันก็ไม่น่าจะเดายากเท่าไหร่ "มีราคาดี ๆ หน่อยไหม"
"พี่จะให้เท่าไหร่" เขาถาม...
จำได้ว่าที่พักจะตกอยู่ประมาณ 300 รูปี
"250 ได้มะ" ฉันพูดไปงั้นแหละ แต่ถ้าได้ก็ดี
"โอเค มา..." ไอ้น้อง มันให้จริงแฮะ
ฉันตามไปเรื่อยจนถึงที่พักก็พบกับเจ้าของเกสท์เฮาส์ กำลังง่วนอยู่กับการ
จัดระเบียบข้าวของในห้องรับแขก ที่แบ่งพื้นที่เป็นห้องอาหารอีกด้วย
น้องที่พามาบอกให้ฉันนั่งรอไปก่อนเพื่อคุยกับเจ้าของที่พัก เขาตกลงที่จะให้
ราคานี้ก่อนที่จะถามชื่อเสียงเรียงนามกัน
ฉันงัดเอาห่อใส่โชวเมียนที่เหลือจากมะนาลีเมื่อคืนนี้มาคลี่เปิดบนโต๊ะ
พลางขอยืมส้อมจาก ซานัม ลุงเจ้าของที่พักร่างท้วมมาตักกิน
"เข้าไปหยิบในครัวเลยฟ้า"
ซานัม พยายามสร้างความคุ้นเคยด้วยการเรียกชื่อ
และทำทีเหมือนกับจะสะดุดกับอะไรบางอย่างเข้า
"อะไรนั่น ...จะกินเข้าไปได้ไง มันเย็นชืดหมดแล้ว!"
ไม่ทันไร แกก็ยกห่อหมี่ผัดเนื้อแกะของฉันเข้าไปในครัว
เปิดเตาแก๊สตั้งกระทะเพื่ออุ่นให้อย่างว่องไว
เฮ้อ...พอบางจังหวะได้เจอคนดี ๆ อะไรก็ดีจนน่าใจหายไปหมด
หลังจากซานัมผัดหมี่ให้เสร็จ ฉันก็ยกมานั่งกินที่โต๊ะอาหารและได้เจอกับ ทิม
นักท่องเที่ยวชาวเบลเยี่ยม ชายผมบลอนด์ผู้ไถผมเป็นทรงอันเดอร์คัทและถัก-
เดดรอคมัดรวบกลางศีรษะ ระเบิดหู และเจาะจมูก พร้อมกับมีรอยสักนอกร่มผ้า
อันแสนอลังการ
ถ้าฉันไม่เคยออกเดินทางไปเจอกับผู้คนที่ดูต่างจากสังคมเดิม
ก็คงจะตัดสินไปแล้วว่า เขาต้องเป็นคนน่ากลัว!
แต่นั่นก็ตรงกันข้ามเลย ทิมเป็นคนสุภาพมาก!
พวกลูก ๆ ของซานัม ต่างก็ชอบมาเล่นกับเขา
ทิม คุยฟุ้งให้ฟังว่าเขาชอบที่นี่มากแค่ไหนจนถึงกับเอ่ยบอกได้ว่า เป็นบ้าน
หลังที่สองของเขา ที่อยากจะมาพักอยู่แบบนาน ๆ ไปเลย ดูท่าทางแล้ว..
การมาอินเดียรอบที่หกหนนี้ ก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้สึกพอ
ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่า ในอนาคตจะมีโอกาส
ได้พูดประโยคเดียวกันนี้เหมือนทิมหรือปล่าวนะ?
จะว่าไป อินเดีย มันก็เป็นประเทศที่แสนประหลาด
คนบางคนยังเคยไม่มา แต่แค่ได้ฟังชื่อก็เริ่ม ผวา
คนบางคนมาแล้วก็ เลิกลา จากหายกันไปเลย
หรืออีกประเภทที่ยัง หาเรื่องกลับมา ครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังเข้าที่พัก ฉันก็สลบเหมือดไปเกือบครึ่งค่อนวัน
เพราะเหนื่อยจากการเดินทางมาพอสมควร...
ในช่วงเวลาเย็นฉันออกไปเดินเล่นแถว ๆ ที่ทำการไปรษณีย์ มันเป็นเส้นถนนที่
เชื่อมต่อกับทางไปยังที่พัก ซึ่งบริเวณนั้นจะมีพื้นที่ขายผักและผลไม้และถัดไป
ก็จะมีแผงขายของที่ระลึกและร้านอาหารตั้งเรียงไปจนสุดทาง
เรื่องทุกอย่างดูเหมือนผ่านไปนานมาก กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืน
จนถึงรุ่งสางของอีกวัน ฉันเกือบลืมไปแล้วนะว่ามันคือวันเดียวกันกับวันนี้ ถ้าหาก
ไม่มีคนตะโกนร้องทักมาจากฝั่งตรงข้ามดังลั่นขึ้นจนต้องรีบหันกลับไปมองตาม
ทิศทางของเสียงเรียกนั้นโดยไว เวลานั้นมีพระทิเบตร่างผอมสูงรูปหนึ่งโบกมือ
ทักทายมา
ฉันแอบนึกขึ้นในใจอย่างงง ๆ ว่าไปรู้จักพระแถวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เมื่อปีก่อนก็ไม่ได้รู้จักใครและเจอแค่พระไทยกลุ่มหนึ่งในวันสุดท้ายแค่นั้น
สายตาฉันเหลือบไปเห็น พระอีกรูปยืนอยู่กับผู้ชายทิเบตคนหนึ่ง
ก็เลยจำได้ขึ้นมาทันที เอ...แล้วทำไมหลวงพี่อีกรูปถึงดูคุ้นหน้าจัง?
นึกไปนึกมา พอเริ่มประติดประต่อลำดับจนชัดเจนขึ้น
จำได้แล้ว! พระร่างสูงรูปนั้น
ก็คือคนที่ลุกตื่นขึ้นมาคุยกับฉันเมื่อคืนนี้นี่หว่า
จะยังมีอะไรให้น่าตกใจกว่านี้อีกไหม !?
เรียงจากทางซ้าย พระรินเชน - พระยงซุล - ลุนดุบ
ฉันพบเจอพวกเขาอีกครั้ง และแปลกใจมากที่ยังจำกันได้ด้วย!
พี่ลุนดุบบอกเล่าเรื่องของ 'พระยงซุล' ผู้ให้ความอนุเคราะห์เกาะติดรถขึ้นมา
ว่า พระเดินทางออกจากทิเบตด้วยรถโดยสารและมาอินเดียเป็นครั้งแรก
ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมพระถึงยังพูดภาษาฮินดีไม่ได้แบบพระทิเบตรูปอื่น
ที่เข้ามาพำนักอาศัยในอินเดียนานแล้ว
ที่จริงแล้วฉันมีเรื่องค้างคาใจ เกี่ยวกับคนทิเบตเยอะทีเดียว
พระยงซุล รอนแรมเดินทางข้ามพรมแดนจากทิเบตเข้าอินเดีย
จนกระทั่งมาถึงดารัมซาลา เมื่อคืนนี้ด้วยเหตุผลอะไรกัน?
แล้วทำไมพระรินเชน ถึงต้องมานอนพักอยู่ที่บ้านนั้นด้วย?
ในเวลานั้นมีคำถามผุดขึ้นมาในหัวมากมายเต็มไปหมด
เป็นที่น่าเสียดาย ที่เราจับใจความกันค่อนข้างลำบาก
แต่ก็ช่างเถอะ แค่เย็นวันนี้ได้มีโอกาสกลับมาเจอกันอีกก็ดีใจแล้ว
"อื่น ๆ"
---- สถานภาพของ ดารัมซาลา ตอนบน หรือ แมคลอดกันจ์
มีฉายาว่า Little Lhasa เพราะเป็นที่ตั้งของ Central Tibetan Administration (CTA)
เดิมนั้น ถูกตั้งชั่วคราวอยู่ที่ เมืองมัสซูรี แต่หลังจากนั้นก็ย้ายมาตั้งที่นี่ เมื่อปี ค.ศ.1960
---- Dharamshala บางทีจะมีการเขียนตัวย่อว่า D.shala
---- การเดินทาง รถโดยสารบางคันจะไม่ขึ้นมาถึง แมคลอดกันจ์
หากบอกแค่ว่า ดารัมซาลา แปลว่า จะต้องหารถขึ้นมาอีกต่อ
การต่อรถขึ้นมายัง แมคลอดกันจ์ ก็มีหลายตัวเลือก
*รถเมล์ (13 รูปี) ออกเที่ยวแรกก็คือ 8 โมงเช้า
*แท็กซี่ (200 รูปี)
*ออโต้ ริกชอว์ หรือ ตุ๊กตุ๊ก (ประมาณ 150 รูปี)
และที่ปากทางเข้าท่ารถจะมีวิน *จี๊ปแชร์ ให้บริการ
ค่าโดยสารประมาณ 15 รูปี ออกไวกว่ารถเมล์
แต่ต้องทนเบียดกันเยอะหน่อย
แล้วทำไมเช้านั้นถึงตัดสินใจจากมาเลย ไม่รออำลากันก่อนง่ะ?
วันนี้โหวตเต็มแล้ว พรุ่งนี้มาโหวตให้นะ