! ที่นี่ ! เราเลิกเขียนแล้วครับ ..กับเรื่องธรรมดา ที่คุณสามารถหาอ่านที่ไหนก็ได้
Group Blog
 
 
มกราคม 2563
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
10 มกราคม 2563
 
All Blogs
 
ภาวะที่ 1 : ติดเชื้อ







               ธีรา พินิจใจ รู้สึกปวดหนึบกับรอยแผลกรีดลึก ซึ่งปรากฎอยู่บนท้องแขนข้างซ้ายเป็นอย่างมาก  น้ำตาแห่งความเจ็บปวดทะลักล้นออกมามากมาย ไม่แพ้โลหิตขุ่นข้นสีแดงฉาน ซึ่งเอ่อไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่า จะยอมหยุดจากบาดแผล  เบื้องหน้าของหญิงสาววัยยี่สิบห้า ผู้อยู่ในท่านั่งคุดคู้ ตัวสั่น เต็มไปด้วยความหวาดผวา  เหตุการณ์ที่กำลังสะท้อนอยู่ในดวงตาของธีรา  มีภาพของชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งตกอยู่ในสภาพสาหัสสากรรจ์ทางกาย เนื้อตัวเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด  ชายคนดังกล่าวกำลังถูกจับกดให้นอนคว่ำไปกับพื้น สิ้นอิสรภาพโดยฝีมือของผู้ชายอีกสองคน

               เหนือสิ่งอื่นใด  ชายคนสุดท้าย ผู้ยืนค้ำศีรษะคนทั้งหมดอยู่นั้น  ชายผู้มีนัยน์ตาสะพรึงสุดหยั่งคนนั้น กางมือข้างหนึ่งออกกว้าง ก่อนจิกนิ้วลงในเนื้อ กดมือลึกเข้าในแผ่นหลังของชายเคราะห์ร้าย ผู้ไม่อาจดิ้นรนให้ตัวเองสามารถหลุดพ้นไปได้  ท่ามกลางเสียงร้องซึ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดแสนนั้น  ธีรากรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น ราวกับว่า หากไม่ทำเช่นนั้น  ตนอาจจะเสียสติไปกับสิ่งที่เห็นก็เป็นได้..
 
“อ๊าาาา  อย่าฆ่าเขา !”
 
 

               ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ราวยี่สิบนาที
 
               ยามวิกาล  เวลาโดยประมาณเที่ยงคืนเศษ เป็นเวลาที่ห้างสรรพสินค้าปิดทำการแล้ว ไร้ซึ่งความอึกทึกของยวดยานพาหนะที่วิ่งเข้าออก  ป้อมรับรถทุกด้านเอาไม้กั้นลงเป็นสัญญาณห้ามรถเข้าโดยปริยาย  คงเว้นไว้แต่จำพวกรถมอเตอร์ไซค์ ที่ยังสามารถผ่านเลนวิ่งแคบๆ เข้าออกในบริเวณห้างฯ ได้ ในเวลานี้

               ธีรา พินิจใจ  หญิงสาววัยยี่สิบห้าปี พยายามเดินอย่างรีบเร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้  ส้นรองเท้าไม้ส่งเสียงกระทบพื้นดังกึงกัง  เมื่อรีบสาวเท้าฝ่าความเงียบสงบยามราตรีอันวังเวงจิต  มีคนมากมายชอบนำรถไปฝากจอดไว้ในห้างฯ แล้วก็ออกไปธุระที่อื่น  ธีราเองก็เป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้น  หญิงสาวขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปจอดไว้ที่ลานรับฝากรถชั้นใต้ดิน เมื่อตอนบ่าย  แล้วจากนั้น จึงใช้บริการรถตู้เพื่อเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงฉลองรับปริญญาของเพื่อนคนหนึ่งเสียจนดึกดื่น

               -- รู้อย่างนี้ ไม่น่าขี่รถมาแต่แรก  จะได้นั่งแท็กซี่กลับทีเดียว --

               หญิงสาวนึกตำหนิตัวเองในใจ  การเดินฝ่าความมืดสลัวไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัย  ใครเลยจะล่วงรู้ว่า ห้างสรรพสินค้ายามวิกาลจะทั้งเงียบเชียบ และให้บรรยากาศน่ากลัว ผิดไปจากตอนกลางวัน เหมือนไม่ใช่สถานที่เดียวกันเอาเสียเลยแบบนี้ 

               แสงไฟทางสีเหลืองนวลทำให้จินตนาการพรึงเพริด  บางที อาจมีคนโรคจิตดักซุ่มรออยู่ตรงมุมมืดข้างหน้า  หรือวิญญาณที่รอโอกาสปรากฏตัวให้คนพบเห็น  ยิ่งคิด.. ธีราก็ยิ่งหวาดหวั่น  -- อย่าคิดบ้าๆ น่า --  หญิงสาวยกมือขึ้นหยิกแขนตัวเอง  หวังจะให้ความเจ็บปวดกลบซ่อนความคิดฟุ้งซ่านภายใน  ธีราปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว
 
               “ระวัง !” 
 
               จู่ๆ ก็มีเสียงผ่าอากาศ ทำลายความเงียบสงบในขณะนั้น  พร้อมกันกับที่ธีราเห็นร่างของใครบางคนกระโดดลงมา จากลานจอดรถยนต์ชั้นบนเหนือศีรษะ  ร่างดังกล่าวลงมานั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าต่อตา  ใบหน้าของผู้ชายคนที่เพิ่งจะทิ้งตัวลงมาจากความสูงหลายเมตรนั้น แลดูซีดเผือดน่ากลัว  ร่างนั้นผุดลุกขึ้นยืนในเวลาอันรวดเร็ว ทำท่าเหมือนเตรียมจะออกวิ่ง แต่แล้วก็เกิดอาการชะงักงันไปเหมือนหมดแรงขา  ธีราเห็นชายแปลกหน้าเซถอยหลังไปสองสามก้าว  มองมาที่ตน  ก่อนจะทรุดลงนั่ง คล้ายยอมจำนนในที่สุด
 
               “กล้าโดดนะ !”
 
               เสียงตะโกนจากข้างบน ทำให้ธีราแหงนหน้าขึ้นไปมอง  แม้ความมืดและระยะห่างจะทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด  แต่ธีราค่อนข้างแน่ใจว่า  กลุ่มคนที่อยู่ด้านบนต้องเป็นสาเหตุ ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้กระโดดลงมาเป็นแน่แท้

               “มีคนอยู่ข้างล่าง”

               ได้ยินอีกเสียงหนึ่งร้องบอกแก่กัน  ซึ่งธีราเข้าใจว่า นั่นคงหมายถึงตัวเธอเอง

               “ไม่ต้องสนใจ จับมันก่อน อย่าให้มันหนีไปได้!” 

               หญิงสาวเห็นเงาคนทั้งหมด ซึ่งมีด้วยกันสามคนชะโงกหน้ามองลงมา จากลานจอดรถยนต์ชั้นสี่  และนั่นทำให้เธอต้องหันกลับไปหาใครอีกคนที่เพิ่งกระโดดลงมา  ด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง

               เจ้าของใบหน้าย่ำแย่นั้นหันมาทางธีรา ส่งสายตาวิงวอนเหมือนต้องการความช่วยเหลือ  ภายใต้แสงไฟ  เธอมองเห็นรอยแผลและรอยฟกช้ำต่างๆ ซึ่งน่าจะเกิดจากการถูกประทุษร้าย  ไม่เพียงแค่บนบริเวณใบหน้า  ยังมีริ้วรอยขาดวิ่นของเสื้อผ้า รวมถึงบาดแผลเล็กๆ คล้ายรอยขีดข่วน จำนวนนับไม่ถ้วนตามเนื้อตัวของอีกฝ่าย  

               หญิงสาวผู้บังเอิญสัญจรผ่านมา ในสถานการณ์อันแสนระทึก ไม่รู้จักกับผู้ชายตรงหน้า  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คนเหล่านี้มีเรื่องราวอันใดต่อกัน  แต่ธีราสามารถประเมินจากภาพที่มองเห็นได้ว่า ผู้ชายคนนี้ถูกรุมทำร้าย และถูกกรีดหน้าจนอาจถึงขั้นทำให้เสียโฉมได้

               “ช่วยที.. หรือไม่ก็ ..หนีไปเถอะ” 

               คนบาดเจ็บเอ่ยถ้อยคำแปลกกับธีรา  ในคำขอนั้นมีทางเลือกให้กับคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย ได้ตัดสินใจ

               “มีอะไรกันน่ะ!  คุณถูกทำร้ายเหรอ  คนพวกนั้นทำคุณใช่ไหม!”

               ธีราผู้กำลังอยู่ภายใต้อาการตกใจ รัวคำถามอย่างตื่นตระหนก  แขนขาสั่นด้วยเกิดอาการตื่นเต้น เสมือนมีความรู้สึกรับรู้ถึงอันตรายร่วมไปกับคนตรงหน้าด้วย

               “ผมกำลังจะถูกฆ่า..” 

               ช่างน่าแปลก  ชายผู้ซึ่งตกอยู่ในสภาพย่ำแย่สุดขีด กลับพูดเรียบๆ ออกมา ด้วยสีหน้าท่าทางอันสงบ  คล้ายดั่งคนที่เตรียมใจไว้แล้ว สำหรับชะตามรณะที่กำลังใกล้เข้ามา  เขายังคงเอ่ยถามธีราอีกครั้ง

               “..จะหนีไหม ตอนนี้ยังทัน วิ่งให้เร็วที่สุด แล้วอย่าหันหลังกลับมามองเด็ดขาด”
               “แล้วคุณล่ะ คุณจะถูกฆ่าจริงๆ เหรอ” 

               หญิงสาวถามกลับ ด้วยเสียงเหมือนครางอยู่ในลำคอ  รู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นจัดราดรดผ่านศีรษะ -- จะให้ทำอย่างไร --  เมื่อบุคคลที่กำลังพูดอยู่กับตนตรงหน้า จะต้องกลายเป็นร่างไร้ชีวิต ในอีกไม่กี่อึดใจ
               -- จะต้องไม่มีใครตาย เราต้องไม่ปล่อยให้เขาตาย -- 
 
               ธีราตัดสินใจในฉับพลัน  รีบเข้าไปช่วยพยุงตัวชายผู้ถูกไล่ล่าให้รีบลุกขึ้นโดยไว  สัญชาตญาณระแวงภัยทำเธอกรีดเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังลั่น  หญิงสาวนึกภาวนาขอให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย  พนักงานของห้างฯ  หรือใครก็ได้ ..ได้โปรดรีบมาตรงนี้  ก่อนที่จะมีอะไรเลวร้ายมากไปกว่านี้ เกิดขึ้นด้วยเถิด..

               หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองดูพวกคนร้ายอีกครั้ง  คนพวกนั้นจะต้องวิ่งลงมาตามบันได เพื่อลงมายังจุดนี้  อย่างน้อยยังพอมีเวลา ให้รีบหนีเอาตัวรอดได้หลายนาที  พลันสายตาของธีราก็มีอันต้องสะดุด  เมื่อเงาคนที่ชั้นสี่ยังคงไม่หายไป  คนกลุ่มนั้นยังคงยืนดูพวกเธออยู่ตรงจุดเดิม ประหนึ่งพวกนั้นไม่รีบร้อนแต่อย่างใด

               “จะไปไหนเล่า หนีไม่พ้นหรอกน่า~”

               คนหนึ่งในพวกนั้นตะโกนลงมา  แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา คนธรรมดาอย่างเธออีกครั้ง 

               เสียงกรีดร้องของธีราถูกกลืนหายกลับลงในลำคอ  เมื่อฝ่ายไล่ล่าซึ่งเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์แปลกหน้าสามคน  ต่างพร้อมใจกันกระโดดลงมา จากระดับความสูงที่อาจทำให้ถึงแก่ความตาย  ทว่าคนทั้งสามกลับลุกขึ้นยืนได้อย่างสบาย  เหมือนไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด กับสิ่งที่เพิ่งกระทำลงไปเมื่อสักครู่
 
               “จุ๊ๆ  พี่สาวนี่~  เสียงไม่เบาเลยนะ” 

               หนึ่งในสามคนร้ายเปิดฉากพูดขึ้น  ร่างนั้นเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมีผมสีเทาเข้มยาวจนเกือบถึงเข่า สวมหมวกแก็ปครึ่งศีรษะ เปิดยิ้มเริงร่าเหมือนดั่งคนขี้เล่นให้กับธีรา  ทว่าแววตาที่สะท้อนแสงไฟคู่นั้น กลับดูไม่ต่างจากสัตว์ที่กำลังออกล่าเหยื่อไม่มีผิด

               “_ฉันไม่อยากฆ่าผู้หญิง_” 

               ชายผู้สวมแว่นสายตาอีกคนหนึ่ง พูดกับชายหนุ่มผมยาว  หากแต่ดวงตาเยียบเย็นที่จับจ้องมายังธีรา  ประกอบกับสีหน้าที่แสดงออกราวกับไร้ความรู้สึกนั้น  ทำให้คำพูดดังกล่าวดูมีความหมายตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง

               “..ผู้หญิงไม่เกี่ยว” 

               เสียงแหบแห้งของผู้ชายคนที่ธีรากำลังประคองอยู่ เอ่ยตอบโต้กับอีกฝ่าย  หญิงสาวสัมผัสได้ถึงของเหลวอันเหนอะหนะจากร่างของอีกฝ่าย ที่กำลังไหลซึมออกมาเปรอะเปื้อนตามแขนและเสื้อผ้าของตน  ภายใต้เสื้อแจ็กเก็ตชั้นนอกของชายหนุ่มซึ่งเต็มไปด้วยรอยขาดวิ่นไปทั่ว  เสื้อเชิ้ตสีอ่อนข้างในปรากฏรอยด่างดวงของโลหิต แผ่ขยายตัวออกเป็นวงกว้าง  และนั่นทำให้ธีราผู้ซึ่งกำลังแนบชิดอยู่ใกล้ ต้องตัวสั่นหนักขึ้นไปอีก

               “อย่าทำร้ายคนธรรมดา ..แค่ฉัน”

               “โอ๊ะโอ๋!  ใจดีจังเลยน้า~  งั้นที่ว่า ราชาสีขาว อ่อนโยนจนอ่อนแอก็จริงสิเนี่ย”  
               ผู้ร้ายผมสีเทาเอ่ยวาจา  พลางทำสีหน้าล้อเลียนอย่างชัดเจน  
               “แปลกจังน้า~ ไหงไอ้พวกลิ่วล้อ ถึงจับนายไม่ได้ซักกะทีล่ะว้า~”

               ผู้ถูกเรียกขานนามเป็น ‘ราชาสีขาว’ ไม่สู้ตอบโต้อะไร  แรงสั่นระริกจากทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ธีราผู้ซึ่งช่วยประคับประคองอยู่ รับรู้ว่า ..ลำพังแค่ยืนอยู่นี่  ผู้ชายคนนี้ก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว

               “หึ  คิงฆีมษ์  ถ้าเลือดไหลไม่หยุดนี่  ถึงเป็นราชาก็ตายได้นะ”

               ชายร่างสูงใหญ่ เรือนร่างกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้าม  ผมบนศีรษะเป็นสีเหลืองอำพันพูด ในท่ายืนกอดอก  แม้แต่ธีราเองก็ยังรู้สึกได้ว่า แววตาของบุคคลนี้ช่างดูชั่วร้าย และเลือดเย็นจนน่าขนลุก

               “..ไงล่ะ รู้สึกว่า ทีเซลล์ มันจะไม่อยากอยู่กับแกแล้วล่ะนะ ราชา..”

               “ฉันเรียกให้คนช่วยแล้วนะ พวกคุณทำร้ายร่างกายเขา มีความผิดนะ!” 

               ธีราไม่รู้ว่า คนเหล่านี้พูดเรื่องอะไรกัน  รู้เพียงแต่ต้องปกป้องตัวเองและคนข้างกาย  ทั้งๆ ที่รู้สึกกลัวกับการถูกคุกคามและข่มขู่  จนเนื้อตัวสั่นขึ้นมาอย่างสุดระงับ  แต่ก็น่าแปลกที่เธอกลับรู้สึกว่า ต้องช่วยผู้ชายคนนี้เอาไว้ให้จงได้

               “เราต่างหากที่จะช่วยคุณนะ ~พี่สาว~ ผู้ชายคนนี้ต่างหากที่เป็นคนร้าย  เขาอ่อนแอ เขาขี้ขลาด ตอนนี้ก็เลยใช้พี่สาวเป็นโล่กำบังไง  ถอยออกมาห่างๆ เขาจะดีกว่านะ  พวกเราน่ะ ไม่ทำอะไรพี่สาวหรอก”

               “ไม่เชื่อหรอก! จะให้เชื่อได้ยังไง ก็พวกคุณไม่ใช่หรือไง ที่ทำร้ายเขาแบบนี้” 

               ธีราตอบโต้เสียงสั่น  ไม่เชื่อในถ้อยคำลวงหลอกจากผู้ร้ายผมยาวสีเทา  ถึงตอนนี้ คนทั้งคู่ก็ขยับร่นถอยหลังไปเรื่อยๆ  ด้วยคนทั้งสามตรงหน้า ต่างก้าวรุกเข้ามาใกล้ตัวขึ้นทุกที

               “ถอยออกไปห่างๆ  อย่าเข้ามาใกล้นะ!”

               “จริงๆ นะ พี่สาว~”   ผู้ร้ายนัยน์ตาวามวาวดุจหมาป่าได้กลิ่นเนื้อ ยังคงพูดเรื่อยเจื้อยอยู่อย่างไม่ยอมเลิกรา   “ผมยังอิ่มอยู่ จะปล่อยพี่สาวไปนะ เปลี่ยนใจตอนนี้ ยังทันนะ”

               “_หยุดน่า พิจิก  ผู้หญิงคนนี้คงถูกควบคุมไปเรียบร้อยแล้ว_”

               ชายคนที่สวมแว่นสายตา ไว้ผมรองทรงสูงเปิดข้าง ในชุดสูทผูกเนคไท  สองแขนทิ้งดิ่งแนบข้างลำตัวตลอดเวลา ร้องบอกแก่เพื่อนร่วมทีมด้วยสุ้มเสียงอันราบเรียบ  เบนสายตาเปลี่ยนจากตัวผู้หญิง หันไปจับจ้องยังเหยื่อที่ถูกพวกตนตามล่า  

               สายลมร้อนอ้าวพัดกระโชกไปทั่ว  พอพัดผ่านตัวคนเหล่านี้ ประหนึ่งชำแรกเอากลิ่นไอของความประสงค์ร้ายและการฆ่าแทรกซึมออกมา  บรรยากาศในยามนั้นหนักอึ้งไปด้วยแรงกดดัน ชนิดที่ทำให้ต้องรู้สึกหวาดผวา  เหตุการณ์บีบคั้นมากเสียจนรู้สึกเหมือนคู่หญิงชาย กำลังถอยหลังไปพบกับทางตัน

               “เสียเวลามากล่ะ  มีคนกำลังมาทางนี้  มึงสองคนล็อกตัวมันไว้ให้แน่นๆ  โหยหวนแน่ๆ คิงฆีมษ์”
               “_คิงจา แล้วผู้หญิง_”
               “แกห่วงรึไง วสันต์ จะแช่แข็งหรือทำอะไร ก็รีบทำให้มันหลีกไปพ้นๆ ซะ”
               “ไม่อ่ะ~ พี่สาวนี่ ขอฉันละกัน”

               เจ้าของผมยาวสีเทาเข้มอย่างน่าประหลาด  ผู้มีชื่อเรียกขานว่า ‘พิจิก’ ย่างเท้าสุขุมเข้าหาธีรา  ก่อนคว้าหมับเข้าตรงข้อมือซ้ายของหญิงสาว  กระชากดึงตัวออกมา ให้แยกจากคนบาดเจ็บ  จากนั้น จึงวาดเท้าเตะเข้าตรงข้อพับขาของคนเจ็บในทันทีทันใด  เมื่อคนไร้หลักเกาะเซซวดล้มลง  วายร้ายเลือดเย็นก็เตะซ้ำเข้าตรงสะโพกอีกครั้ง ด้วยเสียงอันดังหนักหน่วงรุนแรง  ธีราถึงกับหวีดร้องกับการกระทำอันป่าเถื่อนตรงหน้า

               “ไอ้บ้า!  อย่าทำเขา!” 

               หญิงสาวพยายามสะบัดแขน เพื่อให้ตนหลุดพ้นเป็นอิสระ  ใช้เท้าเตะเข้าที่ขาของอีกฝ่ายทีหนึ่ง เพื่อต้องการให้ผู้ร้ายหยุดการกระทำอันแสนโหดร้ายทารุณ  พิจิกหันกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ  ใช้หลังมืออีกข้างตบฉาดเข้าที่ใบหน้าผู้หญิง ด้วยความไวและไร้ปราณี  ธีราไม่ถึงกับล้มเพราะอีกฝ่ายดึงข้อมือตนเอาไว้  ทว่าริมฝีปากของเธอปริแตก และมีเลือดไหลซึมออกมาทันที

               “เจ็บใช่ไหมล่ะ  แค่นี้คงทำให้อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอกมั้ง  ถ้าอยากช่วยมันมากล่ะก็..  ลองช่วยตัวเองให้ได้ก่อนก็แล้วกัน” 

               ไม่มีคำพูดล้อเล่นจากปากวายร้ายเลือดเย็นอีกแล้ว  ในชั่วเวลาไม่กี่วินาที  ธีรามองเห็นเรือนผมสีเทาของอีกฝ่าย แผ่สยายออกและบิดม้วนตัวเป็นเกลียว  ราวกับมีสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นตัวกระทำการอันน่าอัศจรรย์นี้  แขนซ้ายของเธอถูกอีกฝ่ายดึงจนเหยียดตึงออกไปตรงหน้า  เพื่อที่ผมสยองดังกล่าว ซึ่งบัดนี้ ม้วนตัวเล็กเรียวคล้ายดั่งเข็มแหลมคม จะได้จู่โจมทิ่มแทงลงมาอย่างรวดเร็ว
 
               “โอ๊ยยย !”
 
               ดั่งของมีคมชำแรกปักลงมาในเนื้อ  ธีรากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดแสน ทั้งงุนงงสงสัยไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง  เลือดทะลักขึ้นมาตามรอยที่ผมสยองนั้นแทงลงไป  ก่อนบาดแผลจะเปิดกว้างขึ้นเป็นรอยกรีดลึกยาว ด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียวของปลายผม ที่สามารถแปลงรูปให้กลายเป็นอาวุธมีคมได้นั้น

               หญิงสาวผู้มีเคราะห์ร้ายในเฉียบพลัน ทรุดตัวลงนั่ง  แขนข้างซ้ายซึ่งเคยอยู่ดี บัดนี้ ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีแดงทะลักล้น  เพื่อต้องการห้ามเลือดในช่วงเวลาอันวิกฤต  เธอพยายามใช้มือขวาอีกข้างทาบกดปากแผลให้ปิดเข้าหากันแต่ก็ไม่มิด  เพราะรอยกรีดนั้นลึกและยาวเกินกว่า ที่มือของเธอจะสามารถกางครอบคลุมได้หมด

               ไม่มีความสงสารในแววตาและความนึกคิดของผู้ร้าย  ปลายผมสยองคลายออก ก่อนทิ้งตัวลู่ลงแนบข้างลำตัวเจ้าของ ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น  พิจิกคว้าปอยผมจำนวนหนึ่งที่ยังมีเลือดสดๆ ติดอยู่ขึ้นมา  เขาอ้าปาก ก่อนแตะปลายผมลงบนลิ้น ทำท่าลิ้มชิมรสเลือด แสดงอาการเสมือนหนึ่งเป็นคนโรคจิตไม่ผิดเพี้ยน

               “พี่สาว~ ถ้าไม่รีบไปหาหมอ เลือดก็จะออกจนหมดตัวตายแน่นา~ รีบไปตอนนี้ก็ยังทันนะ จะช่วยตัวเองหรือคนอื่นก่อนก็คิดดู”

               “ไอ้ชั่ว! บอกว่า อย่าทำผู้หญิงไง!” 

               ร่างซึ่งนอนกองอยู่กับพื้น ส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างคับแค้นใจ  ฆีมษ์มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่อหน้าต่อตา  เป็นความผิดของเขาที่ขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงคนนี้  -- เขาลากเธอมาตายด้วยแท้ๆ --

               พิจิกวาดมือทำท่าเหมือนไม่แยแส  ซ้ำยังหัวร่อชอบใจ

               ชายร่างสูงใหญ่ซึ่งดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มเดินเข้ามา พร้อมกับใช้เท้าเหยียบลงบนอกของฆีมษ์  ปลดปล่อยน้ำเสียงหยามหยัน  ดุจต้องการทำลายศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย ให้ย่อยยับสิ้นไป

               “ความผิดใครล่ะ ที่ลากคนอื่นเข้ามาเจ็บตัวด้วย  ขี้ขลาดถึงขนาดใช้ผู้หญิงเป็นโล่เลยหรือ  หืม.. ยังไงล่ะ ราชาสีขาว ทำเป็นห่วงใยคนอื่น  แต่ที่จริงแล้ว กลัวตาย กลัวเอาตัวรอดไม่ได้ เลยต้องหาคนช่วยสินะ”

               “พวกแกมันฆาตกร  พวกแกไม่ใช่คนอีกแล้ว  แกปล่อยให้มันควบคุมทั้งร่าง ทั้งจิตใจ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาด  พวกแกไม่ใช่ราชา  พวกแกเป็นทาสมันต่างหาก”

               “อ๋อ ใช่.. อีกเดี๋ยว จากที่เป็นราชา มึงก็จะได้มาเป็นทาสของกูไง  ไอ้คิงฆีมษ์!”  

               ผู้มีชื่อว่า ‘คิงจา’ กระทืบเท้าลงบนยอดอกอย่างแรง จนอีกฝ่ายถึงกับร้องโอ้ก บิดตัวไปมาอย่างสุดแสนทรมาน

               “พวกมึงจับตัวมันไว้ดีๆ  เดี๋ยวมันจะดิ้นน่าดู  ตอนที่มันถูกกิน” 

               เมื่อผู้เป็นหัวหน้าร้องสั่ง  อีกสองคนจึงต้องเข้ามาช่วยกันฉุดร่างอันปวกเปียก ให้ลุกขึ้นมานั่งอยู่ในท่าหิ้วปีก  คิงจาย่อตัวลงนั่งยองๆ ต่อหน้าเหยื่อที่ตนกำลังจะลงมือเชือด  ใช้สายตาพินิจมอง เหมือนค้นหาอะไรบางอย่างในร่างคลุกฝุ่น เนื้อตัวแตกยับ สภาพสาหัสสากรรจ์ตรงหน้า
กระทั่ง..

               “เจอล่ะ ทีเซลล์ของมัน มาออกันอยู่ตรงหลังนี่เอง  เฮ้ย! ถอดเสื้อมันออก”
 
กิ๊ด.. กิ๊ด.. กิ๊ดๆๆๆๆๆๆ
 
               ธีรามองเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านม่านน้ำตา  หัวใจเต้นถี่รัวราวกับจะระเบิดออกมาเสียให้ได้  ความรู้สึกซึ่งกำลังร่ำร้องอยู่ภายใน  เร่งเร้าให้เข้าไปสกัดขัดขวางเหตุฆาตกรรมที่กำลังดำเนินอยู่ตรงหน้า  หญิงสาวได้ยินเสียงประหลาดดังระรัวอยู่ในโสต แต่ไม่อาจรับรู้ได้ว่า เสียงนั้นดังมาจากไหน
                -- ช่วยเขา ต้องช่วย อย่าปล่อยให้เขาตาย ต้องไม่ปล่อยให้เขาตาย --  

               เสียงความคิดคำนึงข้างในตะโกนก้องดังอึงอล  ธีรากัดฟัน ข่มความเจ็บปวดทั้งมวล ผุดลุกขึ้นโผนผ่าเข้ากลางวงอย่างไม่กลัวตาย
 
               “เฮ้ย !” 
 
               ใครบางคนหลุดปาก ร้องอุทานออกมาด้วยความคาดไม่ถึง  ในเสี้ยววินาทีที่ธีราพุ่งตัวเข้าไปเพื่อขัดขวางนั้น  ฆีมษ์ผู้ถูกจับตัวเอาไว้ให้สิ้นอิสรภาพ ห่อริมฝีปาก สูดลมเข้าเต็มกะพุ้งแก้ม ก่อนพ่นใส่คิงจาที่ไม่ทันระวังตัว  จากนั้นจึงตามด้วยร่างของธีรา ที่ถลาเข้ามากระแทกชนร่างของหัวหน้าทรชน จนหงายหลังล้มไปด้วยกัน

               “คิงจา!  เวรเอ๊ย~ จะตายอยู่แล้ว ยังเสือกมีฤทธิ์อีกนะมึง”  

พิจิกตอกเข่าเข้าตรงกลางหลังเหยื่ออีกดอก  ทว่าสายตาของเขาที่มองตามผู้นำของตนไปนั้น  ไม่ปรากฏวี่แววตกใจหรือห่วงใยแต่อย่างใด  ข้างวสันต์เอง กลับยิ่งดูเฉยเมยเย็นชามากกว่าพิจิกเสียอีก

               ฆีมษ์กระอักเลือด ตาหลุบลงเกือบปิด  อาการอึดทนทายาดทะลุขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์นั้น  กลับเป็นตัวยืดเวลาแห่งความเจ็บปวดออกไป ให้ยาวนานเสียจริงๆ  -- เขาไม่ไหวแล้ว --

               ชายร่างสูงใหญ่ผู้มีนัยน์ตาชวนขนลุก  รีบผลักร่างของผู้หญิงที่กำลังทับอยู่บนร่างตนให้พ้นไป  ออกแรงดีดตัวเพียงครั้งเดียวก็กลับลุกขึ้นมายืนได้โดยง่าย  หากแต่ความรู้สึกเสียวแปลบตรงต้นแขน เป็นสัญญาณเตือนให้รับรู้ถึงความเสียหายบนร่าง  

               เขาก้มลงมองดูปากแผลของตัวเอง ไม่ลึกหรือกว้างเท่าไหร่  หากแต่มีเลือดเปรอะเปื้อนที่แขนเต็มไปหมด
               -- เลือดของผู้หญิงคนนี้แน่ๆ  ยุ่งไม่เข้าท่า  คงต้องฆ่าทิ้งทั้งคู่ซะแล้ว –
 
               “กดตัวมันไว้ เอาให้แนบพื้น ว่าจะไม่ฆ่าแล้วเชียว แต่ถ้าไม่ทำนี่ คงจะไม่ได้ละ” 

               คิงจาพูดอย่างเหี้ยมเกรียม  สองสมุนจับตัวเหยื่อปรับเปลี่ยนเป็นท่านอนคว่ำ ตามคำสั่งในทันใด  แล้วสิ่งซึ่งเกิดขึ้นต่อไปจากนี้  หรือก็คือ เหตุการณ์ซึ่งสะท้อนอยู่ในดวงตาของธีรา  เธอมองเห็นชายตัวใหญ่ผู้ชั่วร้ายใช้นิ้วอันเต็มไปด้วยเล็บแหลมคม  จิกขยุ้มลงบนแผ่นหลังของใครอีกคนจนผิวหนังฉีกขาด  ทั้งสอดส่ายนิ้วล้วงคว้านไปมาภายในร่างเหยื่ออย่างสุดเลือดเย็น  เสียงของผู้ถูกกระทำจึงโหยหวน ประดุจสัตว์ที่ถูกฉีกกินเนื้อ ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ปาน
 
               “อ๊ากกกกก !”
               “อ๊าาาา  อย่าฆ่าเขา !” 
 
               ธีรา พินิจใจ กรีดร้องสุดเสียง  ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ทำเอาอวัยวะภายในปั่นป่วน จนแทบจะอาเจียนออกมา  รู้สึกเหมือนเลือดในตัวแข็งจนไม่อาจขยับเคลื่อนไหว  ได้แต่นั่งตาค้าง มองดูภาพการทารุณกรรมตรงหน้า ด้วยความหวาดกลัวจับใจ

               เหตุการณ์ดำเนินไปจนใกล้จะจบ  ทว่าคิงจามีสีหน้าเปลี่ยนไป  เขาไม่ค้นพบความยินดีหรือความพึงพอใจในการลงมือครั้งนี้  มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ  การค้นหาบางสิ่งในร่างเหยื่อเพื่อทำการ ‘ช่วงชิง’ ดูเหมือนจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

               จู่ๆ วสันต์ก็ทำท่าสะอึก ครางเสียงฮือสั้นๆ ออกมา  ปล่อยมือออกจากร่างของฆีมษ์  ก่อนออกวิ่งจากไปเสียดื้อๆ  และดูเหมือนนั่นคือสัญญาณที่ทำให้อีกสองคนไหวตัว  พร้อมใจกันปล่อยมือจากเหยื่อ  ออกวิ่งตามชายใส่แว่นที่ล่วงนำหน้าไปก่อน  ในไม่ช้า  เงาคนร้ายทั้งสามก็ลับหายไปในความมืด  ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะกรูกันเข้ามา เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่คู่ชายหญิงผู้บาดเจ็บ
 
               “คิงฆีมษ์ๆ  โอ๊ยพวกมันทำกับหัวหน้าถึงขนาดนี้เชียว  แข็งใจไว้ก่อนนะครับ  พวกเรามาช่วยหัวหน้าแล้ว”

               ธีราได้เห็นและได้ยิน  คนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนทั่วไป  แต่ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นสมัครพรรคพวกของผู้ชาย คนที่ตนทุ่มเทเอาตัวเองเข้าช่วยจนสุดกำลัง  ร่างคนเจ็บถูกบดบังด้วยบรรดาชายแปลกหน้าที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยและเป็นมิตร มากกว่ากลุ่มวายร้ายทั้งสาม  หนึ่งในบรรดาคนเหล่านี้  มีสองคนที่เข้ามาช่วยดูแลธีราที่เริ่มออกอาการหน้าซีด ใจสั่นหวิวไหว ด้วยเสียเลือดไปมาก

               “โอ.. เลือดท่วมเลย  แขนนี่สงสัยฝีมือราชาแมงป่องแน่ๆ  ใครทำแผลได้มั่ง  มาช่วยหน่อย”
               “ช่วยยากว่ะ ต้องพาไปโรงพยาบาลอย่างเดียว ถ้าเป็นผู้ชายยังพอจะช่วยได้”
 
               -- ทำไมล่ะ ทำไมถึงช่วยผู้หญิงไม่ได้ แตกต่างกันตรงไหนหรือ --

               ธีราอยากร้องถามออกไป  เมื่อได้ยินประโยคแปลกหูพาลให้รู้สึกย่ำแย่เช่นนั้น  หากตาของเธอเริ่มพร่า เกิดอาการหน้ามืด อันเป็นภาวะตกต่ำถึงขีดสุดของร่างกาย  ไม่กี่วินาทีต่อมา เปลือกตาอันหนักอึ้งก็ปิดสนิท  หญิงสาวหมดสติไป ในอ้อมแขนของคนแปลกหน้าที่เข้ามาช่วยโอบอุ้มไว้  แว่วยินเสียงใครบางคนร้องสั่งการลั่นให้วุ่นวาย
 
               “เคลื่อนย้ายขบวนด่วนเลย  ไปเอารถมา พาพี่ฆีมษ์กับผู้หญิงคนนี้ ไปโรงพยาบาลด่วนเลย สลบไปแล้วเนี่ย  ดนู นายแรงเยอะมาช่วยแบกหน่อย ให้ตายเถอะ  โหดอะไรอย่างนี้ ไอ้พวกชั่ว!”
 

 
++++++++++++++++++++++++++
 
 

               ท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้า  ธีราพบตัวเองยืนอยู่ในทุ่งโล่งกว้าง  นอกจากพื้นดินอ่อนนุ่มสีน้ำตาล ที่เท้าอันเปลือยเปล่าของตนสัมผัสและยืนอยู่  หญิงสาวมองไม่เห็นสรรพสิ่งอื่นใดในทัศนียภาพ  ไม่มีแม้กระทั่งดวงอาทิตย์หรือดวงดาวบนท้องฟ้า  เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดู

               ไม่ช้า  ความงุนงงสงสัยก็ถูกแทนที่ ด้วยความรู้สึกเวิ้งว้างว่างเปล่า  ความเปลี่ยวเหงาในใจท่วมท้นขึ้นอย่างมากมาย จนหญิงสาวทานทนไม่ไหว  ธีราทรุดตัวลงนั่งร้องไห้  น้ำตาที่หลั่งไหลอย่างไม่ขาดสายของเธอพลันขยายตัว จนกลายเป็นธารน้ำสายหนึ่ง ซึ่งแบ่งแยกผืนดินออกเป็นสองฝั่ง  กระทั่ง ธีราพบตัวเองนั่งอยู่ข้างธารน้ำตา  เมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้าม ก็ได้เห็นลูกบอลสีแดงและสีขาวสองลูก กลิ้งตัวเข้าชนกัน ก่อนแยกออกจากกัน  แล้วพวกมันก็กลิ้งเข้ามาชนกันใหม่อยู่อย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนดั่งพวกมันกำลังทะเลาะวิวาทกันอยู่

               ธีราหยุดร้องไห้  นั่งดูสิ่งประหลาดนั้นอยู่นาน  ในตอนแรก เธอหัวเราะขำเจ้าลูกบอลสองสีที่เอาแต่กลิ้งชนกัน  แต่พอนานเข้า เธอก็เริ่มฉุนเฉียวหัวเสียกับเสียงบอลที่กระเด้งกระดอนชนกัน เสียงนั้นสร้างความรำคาญ และทำให้เธอรู้สึกปวดหูต่อเสียงที่ได้ยินเหลือเกิน  จนในที่สุด ธีราก็ลุกขึ้น ลุยข้ามธารน้ำตาไปยังอีกฟากฝั่ง เพื่อจะหยุดลูกบอลทั้งสองลูกนั้น

               ทว่าพวกมันยังคงกลิ้งเข้าชนกันอย่างไม่ยอมหยุด  เมื่อหญิงสาวเข้าไปขวางทางพวกมัน  บอลสีขาวจะหลบเลี่ยง ไม่กระดอนมาโดนตัวเธอ  ผิดกับบอลสีแดงที่ดีดตัวเข้าใส่ ราวกับไม่พอใจที่มาขวางทางมัน  -- เจ้าบอลแดงวายร้าย --  เมื่อต้องเจ็บตัวหลายครั้งเข้า  ธีราก็ล้มเลิกความตั้งใจแต่เดิม  หันมาตั้งหน้าตั้งตาจะจับลูกบอลสีแดงให้ได้เพียงอย่างเดียว  แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ  หลังจากวิ่งไล่จับอยู่นานสองนาน  ท้ายที่สุด เธอก็เกิดความท้อแท้เหนื่อยหน่าย ที่ไม่สามารถไล่ตามบอลสีแดงนั้นได้ทันสักที

               หญิงสาวลุยธารน้ำตา กลับไปนั่งพักที่ฝั่งเดิม  เฝ้ามองดูบอลสองสีที่ต่างใช้ความกลมเกลี้ยงเข้าต่อสู้กัน โดยไม่มีท่าว่าจะสิ้นสุดอยู่อย่างนั้น  ธีราทอดตัวลงนอนหงายไปกับพื้น  มองดูหมู่ดาวเหนือคณานับซึ่งเข้ามาแทนที่ท้องฟ้าอันว่างเปล่า  ในตอนนี้  มีหมู่ดาวน้อยใหญ่เคลื่อนที่มาให้เห็นแล้วก็หายไป  กระทั่ง มีดาวสีเงินอมม่วงดวงหนึ่ง เคลื่อนตัวมาหยุดอยู่เหนือท้องฟ้า  ดาวดวงนั้นค่อยเปล่งแสงสว่างจ้า ก่อนจะระเบิดตัวเองสลายกลายเป็นจุณให้ได้ยล 

               น้ำตาของธีราพลันไหลออกมาอีกครั้ง  ช่างน่าประหลาดเหลือเกินที่ตัวเธอรู้สึกโศกเศร้า กับการแตกดับของดาวสีเงินอมม่วงดังกล่าว  โดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่า.. เหตุใดตนจึงรู้สึกเช่นนั้น 

               ธีรามองไปที่อีกฝั่งของธารน้ำตา  บอลสองสีเวลานี้หยุดการเคลื่อนไหว  พวกมันหยุดอยู่ห่างจากกันและไม่เคลื่อนที่อีกเลย
 
               “เอาล่ะ มานี่สิ” 
 
               เมื่อลองเรียกพวกมันและอ้าแขนออกกว้าง  บอลทั้งสองสีก็ลอยหวือเข้าสู่มือคนละข้างทันที  ถึงตอนนี้  ธีรารู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร  หญิงสาวจับบอลทั้งสองลูกชิดและบีบอัดเข้าหากัน  จนกระทั่งพวกมันกลายเป็นบอลลูกเดียวที่มีสองสีไปในท้ายที่สุด  ธีรากอดลูกบอลไว้แนบอก เหมือนต้องการให้ความอบอุ่นแก่มัน  ตอนนี้ เธอรู้แล้วว่าจะไปที่ไหนต่อ  หญิงสาวพาตัวเองกระโดดลงสู่ธารน้ำตา  ซึ่งบัดนี้  ความลึกของมันทำให้ธีราจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ราวกับไม่มีก้นบึ้งหรือที่สิ้นสุด  จนกระทั่ง...
 

               “ตื่นแล้วหรือลูก  ธีรา เป็นอย่างไรบ้าง หลับไปตั้งสองวัน  แม่เป็นห่วงมากนะลูก”
 
               ธีรา พินิจใจ ค่อยลืมตากว้างขึ้นอย่างช้าๆ  ตื่นจากความฝันอันประหลาด กลับคืนมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง  ได้เห็นหน้าบุคคลอันเป็นที่รักอีกครั้ง  แม่ของเธอลูบศีรษะดังต้องการปลอบขวัญ  เมื่อมองไปรอบๆ  หญิงสาวก็พบตัวเอง กำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง  มือข้างขวาถูกเจาะมีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง  พลันนั้น ความคิดคำนึงแล่นไปถึงเรื่องแขนข้างซ้าย  หญิงสาวจึงยกแขนอีกข้างให้โผล่พ้นผ้าห่มขึ้นมา  เพื่อให้ตนเองได้สำรวจสภาพของมัน

               “แม่.. แม่  แขน.. แขนของหนู” 

               รอยกรีดในความทรงจำอันเลวร้ายยังคงอยู่  หากแต่ตอนนี้ กลับมองเห็นเป็นเพียงแค่เส้นขีดยาวสีจางบนผิวเนื้อเท่านั้น

               “ไปโดนอะไรบาดมาล่ะ  ดีนะที่เป็นแค่รอยแค่นี้  เดี๋ยวก็หายแล้ว  ไม่ต้องกังวลนะลูก”

               ผู้เป็นมารดานึกว่า ลูกสาวปริวิตกกับรอยแผลเล็กน้อยบนท้องแขน ตามประสาคนเจ็บป่วย

               “ไม่ได้เย็บแผลหรือแม่  นี่หมอเขาทำยังไง  รักษาแบบไหน  ทำไมแผลมันหายเร็วจัง” 

               ธีราสุดแสนจะพิศวงงงงวย กับการรักษาทางการแพทย์อันน่าอัศจรรย์  ทั้งที่จดจำได้ดีว่า แผลบนแขนซ้ายนั้น มันลึกและเหวอะหวะแค่ไหน  บาดแผลใหญ่ขนาดนั้น  มันไม่มีทางจะหายไปได้ภายในสองวัน  นี่แม้แต่ความเจ็บปวดยังไม่มีด้วยซ้ำ  มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอกันแน่..

               “หมอเขาไม่เย็บหรอก แค่รอยถูกบาดนิดหน่อยเอง  หมอเขาแค่ล้างแผลกับใส่ยา  ลูกน่ะไม่รู้เป็นอะไร อยู่ๆ ก็เกิดหมดสติขึ้นมา  นี่ดีนะ ที่เพื่อนๆ ของลูก เขาพาส่งโรงพยาบาลทัน แล้วโทรมาบอกที่บ้าน  ลูกน่ะไข้ขึ้นสูง ไม่รู้สึกตัวเลยมาตั้งสองวัน  แม่เป็นห่วงมากนะ ธีรา”

               หญิงสาวนอนฟังมารดาบอกเล่าอาการของเธอไปเรื่อย  กระทั่งสะดุดหูที่คำว่า ‘เพื่อน’
               -- เพื่อนเหรอ.. จะมีเพื่อนได้ยังไง  คืนนั้น เรากลับคนเดียว  มีที่ไหนล่ะเพื่อน -- 

               ธีราสะดุ้งวาบในใจ  แล้วใครกันที่มาแอบอ้างเป็นเพื่อนของเธอ  เพราะคืนอันแสนเลวร้ายนั้น มีแต่คนแปลกหน้าเต็มไปหมด

               “เพื่อนคนไหนน่ะ แม่  ชื่ออะไร  แม่จำได้ไหม”
               “ฮัน กับ ดนู ไง  เมื่อวานพวกเขาก็มาเยี่ยม  แต่ลูกยังไม่รู้สึกตัวสักที ก็เลยไม่ได้เจอกัน เห็นว่าวันนี้ เขาก็จะมากันอีกนะ”
               “แม่! หนูไม่รู้จักสองคนนี้  เขาไม่ใช่เพื่อนหนู  แม่อย่าปล่อยให้เขา เข้ามาใกล้หนูนะ”

               เธอโวยวาย ปฏิเสธเสียงแข็ง  ด้วยไม่รู้จักสองชื่อดังกล่าว ที่แม่ของตนเพิ่งบอกเล่าให้ฟัง

               “ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ ถ้าเพื่อนๆ ได้ยินเข้า พวกเขาจะเสียใจนะ  แล้วพวกเขาก็เป็นคนช่วยพาลูกส่งโรงพยาบาลอีกด้วย  เดี๋ยวถ้าพวกเพื่อนมาเยี่ยม ต้องพูดดีๆ กับพวกเขาด้วยนะ  ไม่สบายยิ่งต้องระวังคำพูดเป็นพิเศษ  เพราะเราจะควบคุมตัวเองได้ไม่ดี เท่ากับตอนปกติ  รู้ไหม”

               มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่..  เหตุใดแม่ของเธอถึงได้พูดจาผิดแผกแตกต่างไปจากปกติ  ธีราสุดแสนจะงุนงงและสงสัย  ในตอนนี้  ความรู้สึกนึกคิดจากจิตใต้สำนึก บอกให้ตนนิ่งเงียบเอาไว้ก่อนจะเป็นการดีกว่า
 
               -- ใจเย็นๆ รอดูก่อน ต้องรู้ให้ได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  ไหนจะเรื่องเมื่อคืนนั้น และแขนซ้ายของเราอีก งงเหลือเกิน.. มีอะไรอีกมากที่เราต้องตามให้ทัน --
 
               ธีราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ  พยายามปรับสติ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมต่อการตามทันความเข้าใจ ในสิ่งใหม่ที่ตนจำเป็นจะต้องรับรู้  ..ต่อไปจากนี้ 
 
 
 
+++++++++++++++++++++++++



Create Date : 10 มกราคม 2563
Last Update : 9 เมษายน 2563 18:22:11 น. 0 comments
Counter : 708 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณรัชต์สารินท์, คุณcomicclubs


ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zionzany
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เขียนนิยาย

ปลดปล่อยจินตนาการ

ไม่ยึดติดกับแนวไหน

เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..

เท่าที่เราสามารถแผ่

กิ่งก้านความสามารถ

ออกไปสู่โลกกว้างได้

ยินดีต้อนรับทุกคน

สู่โลกของ zionzany

ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
แต่งนิยายทำร้ายผู้อ่าน ..Tcell H-A-V.. ..Tacticle Ball.. ..Kiss Myself.. ..ZhuXian จูเซียน.. ..เพียงฝันนี้ ศรีสุวรรณ.. อยากคูล อยากคัลท์ อยากมันส์ ที่สำคัญ อยาก-เขียน-ให้-จบ Let's rock Baby
New Comments
Friends' blogs
[Add zionzany's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.