เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ เรามักนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นและจบลงในอดีต แต่แท้จริง "ประวัติศาสตร์มีชีวิต" เพราะเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตนั้น เมื่อมีการศึกษาหรือค้นพบเอกสาร หลักฐาน ฯลฯ เพิ่มเติมก็จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้น หรือเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ประวัติศาสตร์หลายเหตุการณ์ยังมีผลสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ซึ่งในจำนวนนั้นมีเหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อ ปี พ.ศ.2475 รวมอยู่ด้วย
หากการปฏิวัติ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 เปรียบได้กับ "แผ่นดินไหว" เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดสืบเนื่องตามหลังมาอีกหลายครั้งไม่ว่าจะเป็น กบฏบวรเดช, ตุลามหาวิปโยค, พฤษภาทมิฬ, พฤศจิกามหานกหวีด, ... ก็คงเป็น "เอิร์ธเควก (earthquake)" ที่เป็นไปตามธรรมชาติแวดล้อมขณะ
ที่ผ่านมาจึงมีการเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุยายน พ.ศ.2475 มามากมาย ทั้งจากสถานศึกษา, คำบอกเล่า, สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ฯลฯ และเป็นไปในกระแสเดียวกัน ซึ่งพอสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น
หนึ่งคือ เป็นเรื่องก่อนเวลาอันควร ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีสำนึกทางการเมือง
หนึ่งคือ เป็นการกระทำของคนกลุ่มเล็กๆ ไม่ใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่ในชาติ
หนึ่งคือ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ในเมืองหลวง พื้นที่ไม่ได้รับรู้หรือให้ความสำคัญแต่อย่างใด ฯลฯ
วันนี้อยากชวนท่านผู้อ่านดูเหตุการณ์นั้น ในอีกมุมที่น่าสนใจจากงานของ ศราวุฒิ วิสาพรม นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ศึกษาค้นคว้าทำเป็นวิทยานิพนธ์ โดยส่วนหนึ่งของงานวิชาการดังกล่าวได้ปรับมาเป็นบทความชื่อ "ฝูงชนในเหตุการณ์ ปฏิวัติสยาม 24 มิถุนายน พ.ศ.2475" ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" ฉบับมิถุนายนนี้
เอกสารเก่าฉบับหนึ่งที่ผู้เขียน (ศราวุฒิ) ค้นคว้า คือบันทึกความทรงจำของสวัสดิ์ คำประกอบ เมื่อยังเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 วัดราชบพิธ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ว่า
"นักเรียนยืนคุยกันเฮฮา ไม่เข้าแถว พอเวลา 09.30 น. ครูใหญ่ตีระฆังรัวไปหมด นักเรียนก็มาเข้าแถวรวมตัวกันที่สนามแล้ว ครูใหญ่ขุนรหัสบรรทัดฐาน ก็พูดว่า ขณะนี้มีการปฏิวัติ ทหารยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
บรรยากาศในงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 เอื้อเฟื้อภาพโดยมูลนิธิพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (ภาพจากสมุดภาพพระยาพหลพลพยุหเสนา ภาค 1. สำนักพิมพ์ ต้นฉบับ)
|
ใครอยากรู้ว่าการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นอย่างไรให้ไปที่พระบรมรูปทรงม้า แล้วจะรู้เรื่องได้ดี วันนี้โรงเรียนปิด พรุ่งนี้ให้มาเรียน พวกเราวิ่งบ้าง เดินบ้างไปเสาชิงช้า เพื่อไปต่อที่พระบรมรูปทรงม้า มีชาวบ้านมารวมตัวกันที่พระบรมรูปทรงม้าเป็นหมื่นพูดกันให้แซ่ด วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล..."
ข้อความข้างต้นนี้เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเห็นบรรยากาศที่คึกคักของประชาธิปไตย
เขายังเสนอให้เห็นบทบาทของ "ราษฎร" คำที่นิยมใช้ในยุคนั้น เช่น คณะราษฎร-คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง, กรรมการราษฎร-ฝ่ายบริหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองอาณาจักรสยาม 27 มิถุนายน พ.ศ.2475, ประกาศคณะราษฎร-คำแถลงการณ์ของผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฯลฯ
คำว่า "ราษฎร" ที่กล่าวนั้น หมายถึงกลุ่มคนผู้มีส่วนร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 แม้จะไม่ใช่แกนนำ "ราษฎร" คำนี้จึงมีพลังทางการเมืองมากมายนัก จนสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงปฏิเสธที่จะใช้ โดยทรงขีดฆ่าคำว่า "ราษฎร" ออกจากร่างพระนิพนธ์ของพระองค์หลัง พ.ศ.2475
"ราษฎร" จึงไม่ใช่แค่คำๆ หนึ่งที่สักแค่เขียนๆ แต่เป็นคำที่ใช้อย่างหวังผลแต่ต้น เช่นเดียวกับคำศัพท์อื่นๆ ดังที่เราท่านเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่พี่น้อง, ประชาชน, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนถึงมวลมหาประชาชนที่ใช้ในแวดวงการเมืองแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เหมาะสมกับสถานการณ์ และผลสำเร็จ
ซึ่งคงต้องรบกวนท่านอ่านต่อที่เหลือโดยละเอียดในนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม"
แล้วช่วยวิเคราะห์ว่าท่าที และถ้อยคำในประกาศ ในแถลงการณ์ของผู้นำ แต่ละยุคมีเจตนารมณ์ที่จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างไร