"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2558
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
21 ธันวาคม 2558
 
All Blogs
 
เมื่อคนไทยแต่งตัวไปนอก! ทรงหลักแจวต้องจอด ฟันต้องขัดขาว กำเนิดราชปะแตน!!

โดย โรม บุนนาค

 

 

เมื่อคนไทยแต่งตัวไปนอก! ทรงหลักแจวต้องจอด ฟันต้องขัดขาว กำเนิดราชปะแตน!!
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พร้อมผู้ตามเสด็จไปนอก

       

สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นยุคที่ไทยเราเริ่มเปิดประตูรับอารยะธรรมตะวันตก ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่พูด เขียนภาษาอังกฤษได้คล่อง และรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จไปต่างประเทศ
       
       เมื่อ ร.๕ ขึ้นครองราชย์นั้นมีพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา จึงต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์อีกเช่นกันที่มีตำแหน่งนี้

สมเด็จเจ้าพระยาเป็นคนหนึ่งที่คบหาสมาคมกับชาวต่างประเทศ ได้ทราบความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากของประเทศในเอเซีย ที่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก จึงมีความคิดว่าพระเจ้าอยู่หัวควรจะถือโอกาสนี้ เสด็จไปทอดพระเนตรความเปลี่ยนแปลงของประเทศที่ได้รับอารยธรรมตะวันตกบ้าง จะได้เป็นประโยชน์เมื่อถึงเวลาทรงว่าราชการด้วยพระองค์เอง
       
       เมื่อนำความเรื่องนี้ขึ้นกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯก็ทรงยินดี และใคร่จะเสด็จไปยุโรป แต่สมเด็จเจ้าพระยาเห็นว่าไกลเกินไป ต้องผ่านทะเลใหญ่หลายแห่ง เรือที่จะไปได้โดยปลอดภัยก็ไม่มี ครั้นจะให้เสด็จไปโดยเรือโดยสารอย่างสามัญชนก็จะเสียพระเกียรติ

จึงทูลเสนอให้ไปสิงค์โปร์ในความปกครองของอังกฤษ และชวาในความปกครองของฮอลันดาก่อน ครั้งต่อไปจึงไปอินเดีย ครั้งนี้ใช้เรือพิทยัมรณยุทธ ซึ่งเรือเหล็กที่เพิ่งสั่งต่อมาจากสก๊อตแลนด์ เป็นเรือพระที่นั่ง และมีเรือรบอีก ๒ ลำที่ต่อเองในกรุงเทพฯ เป็นเรือนำและตามเสด็จ
       
       การเสด็จต่างประเทศครั้งแรกนี้ สิ่งสำคัญในการเตรียมตัวอย่างหนึ่งก็คือ “การแต่งตัวไปนอก”ของขบวนผู้ตามเสด็จ ซึ่งตอนนั้นคนไทยเรามีเอกลักษณ์ในการแต่งตัวเป็นแบบของเราโดยเฉพาะ

ครั้นจะแต่งตัวแบบไทยไปเดินในเมืองนอก ฝรั่งก็จะดูเป็นตัวประหลาด เหมือนฝรั่งที่เข้ามาเมืองไทยมองเห็นการแต่งตัวของคนไทยแล้วขบขัน ฉะนั้นเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม จึงต้องมีการปรับปรุงเรื่องนี้กันครั้งใหญ่ในหมู่ผู้ตามเสด็จ ๒๐๘ คน
       
       อันดับแรกก็คือ “ทรงผม” คนไทยมีทรงผมยอดฮิตที่นิยมมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเวลาร้อยๆปีไม่เปลี่ยนแปลง และไว้ตามกันทั้งบ้านทั้งเมือง คือเด็กทั้งผู้ชายผู้หญิงไว้ผมจุก ผู้ใหญ่ผู้ชายไว้ “ทรงมหาดไทย” หรือ “ทรงหลักแจว”

กร้อนเกรียนรอบหัวเหมือนกะลาครอบ เหลือไว้ด้านบนยาวประมาณ ๔ ซม. แล้วหวีแต่งตามแต่จะเห็นงาม ส่วนใหญ่จะแสกกลางผ่าออกเป็นสองซีก ส่วนผู้หญิงไว้ “ผมปีก” ตัดสั้นรอบหัวไว้ยาวแต่ด้านบนเหมือนผู้ชายเช่นกัน และไว้ผมเป็นภู่ริมหูทั้ง ๒ ข้าง ที่เรียกว่า “ผมทัด” สำหรับห้อยดอกไม้

ซึ่งฝรั่งเห็นเป็นของแปลกเหมือนตัวตลก เมื่อคณะทูตไทยไปอังกฤษ ฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ ๔ ก็ต้องไว้ผมยาวแบบฝรั่งไปเหมือนกัน การไปนอกครั้งนี้จึงต้องมีเวลาให้พวกทรงหลักแจวปล่อยผมให้ยาวแบบเดียวกับฝรั่งก่อน ยกเว้นแต่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังสี ที่ยังทรงพระเยาว์ ไปทั้งพระเกศาจุก
       
       อีกเรื่องที่สำคัญคือ “ฟัน” คนไทยนิยมกินหมาก ยางหมากจึงจับฟันดำ เลยนิยมกันว่าฟันดำเป็นฟันสวย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ กวีเอกของกรุงศรีอยุธยา ยังทรงพระนิพนธ์ชมความงามของผู้หญิงไว้ว่า “พิศฟันรันเรียงเรียบ เป็นระเบียบเปรียบแสงนิล” ฟันสวยต้องสีนิล

บ้างก็หนักถึงขั้นว่า “ฟันดำคือฟันคน ฟันขาวคือฟันหมา” ตอนที่รัชกาลที่ ๔ เสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ เซอร์แฮรี ออด ผู้สำเร็จราชการสิงคโปร์ยังบันทึกไว้ว่า

พระองค์หญิงวัยรุ่นที่ออกรับแขกเมืองด้วยนั้น หน้าตาสะสวย มารยาทงาม แต่ฟันดำทุกพระองค์ ดังนั้นคนที่จะตามเสด็จไปนอกครั้งนี้จึงต้องเลิกกินหมาก แล้วใช้เปลือกหมากหรือกิ่งข่อยทุบปลายให้เป็นแปลง หมั่นขัดฟันทุกวันจนขาวเหมือนฟันฝรั่ง (ก็เหมือนฟันหมานั่นแหละ)
       
       ส่วนเครื่องแต่งกาย ตอนนั้นทั้งฝ่ายทหารและข้าราชการพลเรือนมีเครื่องแบบแล้ว แต่นุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน ไม่ใส่ถุงเท้ารองเท้า ไปนอกครั้งนี้ก็คงเอกลักษณ์เดิม ยังไม่นุ่งกางเกงแบบฝรั่ง แต่ให้ใส่ถุงเท้าแบบยาวและรองเท้าหนัง ไม่ให้ฝรั่งดูถูกว่าป่าเถื่อนเดินเท้าเปล่า
       
       เรือพระที่นั่งออกจากท่าราชวรดิฐไปในวันที่ ๙ มีนาคม ๒๔๑๓ และกลับมาถึงกรุงเทพฯในวันที่ ๑๕ เมษายนต่อมา
       
       หลังจากเสด็จต่างประเทศครั้งนี้แล้ว ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักและระบอบการปกครองของไทยหลายอย่าง ให้ข้าราชการไว้ผมยาว เลิกทรงมหาดไทยเสียที แต่ไม่ห้ามไปถึงราษฎร เมื่อชาวบ้านเห็นบุคคลระดับสูงไว้ผมยาวก็เลยไว้ตามไฮโซกันมากขึ้น

 แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ส่วนใหญ่รับผมทรงฝรั่งไม่ได้ ยังคงไว้ทรงมหาดไทยตามเดิม แม้แต่สมเด็จเจ้าพระยาก็ยังไม่ยอมไว้ทรงฝรั่ง ตัดสั้นรอบศีรษะแบบทรงมหาดไทย ไว้ยาวด้านบน ทรงนี้มีคนไว้ตามเหมือนกัน เรียกกันว่า “รองทรง”
       
       ส่วนผู้หญิงก็ยังไม่ยอมเลิกผมปีก กลัวว่าผมยาวจะไม่เก๋เหมือนทรงเก่า เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ เจ้าของตำนาน “รักแรกของ ร.๕” จึงอาสาเป็นผู้นำ ไว้ผมยาวเป็นคนแรกของราชสำนัก

แรกๆก็ถูกค่อนขอดอยู่พัก ไม่ช้าก็มีพวกนางในไว้ตาม ต่อมาก็แพร่ไปทั้งวังจนลามออกมาข้างนอก ทำให้ “ผมปีก”หายไปพร้อมกับ “ทรงมหาดไทย”
       
       ต่อมาในเดือนธันวาคม ๒๔๑๕ ได้เสด็จไปอินเดีย มีการพัฒนาเครื่องแต่งกายไปจากเมื่อครั้งไปสิงคโปร์ขึ้นอีก แต่การใส่เสื้อนอกแบบฝรั่งต้องใส่เสื้อเชี๊ตภายใน ทั้งยังต้องผูกเนคไทร์ พออากาศร้อนออกไปเดินนอกอาคาร ทำให้เหงื่อชุ่มโชก

ฉะนั้นเมื่อเสด็จไปร้านตัดเสื้อแบบยุโรปที่เมืองกัลกัตตา จึงทรงปรารภกับช่างให้ช่วยออกแบบเสื้อนอกให้ใหม่ ไม่ต้องเปิดอกแบบฝรั่ง แต่ให้ปิดตั้งแต่คอ กลัดกระดุมตลอดอก เพื่อไม่ต้องใส่เสื้อเชิ้ตและผูกไทร์

เมื่อช่างทำเสื้อตามรับสั่งมาถวายก็โปรด แต่ยังไม่มีชื่อเรียกเสื้อแบบใหม่นี้ เวลานั้นเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ยังเป็นว่าที่เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ ทำหน้าที่ราชเลขานุการ อาสาคิดชื่อเสื้อ

แล้วเอาคำว่า “ราช”ในภาษามคธคำหนึ่ง กับคำว่า “Pattern”ในภาษาอังกฤษอีกคำหนึ่ง มารวมกันเป็น “Raj Pattern” แปลว่า “แบบหลวง” ต่อมาก็เพี้ยนเป็น “ราชปะแตน” มีการใช้เสื้อแบบนี้กันแพร่หลาย เป็นเสื้อนอกแบบไทย
       
       แต่การนุ่งผ้าแบบโจงกระเบน ม้วนปลายผ้าที่นุ่งเป็นหาง แล้วลอดหว่างขาไปเหน็บปลายไว้ที่เอวด้านหลัง ยังคงใช้กันตลอดมาทั้งผู้หญิงผู้ชาย ตอนสมัยรัชกาลที่ ๗ ผู้ชายหลายคนหันไปนุ่งกางเกงแพรแบบจีน บางคนก็ใส่สีเสียสดใสทั้งแดงและเขียว แล้วใส่เสื้อราชปะแตน ดูแปลกตาดี

ส่วนคนกินหมากก็ไม่ยอมเลิกง่ายๆ เพราะเป็นยาเสพติดเหมือนบุหรี่ คนที่ขัดฟันขาวคราวตามเสด็จไปสิงคโปร์ กลับมาก็หิวหมากจนฟันดำอีก ต่อมาสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ใน พ.ศ.๒๔๘๒ ก็ยังมีคนบ้วนน้ำหมากสีแดงไว้ตามถนนเป็นหย่อมๆเหมือนกองเลือด ดูสกปรกเลอะเทอะ

จึงมีการออก “รัฐนิยม”เป็นกฎหมายหลายฉบับ เปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปมาก การกินหมากและโจงกระเบนจึงหมดไปจากสังคมไทย กลายเป็นสังคมของคนฟันขาวและนุ่งกางเกงขายาว นุ่งกระโปรงแบบฝรั่ง การแต่งกายและทรงผมรวมทั้งฟันของคนไทย จึงไม่แตกต่างไปจากชาวตะวันตก
       
       เมื่อประมาณ ๔๐ กว่าปีก่อน ผู้เขียนขึ้นเครื่องบินไปฮ่องกง อุตส่าห์ใส่เสื้อนอกผูกไทร์ตามฝรั่งเสียโก้ แต่เจอเอาฝรั่งนุ่งกางเกงแบบชาวเลใส่เสื้อยืด ลากรองเท้าแตะ ส่งกลิ่นคลุ้งไปทั้งลำ

ตอนนี้ไปเที่ยวพระบรมมหาราชวัง ก็เจอแหม่มที่จะเข้าไปชมความโอ่อ่างดงามของศิลปกรรมไทย ต้องไปเช่าเสื้อคลุมไหล่และกระโปรงยาว คลุมกางเกงขาสั้นและเสื้อเปิดอกก่อนเข้า ดูแล้วตลกไม่ต่างกับทรงมหาดไทย
       
       หนอย...มาชวนให้เราแต่งตัวตาม บอกว่าเป็นอารยะธรรมของผู้ศิวิไลซ์ ตอนนี้ต้องให้เราสอนการแต่งตัวอย่างมีมารยาท เหมาะสมกับสถานที่ให้ซะแล้ว


เมื่อคนไทยแต่งตัวไปนอก! ทรงหลักแจวต้องจอด ฟันต้องขัดขาว กำเนิดราชปะแตน!!
ร.๕ ขณะพระชนมายุ ๑๖ พรรษา
       

เมื่อคนไทยแต่งตัวไปนอก! ทรงหลักแจวต้องจอด ฟันต้องขัดขาว กำเนิดราชปะแตน!!
การแต่งตัวของหนุ่มสาวสมัย ร.๕
       

เมื่อคนไทยแต่งตัวไปนอก! ทรงหลักแจวต้องจอด ฟันต้องขัดขาว กำเนิดราชปะแตน!!
ทรงผมยอดฮิตของคนไทยในอดีต
       

เมื่อคนไทยแต่งตัวไปนอก! ทรงหลักแจวต้องจอด ฟันต้องขัดขาว กำเนิดราชปะแตน!!
เจ้าคุณพระประยูรวงศ์นำเป็นตัวอย่าง
       

เมื่อคนไทยแต่งตัวไปนอก! ทรงหลักแจวต้องจอด ฟันต้องขัดขาว กำเนิดราชปะแตน!!
สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงชุดราชปะแตน
       

เมื่อคนไทยแต่งตัวไปนอก! ทรงหลักแจวต้องจอด ฟันต้องขัดขาว กำเนิดราชปะแตน!!
การแต่งกายของคณะราชทูตไทยไปอังกฤษในสมัย ร.๔
       

ขอบคุณ MGR Online 

คุณโรม บุนนาค 

จันทรวารสิริสวัสดิ์ค่ะ    




Create Date : 21 ธันวาคม 2558
Last Update : 21 ธันวาคม 2558 12:42:26 น. 0 comments
Counter : 2055 Pageviews.

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.