บรรพชีวิน วิชาที่ศึกษาลักษณะรูปร่าง ลักษณะความเป็นอยู่ และประวัติการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
คอลัมน์ รู้ไปโม้ด น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
บรรพชีวินวิทยา (Paleontology) คือ วิชาที่ศึกษาลักษณะรูปร่าง ลักษณะความเป็นอยู่ และประวัติการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ได้แก่สัตว์และพืชใน "ธรณีกาล" โดยอาศัยข้อมูลหรือร่องรอยต่างๆ ของสัตว์และพืชนั้นๆ ที่ถูกเก็บบันทึกและรักษาไว้ในชั้นหิน จัดเป็นแขนงหนึ่งของวิชาธรณีวิทยา ที่อาศัยความรู้ทางชีววิทยาปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับหลักฐานที่ได้สภาพซากดึกดำ บรรพ์ เพื่อให้เข้าใจสภาพแวดล้อมในอดีตในช่วงที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์ เรียกว่า นักบรรพชีวินวิทยา
ทั้งนี้ คำว่า ธรณีกาล ตามความหมายทางธรณีวิทยา เป็นชื่อเรียกของระยะช่วงเวลา ซึ่งได้แบ่งลงมาเป็น บรมยุค (Eon) มหายุค (Era) ยุค (Period) และ สมัย (Epoch) ตามลำดับ อ่านรายละเอียดเรื่องนี้ได้จากเว็บรู้ไปโม้ดนี่ละ //www.khaosod.co.th/rupaimode พิมพ์ค้นหา "ยุคของโลก" จะพบพลัน
สำหรับความหมายของศัพท์บรรพชีวิน คือซากดึกดำบรรพ์ หรือฟอสซิล (fossil) ซึ่งคำว่า ฟอสซิลมีความหมายเดิมว่า เป็นของแปลกที่ขุดขึ้นมาได้จากพื้นดิน แต่ในปัจจุบันถูกนำมาใช้ในความหมายของซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเก็บรักษาไว้ ซากดึกดำบรรพ์มีหลายชนิด อาจเป็นสิ่งที่มีความคงทนยากต่อการทำลาย เช่น ฟัน กระดูก หรือเปลือก แต่ในบางสภาวะอาจมีการเก็บรักษาซากสัตว์ทั้งตัวให้คงอยู่ได้ เช่น ช้างแมมมอธที่ไซบีเรีย
การเปลี่ยนแปลงจากซากสิ่งมีชีวิตมาเป็นซากดึกดำบรรพ์ เกิดได้ในหลายลักษณะ โดยที่เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง ส่วนต่างๆ จะค่อยๆ ถูกเปลี่ยน ช่องว่าง โพรง หรือรูต่างๆ ในโครงสร้างอาจมีแร่เข้าไปตกผลึกทำให้แข็งขึ้น เรียกกระบวนการนี้ว่าการกลายเป็นหิน หรือเนื้อเยื่อ ผนังเซลล์และส่วนแข็งอื่นๆ ถูกแทนที่ด้วยแร่โดยกระบวน การแทนที่ นอกจากนี้เปลือกหอยหรือสิ่งมีชีวิตที่จมอยู่ตามชั้นตะกอน เมื่อถูกละลายไปกับน้ำบาดาลจะเกิดเป็นรอยประทับอยู่บนชั้นตะกอน เรียกลักษณะนี้ว่า รอยพิมพ์ หากว่าช่องว่างมีแร่เข้าไปตกผลึกจะได้ซากดึกดำบรรพ์ ในลักษณะที่เรียกว่า รูปหล่อ
ส่วนการเพิ่มคาร์บอนมักเป็นการเก็บรักษาซากดึกดำบรรพ์จำพวกใบไม้หรือสัตว์เล็กๆ ในลักษณะที่มีตะกอนเนื้อละเอียดมาปิดทับซากสิ่งมีชีวิต เมื่อเวลาผ่านไปความดันที่เพิ่มขึ้นทำให้ส่วนประกอบที่เป็นของเหลวและก๊าซถูกขับออกไป เหลือไว้แต่แผ่นฟิล์มบางๆ ของคาร์บอน หากว่าฟิล์มบางๆ นี้หลุดหายไปร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่ในชั้นตะกอนเนื้อละเอียดจะเรียกว่า อิมเพรสชั่น ขณะที่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีลักษณะบอบบาง เช่นพวกแมลง การเก็บรักษาให้กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ โดยปกติทำได้ยาก วิธีการที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ คือการเก็บไว้ในยางไม้ ซึ่งจะป้องกันสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จากการทำลายโดยธรรมชาติ
ซากดึกดำบรรพ์ยังอาจเป็นร่องรอยที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต เช่น ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต รอยคืบคลาน รอยเท้า ที่อยู่ในชั้นตะกอนและกลายเป็นหินในระยะเวลาต่อมา หรืออาจเป็นช่อง รู โพรง ในชั้นตะกอน ในเนื้อไม้ หรือในหินที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต และมีแร่ไปตกผลึกในช่องเหล่านี้ มูลสัตว์หรือเศษอาหารที่อยู่ในกระเพาะ เป็นซากดึกดำบรรพ์ ที่มีประ โยชน์ในการบอกถึงนิสัยการกินของสัตว์นั้นๆ หรืออาจเป็นก้อนหินที่สัตว์กินเข้าไปเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร
ซากดึกดำบรรพ์ที่พบในหินแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ใช้เป็นตัวกำหนดอายุของหิน และนำมาใช้เป็นหลักฐานในการหาความสัมพันธ์ของชั้นหินในบริเวณต่างๆ สิ่งที่นักธรณีวิทยาสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการนำซากดึกดำบรรพ์มาเป็นตัวกำหนดอายุของหิน คือ ซากดึกดำบรรพ์ดรรชนี (index fossils) ซึ่งเป็นซากของสิ่งมีชีวิตที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลก มีการแพร่กระจายอยู่ทั่วไป แต่มีชีวิตอยู่ในช่วงสั้นๆ ซึ่งการที่พบซากดึกดำบรรพ์ดรรชนีในชั้นหินต่างบริเวณกัน สามารถกำหนดได้ว่าหินที่พบซากดึกดำบรรพ์ดรรชนีเหล่านั้นมีอายุในช่วงเดียวกัน และประโยชน์ของซากดึกดำบรรพ์ยังถูกนำมาใช้ในการบอกถึงสภาพแวดล้อมของการสะสมตัวของตะกอนด้วย
หน้า 24
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ คอลัมน์ รู้ไปโม้ด น้าชาติ ประชาชื่น สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ
Create Date : 14 เมษายน 2557 |
Last Update : 14 เมษายน 2557 10:02:47 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1183 Pageviews. |
|
|