โอมาร์ ชารีฟ 1932 - 2015

นักแสดงชาวอียิปต์ “โอมาร์ ชารีฟ” ตำนานฮอลลีวูดที่ฝากผลงานเอาไว้ในหนังคลาสสิกมากมาย อาทิ Dr. Zhivago, Lawrence of Arabia และ Funny Girl ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 83 ปี หลังเพิ่งมีการเปิดเผยว่าเขามีอาการป่วยของโรคอัลไซเมอร์

ข่าวระบุว่า โอมาร์ ชารีฟ ได้เสียชีวิตลงจากอาการหัวใจวาย เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 10 ก.ค. ในโรงพยาบาลที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ โดยไม่กี่สัปดาห์ก่อน เพิ่งจะมีข่าวว่า ชารีฟ กำลังรักษาตัวจากอาการป่วยของโรคอัลไซเมอร์

โอมาร์ ชารีฟ หรือ ไมเคิล ดิมีตรี ชัลฮูบ เกิดที่เมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 1932 ในครอบครัวเชื้อสายเลบานอน ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก อย่างไรก็ตามต่อมาเขาเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม และเปลี่ยนชื่อเป็น โอมาร์ ชารีฟ (หรือ อุมัร อัชชะรีฟ)

ชารีฟ จบการศึกษาในสาขาวิชาคณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยไคโร และเริ่มทำงานในธุรกิจของที่บ้าน แต่ต่อมาได้เบนเข็มไปเรียนต่อด้านการแสดงที่ลอนดอน จนได้เข้าสู่วงการภาพยนตร์ โดยเริ่มต้นรับงานแสดงที่อียิปต์บ้านเกิด

ก่อนจะแจ้งเกิดได้อย่างยิ่งใหญ่ในผลงานระดับคลาสสิกเรื่อง Lawrence of Arabia ของ เดวิด ลีน ที่เขาได้แสดงคู่กับ ปีเตอร์ โอทูล ในปี 1962 โดย ชารีฟ ได้กลายเป็นนักแสดงชาวอาหรับคนแรก ที่โด่งดังไปทั่วโลก นอกจากนั้นยังมีชื่อได้ชิงรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

ในยุค 60s ชารีฟ มีผลงานโดดเด่นมากมายในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด อาทิ Behold a Pale Horse และ The Yellow Rolls Royce ก่อนจะได้รับบทนำครั้งแรกในหนังฟอร์มใหญ่เรื่อง Dr. Zhivago ของ เดวิด ลีน ซึ่งดัดแปลงจากบทประพันธ์ของ บอริส ปาสเตอร์แน็ก ที่ทำให้เขาคว้ารางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายได้ด้วย

ด้วยความที่เป็นชาวต่างชาติ ทำให้เขามีภาพลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในฮอลลีวูด จนกลายเป็นโอกาสให้ ชารีฟ ได้รับบทเป็นตัวละครหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งชาวสเปน ใน Behold a Pale Horse, เป็นคนรัสเซียใน Dr. Zhivago, ส่วน Genghis Khan ก็ได้เล่นเป็นชาวมองโกล

นอกจากนั้นยังได้เล่นเป็นทั้งชาวนิวยอร์กเชื้อสายยิวใน Funny Girl จนไปถึงรับบทนายทหารชาวเยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน The Night of the Generals กันเลยทีเดียว

ซึ่งการรับบทนำใน Funny Girl นี่เองที่สร้างปัญหาให้กับ โอมาร์ ชารีฟ ไม่น้อยในตอนนั้น เพราะในช่วงนั้นมีความขัดแย้งระหว่างประเทศอาหรับ และอิสราเอลเกิดขึ้นพอดี จนผู้บริหารสตูดิโอฮอลลีวูดพยายามหาทางเปลี่ยนตัวเขา

และแม้สุดท้าย ชารีฟ จะได้รับบทในหนังเรื่องนี้ แต่ก็ยังเกิดเรื่องขึ้นอีก คราวนี้เป็นที่อียิปต์บ้านเกิดของเขา ที่ไม่พอใจอย่างรุนแรง เมื่อเห็นภาพที่ ชารีฟ ไปจูบกับ บาร์บรา สไตรย์แซนด์ จนทำให้มีการเรียกร้องให้ยกเลิกสัญญาอียิปต์ของเขากันเลยทีเดียว

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ชารีฟ มีผลงานการแสดงออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ MacKenna’s Gold ที่มี เกรกอรี เป็ก และ เทลลี ซาวาลาส ร่วมแสดงอยู่ด้วย ส่วน Mayerling ก็ทำให้ ชารีฟ ได้ร่วมงานกับ แคทเธอรีน เดอเนิฟ ส่วนในยุค 70s ชารีฟ ก็ยังได้เล่นหนัง The Tamarind Seed ของ เบลค เอ็ดเวิร์ดส์ และ Juggernaut ของ ริชาร์ด เลสเตอร์

จนมาในระยะหลัง ชารีฟ ก็ยังมีงานที่แฟนๆ หนังน่าจะจดจำได้อย่าง The 13th Warrior, Hidalgo และ 10,000 BC ของ โรแลนด์ เอมเมอริช โดยมีภาพยนตร์เรื่อง Rock the Casbah เมื่อปี 2013 เป็นผลงานการแสดงเรื่องสุดท้ายในชีวิต

นอกจากนั้นตั้งแต่ยุค 80s เป็นต้นมา ชารีฟ ยังหาโอกาสกลับไปรับงานแสดงที่วงการหนังอียิปต์บ้านเกิด ที่เคยเป็นสถานที่แจ้งเกิดของเขาอย่างต่อเนื่องด้วย

สำหรับด้านชีวิตส่วนตัว ชารีฟ ได้พบรักกับนักแสดงสาวชาวอียิปต์ ฟาเตน ฮามามา ซึ่งมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ก่อนที่จะคบหากันเขาแล้ว โดยทั้งสองมีโอกาสร่วมงานกันในหนังหลายๆ เรื่อง ก่อนจะแยกทางกันไปในปี 1966 เมื่อ ชารีฟ ตัดสินใจย้ายไปอยู่ยุโรป และหย่าขาดกันในปี 1976

โดยทั้งคู่มีลูกด้วยกันหนึ่งคน และหลังจากแยกทางจากภรรยาไปแล้ว ชารีฟ ก็ไม่เคยแต่งงานใหม่อีก โดย ชารีฟ ยังเคยเปรยว่าหลังแยกทางจากภรรยาไป เขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกรักใครอีก โดยอดีตภรรยาของ ชารีฟ ก็เพิ่งจะเสียชีวิตไปด้วยวัย 83 ปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

เมื่อปี 2005 โอมาร์ ชารีฟ เคยได้รับรางวัลเหรียญ “เซอเก ไอเซนสไตน์” จาก UNESCO สำหรับการทำงานทุ่มเทเพื่อวงการภาพยนตร์โลก และเขายังเป็นนักเล่นไพ่บริดจ์ระดับโลก ที่เคยเข้าแข่งขันในระดับนานาชาติมาแล้วด้วย




ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

สิริสวัสดิ์อาทิตยวารค่ะ

Create Date : 12 กรกฎาคม 2558
Last Update : 12 กรกฎาคม 2558 11:15:49 น.		0 comments
Counter : 1317 Pageviews.
Share Tweet