หลังเข้ามาบริหารงานแล้ว คุณหมอยอมรับว่า ช่วง 6 เดือนแรกค่อนข้างหนัก ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ไลฟ์สไตล์กับครอบครัว จากเดิมวันหยุดจะต้องพาครอบครัวเที่ยว แต่ 4 ปีมานี้เวลาว่างหมดไปกับการอ่านหนังสือ จากเดิมที่ชอบอ่านหนังสือทุกประเภท ก็หันมาอ่านเรื่องการบริหารทุกชนิด ทุกวันผมต้องอ่านหนังสือพิมพ์อย่างน้อย 3 ฉบับ ส่วนหนังสือการบริหารนี่อ่านจนกลายเป็นติดไปแล้ว เหมือนเราได้เรียนลัดไปเลย ตอนนี้ก็ยังต้องอ่าน ส่วนวันว่างก็พักผ่อนดูข่าว อ่านหนังสือ ที่บ้าน ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนแล้ว ทุกคนในครอบครัวเริ่มชิน และเข้าใจ อีกอย่างคือโชคดีที่ลูกๆ ก็โตกันหมดแล้ว เมื่อถามถึงการเป็นนักบริหารกับการเป็นคุณหมอ แบบไหนยากกว่ากัน คุณหมอประดิษฐ์บอกว่า ยากพอกัน แต่ถ้าความชอบ แน่นอนว่าอยากเป็นหมอที่รักษาคนไข้ เพราะเป็นสิ่งที่ตั้งใจไว้แต่เด็ก ผมเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว พ่อกับแม่เลี้ยงมาไม่เคยบังคับว่าโตขึ้นต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมเองก็ไม่คิดว่าจะมาเป็นหมอ จนวันหนึ่งตอนเรียนมัธยมที่สวนกุหลาบ เห็นคุณพ่อไอเรื้อรังก็ตั้งใจเลยว่า จะต้องเรียนหมอเพื่อจะมารักษา ตอนเอนทรานซ์ผมเลือกหมอหมดเลย มีเลือกวิศวกรรมศาสตร์ทิ้งไว้อันดับสุดท้าย (พูดเสียงจริงจัง) เพราะกลัวไม่ติด และเมื่อได้เป็นหมอสมใจแล้ว คุณหมอประดิษฐ์ก็รู้ซึ้งว่า เป็นอาชีพที่เหนื่อยมาก ต้องศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา และยังต้องรับดูแลผิดชอบชีวิตคนไข้รวมถึงความรู้สึกของญาติผู้ป่วย ผมอยู่ที่ศิริราชมา 34 ปี ได้เจอคนไข้หลากหลาย มีครั้งหนึ่งที่ผมประทับใจมากคือ คนไข้ที่ผมรักษาหายแล้ว เอาของขวัญมาให้ผม เป็นกล่องเล็กๆ ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิพม์ เปิดออกมาเป็นปากกาปากเกอร์ เขาบอกให้หมอเอาไว้จดงาน ทำให้ผมประทับและเก็บไว้เป็นอย่างดี เพราะคนไข้ไม่ได้ร่ำรวย แต่เขาตั้งใจเก็บเงินซื้อให้ผม เพราะเขามั่นใจและศรัทธาที่เราดูแลรักษาเขาจนหาย
|