"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
11 มีนาคม 2558
 
All Blogs
 
ยิว:ศาสนา สงคราม การเมืองและการดำรงเผ่าพันธุ์ของชาวยิวจากวรรณกรรมชุด ปวศ.ของ มรว.คึกฤทธิ์ 2

อภินันท์ สิริรัตนจิตต์
คณะศิลปศาสตร์และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

 ความเดิมจากตอนที่ 1 ซึ่งผู้เขียนได้เล่าความถึงประวัติความเป็นมาของชาวยิว ด้วยเหตุสำคัญที่ว่าเหตุใด ผู้คนต่างยกย่องและยอมรับ ว่า ชนชาติยิว เป็นชนชาติที่เฉลียวฉลาด ชนิดหาตัวจับยาก เพราะคุณภาพของประชากรยิวราว 12 ล้านคนทั่วโลก ได้ปรากฏว่า รับรางวัลโนเบลคิดเป็นร้อยละ 12 ของผู้รับรางวัลทั้งหมด ซึ่งปรากฏในหลายสาขา เช่น สาขาวิชาฟิสิกส์ เคมีและแพทย์ เป็นต้น

โดยในตอนที่ 2 จะได้เล่าความถึงชะตากรรมทางสงครามและความสั่นคลอนทางศาสนาของชาวยิว โดยการกระทำของชาวชาติต่างๆ ในสมัยนั้น รวมไปถึงโศกนาฏกรรมที่โลกไม่ลืม จากฮิตเลอร์ที่กระทำต่อชาวยิว

ดินแดนที่พระเจ้ายกให้

        หลังจากที่โมเซ (โมเสส) ได้พาชาวยิวออกมาจากอียิปต์ แล้วเดินทางไปสู่ดินแดนที่พระเจ้ายกให้จนสำเร็จ ก็ได้ปรากฏว่า โมเซ ได้หายตัวไปในทะเลทราย ต่อมา ชาวยิวมีผู้นำคนใหม่ ชื่อว่า โจชัว ซึ่งมีความตั้งใจจะตั้งชนชาติยิวไว้ ณ ดินแดนที่พระเจ้ายกให้ ซึ่งคืออิสราเอลในปัจจุบัน

แต่ดินแดนที่ชาวยิวจะเลือกสร้างชนชาตินั้น เป็นดินแดนที่เป็นฉนวนสงครามระหว่างมหาอาณาจักรอียิปต์และบาบิโลน ซึ่งได้ยกทัพผ่านมาที่ฉนวนพื้นที่นั้นบ่อยครั้ง จนเป็นเหตุให้ชาวยิวเสียชีวิตและถูกจับไปขายเป็นทาสจำนวนมาก หรือไม่ก็ส่งไปอยู่ในประเทศของอียิปต์และบาบิโลน

        ดินแดนคะนาอัน หรือแผ่นดินของยิวนี้ เรียกชื่อว่าประเทศคะนาอัน แล้วเปลี่ยนเป็นปาเลสไตน์ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นอิสราเอล แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นยูดาห์ จากยูดาห์เปลี่ยนไปเป็นยูเดีย แล้วในที่สุดก็เปลี่ยนไปเป็นอิสราเอลอีกครั้ง

        เมื่อโจชัว ได้นำชาวยิวเข้าไปตั้งรกรากในดินแดนที่พระเจ้ายกให้แล้ว ก็สร้างขุมกำลังพัฒนานักรบ โดยรวบรวมชาวยิวข้ามแม่น้ำจอร์แดน ตีบ้านตีเมืองที่สำคัญในดินแดนนั้นแล้วยึดมาเป็นของตน จนในที่สุดชาวยิวก็เลิกเร่ร่อนได้ตั้งระบอบการปกครองของตนขึ้น ซึ่งภาษาฮิบรูว์ เรียกว่า ชอฟติม หรือระบอบการปกครองโดยตุลาการ

 โดยมีตุลาการคนหนึ่งเป็นผู้นำในการปกครองประเทศของรัฐบาลกลาง ตุลาการที่แต่งตั้งขึ้นนี้ ชาวยิวถือว่าเป็นบุคคลที่ได้รับการดลบันดาลจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะผู้ดำรงตำแหน่งนั้น คือผู้รับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าและดำเนินการปกครองยิว โดยพระผู้เป็นเจ้า

        ภายหลังจากนั้น ชาวยิว ได้แบ่งคณะออกเป็น 12 ก๊ก หรือ 12 แซ่ ซึ่งแต่ละก๊กนั้น มีผู้ใหญ่ปกครองและใช้ความยุติธรรม แต่ว่าอำนาจสูงสุดของแต่ละก๊กนั้น อยู่ที่ตุลาการ ซึ่งลักษณะการปกครองแบบนี้คล้ายกับการปกครองโดยรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา

ทั้งในการศึกสงครามนั้น ตุลาการจะทำหน้าที่เป็นจอมทัพด้วย และอำนาจของตุลาการนั้น มีกฎหมายกำหนดไว้แน่นอน และเมื่อต้องการประชุมปรึกษาหารือใด ตุลาการจะมีอำนาจในการเรียกประชุมสภาสูง เพื่อทำการปกครอง

        การปกครองโดยตุลาการของชาวยิวนี้ ดำรงอยู่นานราว 200 ปี จนชาวยิวเห็นว่า การปกครองแบบนี้มีจุดอ่อน คือ ไม่ได้เป็นการวางรากฐานให้มีผู้นำที่เข้มแข็ง เพราะตุลาการที่ประกอบขึ้นมาเป็นสภาสูงนั้น มาจากก๊กต่างๆ ในที่สุดก็จะหาประมุขแห่งรัฐโดยสมบูรณ์ไม่ได้ จนกระทั่งชาวยิวได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาสู่ระบอบที่มีพระมหากษัตริย์

        ระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์นี้ ชาวยิวถือว่า พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นบุคคลที่พระผู้เป็นเจ้าอภิเษกให้ เพราะพระมหากษัตริย์นั้น คือบุคคลธรรมดาที่พระเจ้ามอบหมายให้ปกครองผู้อื่น ซึ่งโดยปกติแล้วพระมหากษัตริย์ของชาวยิว ก็อยู่ใต้กฎหมาย ศีลธรรมและกฎเกณฑ์ศาสนาเหมือนคนธรรมดาสามัญ ไม่ได้มีเอกสิทธิ์อย่างสมมติเทวราช

        กษัตริย์องค์แรกของชาวยิว คือ พระเจ้าซอล เมื่อทรงสวรรคตไป พระเจ้าเดวิด ก็ทรงขึ้นครองราชย์แทน หลังจากพระเจ้าเดวิดแล้ว พระเจ้าโซโลมอน ซึ่งเป็นพระราชบุตรก็ขึ้นครองราชย์สืบต่อ ด้วยความที่พระเจ้าเดวิด เป็นนักรบที่เก่งกล้า ได้ขยายพระราชอาณาจักรออกไปอย่างกว้างขวาง และได้สร้างเมืองหลวง คือ เมืองเยรูซาเล็มไว้

จนทำให้ชาวยิวเชื่อว่า เมืองเยรูซาเล็ม คือนิมิตหมายที่ดีของชนชาติยิว เป็นสถานที่สัญลักษณ์ของชนชาติยิว และเป็นศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ความตรงนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ให้ความเห็นเพิ่มเติม ว่า เมืองเยรูซาเล็ม เคยเป็นที่อยู่ของคนพื้นเมืองก๊กหนึ่ง ชื่อ ยะบูเซ ฝรั่งเรียกว่า Jebusites

        หลังจากพระเจ้าเดวิด สวรรคตไป ทำให้พระเจ้าโซโลมอน ซึ่งสืบราชย์สมบัติต่อมา ได้ทำการรักษาดินแดนที่พระเจ้าเดวิด ได้ขยายอาณาจักรไว้ แต่ปรากฏว่า ชนเผ่าต่างๆ หลายก๊ก มีท่าทีว่า จะกำเริบถึงขนาดที่เมืองชายแดนจะประกาศตนเป็นประเทศเอกราช แต่ในที่สุดก็ได้ถูกปราบปรามได้อย่างราบคาบและให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติกับชาวยิว

        พระเจ้าโซโลมอน มีพระราโชบายสำคัญหนึ่ง ซึ่งเป็นการผูกมิตรกับชนเผ่าเหล่านั้น เรียกว่า พระราโชบายมหาเสน่ห์ เพราะความที่พระเจ้าโซโลมอน มีพระนามเลื่องลือไปทั่วดินแดนว่า มีพระมเหสี พระอรรคชายา และพระสนมกำนัลเป็นจำนวนมากกว่าพระราชาธิบดีองค์ใดในโลก

 เพราะทรงได้รับเอากุลสตรีของชนเผ่าต่างๆ ที่เป็นศัตรูมาเป็นบาทบริจาริกา กล่าวคือ รับกุลสตรีต่างๆ มาเป็นพระอรรคชายาและพระสนมกำนัล จึงทำให้เมืองที่เป็นศัตรูนั้นกลับกลายเป็นมิตร เพราะเจ้าครองเมืองใดที่ยกบุตรสาวให้กับพระเจ้าโซโลมอน ก็จะตกอยู่ในฐานะของพ่อตา

        ผู้เขียนคิดเห็นว่า กุศโลบายจากพระราโชบายมหาเสน่ห์ของพระเจ้าโซโลมอน จัดเป็นกลยุทธ์ทางการสงครามและการขยายฐานอำนาจทางการปกครองหนึ่ง ซึ่งช่วยให้แผ่นดินที่พระเจ้ายกให้ของยิวมั่นคงขึ้น แต่ทว่า การไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะหลังจากที่พระเจ้าเดวิด ได้รวมแผ่นดิน

ซึ่งเรียกว่าปาเลสไตน์ได้ แล้วตกทอดลงมาสู่พระเจ้าโซโลมอน โดยความเป็นจริง ได้แตกออกเป็นสองอาณาจักร คือ อาณาจักรทางอิสราเอลทางภาคเหนือ และอาณาจักรยูดาห์ทางภาคใต้ โดยชาวยิวทั้ง 12 แซ่นั้น ได้ตั้งอยู่ในยูดาห์เพียง 2 แซ่เท่านั้น

        เมื่อพระเจ้าโซโลมอน ขึ้นเสวยราชย์ ได้ทำการราชาภิเษกที่เมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของยูดาห์ก่อน แล้วต้องเสด็จไปทำพิธีราชาภิเษกที่เมืองเชเคม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลอีกครั้ง จึงทำให้เป็นพระราชาทั้งสองราชอาณาจักร จากข้อเท็จจริงนี้

จะเห็นได้ว่าอาณาจักรอิสราเอลนั้นไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของยูดาห์มาก่อน แต่ยอมอยู่ร่วมกันไปเพราะความสมัครใจเท่านั้น และนี่เป็นข้อสังเกตที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวว่า ในยุคสมัยของการส่งเสริมการปกครองของพระเจ้าโซโลมอน ทรงจำเป็นต้องลบล้างอำนาจแซ่ต่างๆ ของชาวยิวที่มีอยู่ในขณะนั้น

 เพื่อทำลายอำนาจทางการทหารและความเป็นอิสระ จึงทรงแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 12 เขต โดยไม่คำนึงถึงการแบ่งเขตระหว่างแซ่ต่างๆ เพื่อจัดเก็บภาษีแล้วพัฒนาประเทศสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรม ซึ่งนำไปสู่การทำลายระบบเศรษฐกิจจากยุคกสิกรรมสู่อุตสาหกรรมที่ใช้ความรีบเร่งจนเกินไป

ทำให้ผู้ประกอบอาชีพกสิกรรมต้องทิ้งอาชีพมาสู่สังคมแรงงาน ซึ่งการเปลี่ยนผ่านอย่างเร่งรีบนี้ ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและสังคม และนอกจากนี้ ยังได้ทรงทิ้งเหตุที่จะทำให้เกิดความปั่นป่วนแตกแยกทางศาสนาด้วย

        เพราะเมื่อพระเจ้าโซโลมอน มีบาทบริจาริกาซึ่งเป็นกุลสตรีต่างบ้านต่างเมือง ต่างชนเผ่าไว้ในพระองค์มากมาย เพื่อรักษานโยบายการต่างประเทศและสันติภาพ ทำให้กุลสตรีเหล่านั้นได้นำเอารูปเคารพ และลัทธิประเพณีของศาสนามาอยู่ในพระราชวังของกรุงเยรูซาเล็ม

ซึ่งพระเจ้าโซโลมอน ก็ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด และเมื่อลัทธิความเชื่อต่างๆ ได้เผยแพร่ออกไปสู่ประชาชนที่กำลังได้รับ ความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและสังคม ย่อมขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจไปด้วย

        เมื่อสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าโซโลมอน ก่อนคริสต์ศักราช 931 พระราชบุตรของพระเจ้าโซโลมอน ชื่อเรโฮมโบม ได้ขึ้นสืบราชสมบัติต่อมา ซึ่งผลัดเปลี่ยนการปกครองไม่นานอาณาจักรฝ่ายเหนือทางอิสราเอลก็เกิดการกบฏ แม่ทัพฝ่ายเหนือคนหนึ่งชื่อเยโรโบม ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ในอิสราเอล

และเมื่อพระเจ้าเรโฮมโบม ส่งกองทัพไปทำสงคราม ก็เกิดความพ่ายแพ้ จึงทำให้สองอาณาจักรที่อยู่รวมกันนั้น ได้แตกออกจากกัน ซึ่งในยุคต่อมาทั้งสองอาณาจักรนี้ก็ทำสงครามต่อกันมาถึง 100 ปี

ศึกใน-ศึกนอก ในการสงครามของชาวยิว

        อย่างไรก็ตาม ในสมัยนั้น มีประเทศอัสสิเรีย ซึ่งเกิดขึ้นใกล้ๆ กับประเทศของยิว เป็นประเทศที่มีกำลังอำนาจมาก เป็นคู่แข่งของอียิปต์ซึ่งอยู่อีกทิศหนึ่ง โดยมีอิสราเอลและยูดาห์กั้นอยู่ตรงกลาง ระหว่างอียิปต์กับอัสสิเรียนั้น เมื่อมีกำลังอำนาจมากก็ใช้วิธีการส่งทูตไปบังคับเอาเครื่องราชบรรณาการจากประเทศอื่นรอบด้านคล้ายกับจีนในสมัยสามก๊ก ซึ่งทำกับกลุ่มชนชาติต่างๆ ซึ่งอัสสิเรียก็ใช้วิธีการนี้กับอิสราเอลและยูดาห์

        ในอิสราเอลและยูดาห์นั้น ผู้มีอำนาจปกครองแผ่นดินฝ่ายหนึ่งเป็นพวกอัสสิเรีย เห็นว่า ทั้งอิสราเอลและยูดาห์ ควรส่งเครื่องบรรณาการให้แก่อัสสิเรีย แต่อีกฝ่ายเห็นว่า ควรส่งเครื่องบรรณาการให้แก่อียิปต์ เมื่อความเห็นแตกต่างกัน จึงทำให้เกิดการรบพุ่งกันในอิสราเอล

เมื่อฝ่ายที่เห็นว่า ไม่ควรส่งเครื่องบรรณาการให้อัสสิเรียในอิสราเอล ชนะจากการทำสงครามภายในต่อกัน ก็ไม่ยอมส่งเครื่องบรรณาการให้อัสสิเรีย จนเป็นเหตุให้อัสสิเรียยกทัพใหญ่เข้ารุกรานอิสราเอลหลายหนหลายครั้ง จนถึงครั้งสุดท้ายเมื่อก่อนพระเยซูเกิดราว 723 ปี จึงทำให้อิสราเอลแตกและพ่ายแพ้ต่ออัสสิเรีย

        ทางฝ่ายอาณาจักรยูดาห์นั้น ปรากฏว่ายอมส่งเครื่องบรรณาการให้อัสสิเรียตั้งแต่แรก เมื่อเห็นอัสสิเรีย เข้าทำลายอิสราเอลอย่างหัวพองสยองขน ก็แปรพักตร์ ไปเข้ากับอียิปต์ จึงเป็นเหตุให้อัสสิเรีย ทำการยกทัพโจมตีกรุงยูดาห์เช่นเดียวกับอิสราเอล ทางฝ่ายอียิปต์กับซีเรีย เมื่อทราบข่าวการยกทัพของอัสสิเรีย จึงเจรจาขอหย่าศึกเพื่อสันติภาพ คงเหลือแต่ยูดาห์เท่านั้น

        เมื่อทัพอัสสิเรีย ยกมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ทหารกองหนึ่งซึ่งอยู่บนเชิงเทินของกรุงเยรูซาเล็ม มองไปที่ค่ายของกองทัพอัสสิเรีย ก็ได้เห็นเหตุการณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ของพระผู้เป็นเจ้า คือ กองทัพอัสสิเรียกำลังรื้อค่ายและถอยทัพกลับ

จึงทำให้ชาวยิวที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มและอาณาจักรยูดาห์ต่างฉลองกันเป็นการใหญ่ สาเหตุที่กองทัพอัสสิเรียต้องถอยทัพกลับไป เกิดจากมีหนูชุกชุมและเป็นกาฬโรคขึ้น ซึ่งชาวยิว เชื่อว่าเป็นการกระทำของพระผู้เป็นเจ้า

        อย่างไรก็ตาม เมื่ออัสสิเรีย ถอยทัพกลับไป พระเจ้าแผ่นดินของกรุงยูดาห์ก็ได้ส่งบรรณาการให้อัสสิเรียเหมือนเดิม เพราะไม่อยากมีความเสี่ยงอีกต่อไป ในการต่อมาอัสสิเรียได้เติบโตขึ้นมากมาย มีเมืองขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองที่ขยายดินแดนไปถึงโมร็อกโกในปัจจุบัน

โดยเมืองบาบิโลน ซึ่งเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองก็ตกมาอยู่ใต้อำนาจของอัสสิเรียเช่นกัน แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกบาบิโลน ก็ได้ปราบพวกอัสสิเรีย แล้วปกครองยูดาห์ที่มียิว 2 แซ่อยู่ โดยจับชาวยิวราว 18,000 คนไปเป็นเชลย

        เอกราชของชาวยิวสิ้นสุดลงหลังจากได้ประกาศตนเป็นเอกราชในดินแดนที่พระผู้เป็นเจ้ายกให้เป็นเวลาถึง 600 ปี แต่การสูญเสียเอกราชจากศึกสงครามนี้ ไม่ได้ทำให้ชาวยิวสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปแต่อย่างใด

ศาสนาที่ชาวยิวเอาห่อติดตัวไปได้

        ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (หน้า 49) ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการไม่สูญเสียตัวตนความเป็นยิวของชนชาติยิวไว้ว่า เมื่อครั้งที่ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล พ่ายแพ้แก่อัสสิเรีย ซึ่งทำให้ชาวยิวกระจัดกระจายไปในทุกพื้นที่ทั้งอังกฤษ อินเดีย บาบิโลน แต่ถึงกระนั้น ความเป็นยิว ก็ไม่ได้สูญหายไปกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ

สาเหตุสำคัญ คือ พวกยิว ในยูดาห์ได้ทำคัมภีร์ในศาสนาของตน ซึ่งคัมภีร์นั้น เป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ไบเบิลในปัจจุบัน เรียกว่า พระคัมภีร์เก่า (Old Testament) และเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ พวกยิวได้รวบรวมศาสนาของตนเข้าหีบห่อพร้อมที่จะขนเอาติดตัวไปใช้ในต่างประเทศได้ ศาสนาที่ยิวส่งออกนอกประเทศนี้ ต่อมาได้ทำให้เกิดศาสนาคริสต์และอิสลามขึ้นตามมาภายหลัง

        ความยากลำบากของชาวยิวที่กระจัดกระจายออกไปต่างประเทศที่มิใช่ดินแดนที่พระเจ้ามอบให้ ทำให้ยิวต้องปรับตัวเองให้เป็นไปตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม และประเทศชาตินั้น โดยเฉพาะคำสอนที่ชาวยิว ได้ถ่ายทอดและปฏิบัติสืบต่อกันอย่างแข็งขัน คือ ศีลและวินัยที่เกิดขึ้นมาจากความสมัครใจ โดยไม่มีใครบังคับ และนี่ถือว่าเป็นศาสนาที่ชาวยิวพาติดตัวไปได้

วัฒนธรรมฝรั่ง เมื่อ 2,300 ปีมาแล้ว

        นอกจากศึกสงครามภายในชนชาติเดียวกันระหว่างชาวยิว อิทธิพลของวัฒนธรรมฝรั่ง เมื่อ 2,300 ปีก่อน ได้ทำให้วิถีชีวิตชาวยิว ที่กระจัดกระจายออกไปอยู่ต่างประเทศ มีความผันผวนและไม่มั่นคงด้วย โดยเฉพาะวัฒนธรรมของกรีกสมัยโบราณ ที่เป็นผู้ริเริ่มอารยธรรมของฝรั่ง

        ก่อนพระเยซูเกิดราว 490 ปี กองทัพเปอร์เชียและกรีกปะทะกันที่ตำบลมาราธอน หลังจากทำสถิติรบกันนานที่สุดและอดทนที่สุดแบบมาราธอน แล้วพวกกรีกก็ได้รับชัยชนะ เมื่อกรีกชนะเปอร์เชีย ก็จะยกทัพไปรุกรานกรีซต่อไป

จนกระทั่งผ่านมาอีก 100 ปี พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้มีพระราชประสงค์จะขยายพระราชอาณาเขตออกไปทั่วโลก ราวก่อนคริสต์ศักราช 334 จึงได้ยกทัพมาทำลายเปอร์เชียและยึดตะวันออกกลางไว้ได้ ชาวยิวซึ่งอยู่ในดินแดนของยิวและกระจัดกระจายอยู่ต่างประเทศ ต่างตกอยู่ในอำนาจของกรีกในสมัยนั้นเช่นกัน

        ความเจริญและความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมแบบฝรั่งที่เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราช ได้ปรากฏในตะวันออกกลางและส่วนต่างๆ ของเอเชีย ซึ่งความเจริญต่างๆ ของกรีก ปรากฏอยู่ในรูปแบบศิลปะ วรรณคดี ปรัชญา ในกลุ่มชนเผ่าต่างๆ แต่ยกเว้นอยู่ในคนยิว พวกเดียวเท่านั้น

        ถึงแม้ว่า ชาวยิว ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับวัฒนธรรมของกรีก แต่ปรัชญาของกรีกได้มาตกอยู่บนผืนดินที่อุดมสมบูรณ์นั่นคือชาวยิว ทำให้ชาวยิวได้ศึกษาปรัชญากรีกจนแตกฉาน แต่ไม่ยอมรับปรัชญานั้น ซึ่งผลการศึกษาในครั้งนั้น

ทำให้เกิดศาสนาใหม่ไปจากยิว คือศาสนาคริสต์ และพวกยิวที่ได้รับของใหม่จากการศึกษาปรัชญาของกรีกมาใช้ในระบบศาสนาของตน เรียกว่า ตาลมุด ซึ่งแปลเป็นไทยบาลีว่า สิกขา หรือไทยสันสกฤตว่า ศึกษา อธิบายง่ายๆ คือ นำวิธีการทางการศึกษาปรัชญามาใช้ในระบบศาสนา

        ถึงแม้ว่า ชาวยิว พื้นเมืองจะศึกษาปรัชญาของชาวยิวได้แตกฉาน แต่ก็ไม่ได้นับถือกรีก เพราะชาวยิวเห็นว่า กรีกนั้น เป็นคนนอกศาสนา มีจิตใจตกต่ำทางศีลธรรม ซึ่งหากจะวิเคราะห์ให้เห็นจุดเด่นของชาวยิว ณ จุดนี้ คือ ชาวยิว เป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมของกรีกได้ดีกว่าคนอื่น จึงทำให้เกิดพ่อค้ายิว นักอุตสาหกรรมยิว และช่างฝีมือยิว ที่สามารถเดินทางไปตั้งรกรากทำมาหากินได้ทุกแห่งในจักรวรรดิของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์

ชาวยิวกับความสั่นคลอนทางศาสนา

        เมื่อยิวอยู่ภายใต้อำนาจของกรีก ดูเหมือนจะมีความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง แต่ยิว ก็ถูกรังแกและข่มเหงอย่างรุนแรง ซึ่งยิวต่อสู้กับปัญหาใหญ่อยู่สองประการ คือ การต่อสู้ระหว่างยิวกับวัฒนธรรมกรีก และการต่อสู้ระหว่างกรีกกับกรีซ เพื่อช่วงชิงอำนาจในการปกครองระหว่างกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชาวยิว

        หลังจากอยู่ภายใต้อำนาจของกรีก ทำให้วิถีชีวิตชาวยิวส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรมฝรั่งในสมัยนั้น โดยเฉพาะด้านกีฬาเพาะกาย มวยปล้ำและกีฬาต่างๆ ที่นิยมเล่นในกรีก เมื่อนักธุรกิจยิวติดต่อกับฝรั่ง ก็ได้รับเอามารยาททางสังคมฝรั่งมาใช้ในการดำเนินชีวิต

        ในขณะนั้น มีพวกต่อต้านวัฒนธรรมฝรั่งแบบกรีก จับกลุ่มกันมีชื่อว่า ฮาสิเดียน แปลว่า ผู้เคร่ง พวกนี้เชื่อว่า กฎหมายที่โมเซมอบให้นั้น เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นบัญญัติของพระเจ้า ต้องรักษาไว้ให้บริบูรณ์ด้วยเกียรติและอำนาจ

        ต่อมา ราชวงศ์เซเลอุคุสและปโตเลมีของกรีก ได้รบพุ่งกันเพื่อแย่งประเทศปาเลสไตน์ ซึ่งพวกยิวอาศัยอยู่นาน 125 ปี จนในที่สุดกษัตริย์อันติโอคุสที่ 3 แห่งราชวงศ์เซเลอุคุสได้แย่งปาเลสไตน์ได้จากราชวงศ์ปโตเลมี และใช้นโยบายปกครองชาวยิวแบบหลวมๆ

โดยไม่มีการบังคับ เมื่อกษัตริย์อันติโอคุสที่ 3 ได้ครองปาเลสไตน์แล้ว คิดจะตีอาณาจักรของราชวงศ์ปโตเลมี ซึ่งได้แก่อียิปต์ทั้งหมด มาเป็นของพระองค์ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ชาวโรมัน ได้ส่งทหารเข้ามาในอียิปต์ และช่วยรักษาราชวงศ์ปโตเลมีไว้

        ประเพณีของราชวงศ์เซเลอุคุส เมื่อได้ครอบครองปาเลสไตน์แล้ว คือ จะแต่งตั้งมหาสมณะของยิวองค์หนึ่งให้เป็นหัวหน้าปกครองชาวยิว ซึ่งผู้ได้รับคัดเลือกจะเป็นบุคคลที่ชาวยิวเลือกกันเองและถวายคำแนะนำ เมื่อราชวงศ์เซเลอุคุส โดยกษัตริย์อันติโอคุสที่ 3 ปกครองยิวอยู่นั้น ได้มีการก่อกบฏขึ้นในเขตแดนใกล้อียิปต์

จึงทำให้ต้องยกทัพไปทำสงคราม และในขณะนั้นมีข่าวลือโดยชาวยิวกลุ่มฮาสิเดียน ปล่อยข่าวว่า กษัตริย์อันติโอคุสสวรรคต ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น จึงทำให้กษัตริย์อันติโอคุสโกรธกริ้วพวกยิวมาก กอปรกับการพ่ายแพ้สงครามกับทหารโรมันในอียิปต์ จึงสั่งให้ฆ่ายิวในกรุงเยรูซาเล็มไปหมื่นคน โดยไม่ต้องสืบสวนสอบสวน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังทรงได้ออกพระราชกำหนดห้ามมิให้พวกยิว ถือวันซะบาโต หรือวันพระของตนอีกต่อไป รวมทั้งมีพระราชกำหนดห้ามมิให้ยิวกระทำสุหนัต โดยเด็ดขาด

        ความโกรธกริ้วของกษัตริย์อันติโอคุส ทำให้เกิดความคุกรุ่นในใจของชาวยิว จนเป็นเหตุฉนวนให้เกิดความขัดแย้งทางสงครามระหว่างยิวกับกรีกที่ระเบิดขึ้นตามมา กอปรกับเหตุการณ์ที่หมู่บ้านเล็กๆ นอกกรุงเยรูซาเล็มที่ข้าราชการกรีกได้ออกคำสั่งให้นักบวชยิว คนหนึ่ง ชื่อมัตตาไธอาส

ไปทำพิธีใก้แก่เทวดากรีก แต่มัตตาไธอาสไม่ยอมทำ เพราะถูกขู่เข็นบังคับ เมื่อมัตตาไธอาส ทนไม่ไหว จึงได้ฆ่าราชการคนนั้น จนกษัตริย์อันติโอคุส ทราบความเข้า จึงสั่งให้ล่าตัวมัตตาไธอาส มาลงโทษอย่างหนัก ถึงทำให้ชาวยิวทั้งประเทศลุกขึ้นมาป้องกันมัตตาไธอาสและตั้งกองทัพประชาชนสู้ศึกสงคราม

        พวกกรีก เมื่อเห็นยิวต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ตกใจและแปลกใจว่า ไม่เคยเห็นพวกยิวยอมตายเพื่อลัทธิหรือความเชื่อถือของตน เมื่อพวกกรีกต่อสู้กับพวกยิวนานวันเข้า ก็ยิ่งยอมรับนับถือ เพราะถือว่า พวกยิวต่อสู้เพื่อศาสนาของตน เพราะหากทำลายศาสนาได้ พวกยิว ก็คงยอมแพ้ราบคาบ

        กษัตริย์อันติโอคุส เมื่อเห็นว่า ชาวยิวลุกขึ้นต่อสู้เป็นกบฏนั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก ก็ส่งทหารคอมมานโดเล็กๆ ไปปราบ แต่ชาวยิว ได้ฆ่าทหารเหล่านั้นตายภายในไม่กี่วัน ประกอบกับคำทำนายของโหรหลวงที่กล่าวว่า กษัตริย์อันติโอคุสสิ้นพระเคราะห์แล้ว ควรยกทัพไปปราบพวกยิวให้สิ้นซาก

        ในการทำสงคราม ระหว่างชาวยิวกับทหารของกษัตริย์อันติโอคุส ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (หน้า 85) กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่า โหรหลวงทำนายดวงของกษัตริย์อันติโอคุส ผิดพลาดไปหรือไม่ แต่ปรากฏว่า ชาวยิวต่อสู้กับกองทัพกษัตริย์อันติโอคุสอย่างหนักที่สุด ก่อนพระเยซูประสูติราว 164 ปี

ทหารยิวได้ทำลายกองทัพของกษัตริย์อันติโอคุส พ่ายแพ้ไปและได้เมืองเยรูซาเล็ม มาเป็นของยิวอีกครั้ง ก่อนที่ชาวยิวจะนำเทวรูปที่พวกกรีกนับถือ โยนออกไปนอกพระวิหารพระยะโฮวา แล้วกำหนดวันนักขัตฤกษ์เพื่อฉลองวิหารขึ้นใหม่ เรียกว่า ฮานุกกาห์

        สงครามระหว่างยิวกับกรีกโดยราชวงศ์เซเลอุคุส กินเวลานาน 25 ปี ชาวยิวชนะสงครามในครั้งนั้น และไม่เคยแพ้อีกเลย พวกกรีกจึงทยอยออกไปจากปาเลสไตน์ทีละน้อยจนหมด พวกยิวได้ยกทัพตามไปตีในดินแดนของกรีก จนได้รับเอกราชสมบูรณ์

        ในสงครามครั้งนั้น มัตตาไธอาสและบุตรชายอีก 4 คนเสียชีวิตไป ยังคงเหลือบุตรชาย ชื่อซีโมน คนเดียวของมัตตาไธอาส เป็นผู้ลงนามในสัญญากับกรีก ซึ่งยอมรับว่า ยิวเป็นเอกราชก่อน 143 ปีที่พระเยซูเกิด และอาณาจักรของยูดาห์ ก็ถูกสถาปนาขึ้นใหม่ จากสงครามที่ไม่มีใครเชื่อว่ายิวจะเป็นฝ่ายชนะ

        หลังจากที่ยิวได้เอกราชตั้งเป็นประเทศยูดาห์ ขณะนั้นยิวมีอายุได้ 1,857 ปี ก่อนพระเยซูเกิด 143 ปี หรือล่วงมาสู่พุทธศักราช 400 พอดี ถ้าจะพูดกันตามประวัติศาสตร์ ว่า ชนชาติที่มีอายุนานขนาดนี้ น่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเวลาที่ผ่านมากลับทำให้ชาวยิว มีชีวิตอย่างยิ่ง

        เมื่อยิวได้เอกราชกลับคืนมาจากความพยายามหลายศตวรรษ ระยะเวลาแห่งการสร้างเมืองขึ้นใหม่ก็ต้องดำเนินต่อไป พวกยิวคิดถึงครั้งที่ราชวงศ์เซเลอุคุส กดขี่พวกยิวในทางศาสนาถึงขั้นขีดสุด พวกยิวก็ไม่อดทนอดกลั้นอีกต่อไป ความเดือดร้อนทางใจอย่างขีดสุด เป็นเครื่องหล่อหลอมยิวทุกคนให้ร่วมเป็นอันหนึ่งเดียวกัน เกิดความสามัคคีธรรมอย่างสูงสุด

        ในบรรดายิวที่ต่อสู้กับกรีกมานั้น มีหลายพวกที่เป็นพวกเคร่งศาสนาไม่ยอมรับหลักการอื่นใดก็มี ที่เป็นชาตินิยมโดยไม่ยึดหลักเดิมของศาสนาเคร่งครัดก็มี และเป็นพวกที่รับวัฒนธรรมที่ดีของฝรั่งไว้ก็มี และยังมีพวกที่มีความเห็นต่างในทางอื่นอีกมาก จนกระทั่งแตกเป็น 3 กลุ่มใหญ่

คือ พวกเอสเซเนส คือพวกที่หนักในศาสนา เมื่อเสร็จศึกสงคราม ก็ไม่สนใจในกิจการบ้านเมือง แต่แยกตัวไปบำเพ็ญธรรม พวกฟาริสี เป็นอีกพวกหนึ่งที่แตกออกมาจากเอสเซเนส เห็นว่าคำสอนเดิมเคร่งครัดเกินไป จึงควรมีการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย และพวกสัดดุสี คือพวกที่ยึดหลักธรรมเดิมในศาสนา แต่เห็นว่า ควรรับวัฒนธรรมฝรั่งอันดีเข้าไว้ด้วย

        ด้วยความแตกต่างของยิวใน 3 กลุ่มนี้ จึงทำให้ฟาริสีและสัดดุสี วิวาทกันใหญ่ เพราะพวกเอสเซเนส ได้หนีเข้าวัดไปไม่ยุ่งกับบ้านเมืองก่อนแล้ว หลังจากที่ซีโมน บุตรของมัตตาไธอาสถึงแก่กรรมไป บุตรของซีโมน ชื่อ โยฮัน หิรคานุส ได้รับราชาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินและได้รับสมณุตมาภิเษกเป็นมหาสมณะพร้อมกัน ด้วยความที่อยู่ในลัทธิฟาริสี

จึงทำให้เกิดความเลอะเทอะในการปกครองกับหลักการทางศาสนาในการกินสองตำแหน่ง จึงทำให้พลพรรคของพระเจ้าโยฮัน หิรคานุส ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยขอให้สละตำแหน่งมหาสมณะ จึงทำให้พระเจ้าโยฮัน หิรคานุส เกิดโมโหได้เปลี่ยนไปเข้านิกายสัดดุสี แล้วรับเอาธรรมเนียม วัฒนธรรมต่างๆ ของกรีกมาใช้ จนก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างยิวด้วยกัน

        จนกระทั่งถึงสมัยของกษัตริย์อาริสโตบุลุสที่ 1 ซึ่งขึ้นครองราชย์ด้วยการกระทำมาตุฆาต ปิตุฆาตและฆ่าพี่น้องของตน ด้วยเหตุที่ทรงทำเช่นนั้น เพราะทราบว่า พระเจ้าโยฮัน หิรคานุส ประสงค์จะแต่งตั้งให้พระราชินีของพระองค์ได้สืบราชสมบัติและให้พระโอรส นามว่า อาริสโตบุลุส เป็นมหาสมณะ จึงทำให้เกิดความไม่พอใจ

        เมื่อกษัตริย์อาริสโตบุลุสที่ 1 ขึ้นปกครอง ถ้าไม่มีใครเห็นด้วยกับพระองค์ ก็จับฆ่าไปเสียหลายคน และภายใต้การปกครองนี้ ก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงของนิกายฟาริสีและสัดดุสี จนก่อให้เกิดสงครามการเมือง จนพวกฟาริสี ไปขอให้กองทัพกรีกมาช่วยรบ แต่เมื่อกองทัพกรีกมาช่วยรบให้ฟาริสีจริงๆ กลับไปเข้ากับสัดดุสี เพื่อรบกับกรีกแทน

        ประวัติศาสตร์ของยิวช่วงนี้วุ่นวายอยู่ราว 76 ปี ซึ่งตอนท้ายสองพี่น้องในราชสกุลต่างรบพุ่งเอาชนะกันเอง จนในที่สุดอาริสโตบุลุส ก็วิ่งไปขอให้โรมันมาช่วยรบ และในตอนนั้นเอง โรมันโดยปอมปีย์ เป็นผู้นำ ได้พากองทัพโรมันเข้ามายึดอาณาจักรยูดาห์ เป็นเมืองขึ้นของโรม และเปลี่ยนประเทศใหม่เป็นยูเดีย

        ผลจากการเป็นเอกราชยาวมา 76 ปี แต่ก็ได้เสียเอกราชให้กับชาวโรมัน ซึ่งเป็นมหาอำนาจใหม่ เพราะการแตกแยกแก่งแย่งชิงดี สิ่งที่เลยร้ายนี้เกิดขึ้นจากการแตกความสามัคคีของชนชาติเดียวกัน นั่นแสดงให้เห็นถึงผลร้ายที่ตามมา ซึ่งบทเรียนนี้ พวกยิว ได้รับมาเป็นบทเรียนชั้นดีแล้ว

โรมันกับชะตากรรมของชาวยิว

        เมื่อยิว ตกเป็นเมืองขึ้นของโรมัน ทำให้ชะตากรรมของยิวตกอยู่ในความลำเค็ญอีกพักใหญ่ ซึ่งปัญหาสำคัญของยิว คือ โรมัน ไม่มีศิลปะหรือวัฒนธรรมเป็นของตนเองเลย ภูมิปัญญาส่วนใหญ่ที่เป็นศิลปะ ตลอดจนวรรณคดี เป็นสิ่งที่ชาวโรมันได้รับจากกรีกมาทั้งสิ้น

        เมื่อครั้งที่พวกกรีกตกมาเป็นทาสของโรมัน พวกกรีกก็ไม่หยุดยั้งในการใช้ปัญญาและสร้างสรรค์ศิลปะและวัฒนธรรมให้เกิดขึ้น

        นักประวัติศาสตร์บางคนเปรียบเทียบว่า พวกกรีกนั้น เหมือนฝรั่งในยุโรปตะวันตกในปัจจุบัน ส่วนชาวโรมันนั้น เหมือนอเมริกันในปัจจุบัน ด้วยความที่ฝรั่งในยุโรปนั้น เป็นปัญญาชน เป็นผู้ริเริ่มและกำหนดคิดค้นศิลปะ วรรณคดีและสร้างทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หลายแขนง

ส่วนชาวอเมริกันนั้น เป็นนักประวัติศาสตร์ เพราะเป็นผู้ใช้ความคิดในทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อปัญญา เป็นผู้ตามหลังในทางวรรณคดี เป็นผู้เลียนแบบในศิลปะ และเป็นเพียงช่างเทคนิคทางวิทยาศาสตร์

        เมื่อยิว ต้องถูกปกครองโดยผู้มีอำนาจที่ไร้ปัญญา มีแต่ทรัพย์และกำลัง ก็ทำให้พวกยิวยิ่งลำบากมากขึ้น เพราะโรมันได้แต่กดขี่ ขูดรีดและข่มเหงน้ำใจยิว พวกโรมันนั้น ชอบคนประจบ ถ้ายิวคนไหนประจบโรมันเก่ง ก็จะได้เป็นผู้ปกครองแผ่นดินยิวอยู่ได้

เมื่อยิวตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้พวกยิวฟาริสี สัดดุสี ผนึกกำลังเข้าหากัน กอปรกับพวกเอสเซเนส ซึ่งเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกำลังเป็นภัยต่อยิว จึงรวมตัวกันตั้งพรรคใหม่ ชื่อว่า พรรคซีโลต แปลว่า พรรคสงคราม ซึ่งมีหน้าที่ทำสงครามปลดแอกตนเองจากโรมัน

        ขณะเดียวกัน พวกที่เห็นว่า สงครามจะเป็นภัยใหญ่หลวงแก่ยิว ก็รวมตัวกันตั้งพรรคใหม่ ชื่อว่า พรรคสันติภาพ เพราะมีนโยบายปลดแอกด้วยสันติวิธี เหตุที่ยิวรวมตัวกันครั้งใหญ่นี้ เกิดขึ้นเพราะหลังจากที่โรมันเข้าตีประเทศของยิว และปกครองยิวมา 3 ปี

มีขุนนางโรมันชื่อ ฟลอรัส กำกับราชการอยู่ที่เมืองยูดาห์ มีความประพฤติชั่วร้าย เมื่อเมามายก็เข้าไปในวิหารฉุดเสื้อในการพิธีของพระยิวองค์หนึ่ง แล้วด่าทอศาสนายูดายของยิวด้วยคำหยาบคาย รวมทั้งได้บังคับจะเอาเงินศาสนสมบัติจากวิหารพระยะโฮวาในกรุงเยรูซาเล็ม ไปใช้ส่วนตัวถึง 17 ตาเลนท์ทองคำ (คิดเป็นเงินไทยราว 17 ล้านบาท)

โดยจุดเริ่มต้นนี้ ทำให้ยิวโดยพรรคซีโลต ได้เข้าโจมตีที่ตั้งทหารโรมันนอกกรุงเยรูซาเล็มทันที ทำให้ทหารโรมันหนีไป จากข่าวนี้แพร่กระจายไป ทำให้ยิวทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาทั่วปาเลสไตน์ เพื่อต่อสู้กับศัตรูคนเดียวกัน ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในสมัยนั้นอย่างไม่กลัวตาย

        แม้ว่า ยิวจะสู้รบกับโรมันชนิดถอนรากถอนโคน แต่อย่างไรเสีย ยิวซึ่งเป็นน้ำน้อย ก็ย่อมแพ้ไฟไปในการสงคราม ด้วยอำนาจและกำลังพลของโรมันที่มีเหนือยิว จึงทำให้ยิวต้องพ่ายแพ้สงคราม และจากความพ่ายแพ้นี้ ทำให้ยิวได้กระจายไปทั่วในราชอาณาจักรโรมัน แต่ยิวก็ยังไม่ยอมรับโรมัน

ด้วยเหตุที่ยิวคิดว่า โรมันนั้น เป็นคนที่ต่ำกว่าตนด้วยศีลธรรม ศาสนาและวัฒนธรรม ยิวไปถึงที่ไหน ก็ถือว่าตนอยู่ในฐานะทางจิตใจที่สูงกว่าโรมันที่นั่น เหมือนกับคนเจริญไปอยู่ในหมู่คนป่า ซึ่งมีจำนวนมากกว่า มุ่งหน้าแต่จะรักษาศาสนา ศีลธรรมและวัฒนธรรมของตนไว้ ไม่ยอมให้โรมัน มาทำให้สิ่งเหล่านี้แปรปรวนและเสื่อมทรามลงไป

        สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดกำลังใจแก่ยิว ที่เห็นว่า ตนอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าโรมัน ในความเป็นมนุษย์ด้วยกันนั่นคือ โรงธรรมเล็กๆ ที่โยคะนันท์ ซึ่งเป็นศักยกายะนักบวชของยิว ที่ได้รับอนุญาตจากโรมันให้เปิดโรงธรรมนี้ในเมืองยาบเนห์ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกฝังทางธรรมทางศาสนาไว้ในหัวใจของยิว ซึ่งไม่สอนให้แก้ปัญหาด้วยสิ่งอื่นที่อยู่นอกใจ

และแนวคิดของโรงธรรมนี้ ทำให้ยิวที่พบเห็นได้จำและนำวิธีการไปตั้งขึ้นในทุกประเทศที่ยิวไปถึง ซึ่งในภาษาฮิบรูว์ เรียกว่า เยชิวา มีผลเป็นแรงใจให้ชาวยิว และรักษาความเป็นยิวไว้ต่อมาได้อีกพันกว่าปี

อนึ่ง ด้วยความที่เนื้อหาของหนังสือเรื่องยิวที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้มีความต่อเนื่องกันทั้งประวัติศาสตร์ ความเกี่ยวพันของชนชาติต่างๆ หลายตอน จึงขออนุญาตไว้ ณ ที่นี้ ว่า จะเล่าเรื่องยิวต่อตอนที่ 3 ซึ่งจะเกี่ยวพันกับการดำรงชาติพันธุ์ของชาวยิวในยุคมืด โศกนาฏกรรมของยิว โดยฮิตเลอร์และการดำรงชาติพันธุ์ของชาวยิวจวบจนถึงปัจจุบัน

 

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

คุณอภินันท์ สิริรัตนจิตต์

สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ




Create Date : 11 มีนาคม 2558
Last Update : 11 มีนาคม 2558 7:47:40 น. 0 comments
Counter : 796 Pageviews.

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.