"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2558
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
5 ตุลาคม 2558
 
All Blogs
 
ถึงโตเกียวแล้วเลี้ยวเข้าเอะโดะ (1)

 

 

ถึงโตเกียวแล้วเลี้ยวเข้าเอะโดะ (1)
เซ็นโซจิ
       
ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
       Tokyo University of Foreign Studies


       
       ถึงโตเกียวต้องเที่ยวที่นี่
       
        ถ้านักท่องเที่ยวมาเมืองไทยแล้วไม่ได้ไปวัดพระแก้ว คนไทยอาจส่ายหน้าแล้วบอกว่า นั่นยังไม่ถึงกรุงเทพฯ แล้วถ้าใครไปโตเกียว ต้องไปเที่ยววัดไหนล่ะถึงจะได้ชื่อว่าไปถึงโตเกียว?
       
        คนญี่ปุ่นไม่ตั้งมาตรฐานทำนองนั้น แต่ถ้าลองเอาแนวคิดแบบไทยมาเทียบ คงจะมีอยู่วัดหนึ่งที่เข้าข่ายหลักการประเมินว่าเข้าถึงหรือเข้าไม่ถึงโตเกียว
       
        สถานที่แห่งนี้ ทีแรกผมว่าจะไม่...ไม่...ไม่ แต่แล้วก็อดไม่ได้
       
       ที่ว่า “จะไม่” คือ จะไม่เขียนถึงวัดนี้ เพราะไม่อยากเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน สำหรับที่นี่ดูเหมือนเป็นวัดที่ใครๆ ก็รู้จักอยู่แล้ว และทุกคนที่ไปโตเกียวก็ไปเที่ยวกันอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้องไปให้ได้ ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้น
       
       แต่พอมานั่งตรองอีก เมื่อเห็นนักท่องเที่ยวไทยหลายคนชอบถนนชอปปิงหน้าวัดมากกว่าที่จะรู้จักภูมิหลังของที่นี่ และเห็นว่าบางทีถ้าทราบมากกว่านี้อีกนิดการไปเที่ยวอาจมีคุณค่ามากขึ้น จึงเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า เล่ารวบยอดให้รู้จักไปทั้งแถบก็น่าจะดี จะได้รู้ว่าทำไมเมื่อไปแล้วจึงได้ชื่อว่า ‘ไปถึง’ โตเกียวตามดัชนีวัดพระแก้วของไทย
       
        วัดที่ว่านี้ไม่ไกลจากบ้านที่ผมเคยอยู่ ยังจำได้ดีว่า ตอนที่เหินฟ้าไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนนั้น หลังจากคืนที่เดินทางถึงญี่ปุ่นแล้ว ในวันรุ่งขึ้นก็ได้ไปวัดนี้ทันที โดยมี “โอะกาซัง” (お母さん;O-kāsan แปลว่า “แม่” ในที่นี้หมายถึงคุณแม่อุปถัมภ์) พาไป พร้อมกับลูกสาว 2 คนของครอบครัว
       
       โอะกาซังพานั่งรถไฟสายโทบุจากสถานีแถวบ้านไปแค่ 4 สถานี เราลงที่สถานีที่ใกล้วัดที่สุด โดยที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าวัดนี้ดัง แต่สังเกตจากผู้คนที่เดินมุ่งสู่วัดโดยหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย จึงพอจะเดาได้ว่านอกจากเป็นที่ไหว้พระแล้ว วัดนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อด้วย
       
       “เวลาไปมหาวิทยาลัย ต้องมาต่อรถไฟที่สถานีนี้นะ” โอะกาซังสอนผม ซึ่งได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ทำ ‘เสมือน’ ว่าเข้าใจทุกอย่างทั้ง ๆ ที่เป็นการชมโตเกียวรอบปฐมทัศน์ในชีวิต
       
       “สถานีนี้ชื่อว่า อะซะกุซะ” โอะกาซังบอกชื่อสถานีที่เรามาลง
       
       “A-SA-KU-SA” ผมทวนชื่อ ‘อะซะกุซะ’ ทีละพยางค์
       
       “จากที่นี่ ต่อรถไฟใต้ดินสายกินซะไปสถานีนิฮมบะชิ แล้วต่อสายโทไซไปสถานีวะเซะดะ” โอะกาซังหยุดนิดหน่อย คงค้นหาสัญลักษณ์ในแววตาผมที่บอกว่าเข้าใจ พอเห็นท่า ‘เสมือน’ ว่าเข้าใจของผมแล้ว คำอธิบายที่เหลือจึงตามมาอีก “จากที่บ้านเราถึงวะเซะดะ รวมเวลาเดินด้วย ก็ประมาณชั่วโมงเศษ”
       
       จำไม่ได้หรอกครับ...ชื่ออะไรก็รู้ ฟังไม่คุ้นหู นอกจากอะซะกุซะกับวะเซะดะซึ่งเป็นชื่อมหาวิทยาลัยของตัวเองแล้ว ชื่อที่เหลือกลายเป็นอากาศธาตุผ่านหูไปอย่างไม่มีอะไรตกค้างให้เก็บมาเชยชมได้ ตอนนี้มานั่งนึกย้อนดูแล้วรู้สึกขำตัวเองที่วันนั้นจำชื่ออะไรแทบไม่ได้เลยจนต้องถามย้ำกับโอะกาซังอีกหลายครั้ง
       
       หลังจากฟังคำอธิบาย จึงเข้าใจจุดประสงค์ของการออกจากบ้านวันนั้นแล้วว่า เป้าหมายหลักไม่ใช่การไปวัด แต่เป็นการสอนวิธีขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น แต่ในเมื่อไปถึงตรงนั้นแล้ว เป้าหมายรองของพวกเราจึงได้รับการบรรจุไว้ด้วย และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้รู้จักวัดนี้ซึ่งเป็นวัดแรกสุดในญี่ปุ่นที่ตัวเองได้ไป
       
       โอะกาซังพาเดินออกจากสถานีอะซะกุซะ แล้วมุ่งไปทางวัด พวกเราเดินอยู่ภายในบริเวณวัด ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อไปกับผู้ใหญ่ ย่อมเป็นการชมทิวทัศน์แบบผู้ใหญ่ การจะไปซอกแซกมุมโน้นมุมนี้ของวัดอย่างที่ผมอยากทำจึงไม่เหมาะ

หลังจากวันนั้น ผมจึงหมั่นเดินเข้าออกที่นี่ กลายเป็นที่มาของการไปเยือนวัดนี้ไม่ต่ำกว่าสามสิบครั้ง แต่จะแปลกอะไรในเมื่อสถานีอะซะกุซะคือสถานีทางผ่านซึ่งผมจะต้องต่อรถไฟอีกขบวนเพื่อไปเรียน วันไหนกลับเร็วก็แวะเถลไถลที่วัด วันไหนเบื่อ ๆ ก็แวะวัด วันไหนขัดอกขัดใจ ก็เข้าวัด ฟังดูเหมือนธรรมะธัมโม แต่แท้จริงคือเข้าไปเดินเล่น
       
       พูดถึงวัดมาจนกระทั่งถึงบรรทัดนี้ ยังไม่ได้บอกเสียทีว่าวัดชื่ออะไร...
       
       ผมถือเคล็ด (ส่วนตัว) ว่าจะเขียนคำว่า “วัด” ยี่สิบเก้าครั้งนับจนถึงคำล่าสุดเมื่อกี้ แล้วจึงจะเอ่ยชื่อ ถือเป็นคาถาบูชาความศักดิ์สิทธิ์อะไรบางอย่าง

ถึงโตเกียวแล้วเลี้ยวเข้าเอะโดะ (1)
เซ็นโซจิ

       

 ได้ฤกษ์แล้ว...จึงขอประกาศว่า ชื่อของสถานแห่งนี้คือ “เซ็นโซจิ” (浅草寺;Sensō-ji) หรือวัดเซ็นโซ (寺;ji [หรือถ้าตัวอักษรนี้อยู่โดด ๆ จะอ่านว่า tera] หมายถึง วัด)
       
       อันที่จริง โตเกียวไม่มีโบราณสถานโด่งดังให้นักท่องเที่ยวชมกันสักเท่าไร เมื่อพูดถึงโตเกียวใครๆ ก็เห็นแต่ภาพความเป็นเมืองที่มีคนพลุกพล่าน มีแหล่งชอปปิง และความทันสมัย แต่ในภาพลักษณ์ที่อ่อนด้อยด้านสถานที่โบราณของโตเกียว

วัดที่มีชื่อเสียงที่สุด และมีคนไปเที่ยวมากที่สุด คือเซ็นโซจิในย่านอะซะกุซะที่โอะกาซังพาผมไปนั่นเอง นอกจากเป็นวัดแรกในญี่ปุ่นที่ผมได้ไปแล้ว ยังเป็นที่ที่ผมอธิษฐานทั้งๆ ที่เพิ่งมาญี่ปุ่นได้แค่สองวันว่า “ขอให้ได้กลับมาญี่ปุ่นอีก”

ศักดิ์สิทธิ์เท่าใดผมไม่กล้ายืนยัน แต่ภายหลัง สิ่งที่เกิดคือ เมื่อโครงการแลกเปลี่ยนจบลง สองปีให้หลังผมได้ทุนและกลับไปญี่ปุ่นอีกในฐานะนักศึกษาปริญญาโท
       
       เดอะโคมแอนด์ไอ
       
        ตอนเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน ผมผ่านอะซะกุซะสัปดาห์ละ 5 – 6 วัน ความตื่นเต้นย่อมเป็นไปตามกฎการลดลงของอรรถประโยชน์ แต่ความคุ้นเคยเพิ่มขึ้นตามกฎของอุปทานด้านเวลา

เมื่อยิ่งนานทำให้ยิ่งคุ้น ต่อมาจึงได้รู้ว่าเซ็นโซจิที่ตัวเองไปสักการะอยู่บ่อยๆ นั้น ไม่ใช่วัดที่มีพระพุทธรูปสายพระพุทธโคดมเป็นประธาน แต่เป็นวัดของพระโพธิสัตว์กวนอิม และเป็นวัดในพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ดีข้อหนึ่งสำหรับการไปเที่ยว
       
        เซ็นโซจิมีตำนานการก่อตั้งว่า เมื่อ พ.ศ.1171 ชาวประมงสองพี่น้องพบรูปหล่อพระโพธิสัตว์กวนอิมติดตาข่ายของพวกตนขึ้นมาตอนที่หาปลาอยู่ในแม่น้ำซุมิดะซึ่งอยู่ใกล้ ๆ วัด หัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเลื่อมใสศรัทธาความศักดิ์สิทธิ์ ได้นำบ้านของตัวเองมาแปลงเป็นวัดเพื่อประดิษฐานรูปหล่อเจ้าแม่กวนอิม

วัดนี้ถึงได้มีอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดอะซะกุซะคันนง” (観音;Kannon หมายถึง เจ้าแม่กวนอิม) คงด้วยเหตุนี้คนไทยจำนวนไม่น้อยจึงเรียกอีกชื่ออีกอย่างหนึ่งด้วยว่า “วัดแคนนอน” ซึ่งเป็นชื่อยี่ห้อโด่งดังระดับโลก

แต่ที่มาของการเรียกชื่อวัดแบบนี้ก็ไม่ได้ไกลห่างจากต้นกำเนิดของยี่ห้อนี้แต่อย่างใด เพราะชื่อยี่ห้อ “แคนนอน” นั้นมาจากคำว่า “คันนง” จริง ๆ (ยุคแรกที่ก่อตั้งบริษัทเขียนว่า KWANON)


ถึงโตเกียวแล้วเลี้ยวเข้าเอะโดะ (1)
ภาพการหว่านแหติดรูปหล่อเจ้าแม่กวนอิม (จากม้วนภาพต้นกำเนิดเซ็นโซจิ)

       

 ว่ากันว่ารูปหล่อนั้นมีขนาดราว 5-6 เซนติเมตรและไม่เคยนำออกมาเปิดเผย จึงไม่มีใครรู้ว่าของจริงเป็นอย่างไร หลังจากเซ็นโซจิสร้างเสร็จแล้ว ได้ถูกไฟไหม้หลายครั้ง และมีการบูรณะขึ้นใหม่ให้แข็งแรงในสมัยคะมะกุระ (鎌倉;Kamakura; พ.ศ. 1728 – 1876) วัดนี้เป็นที่เลื่อมใสมาตั้งแต่โบราณ มีโชกุนและซะมุไรมาสักการะมากมาย
       
        เมื่อมาถึงหน้าวัด ทุกคนจะสะดุดตากับประตูใหญ่ที่มีโคมขนาดยักษ์ห้อยอยู่ ผมรู้สึกว่าประตูนี้ดังกว่าวัดเสียอีก ใคร ๆ ที่มาก็อดถ่ายรูปกันไม่ได้จนประตูกลายเป็นสัญลักษณ์ของวัดไปเรียบร้อยแล้ว ประตูนี้มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “ฟูไรจิมมง” (Fūraijin-mon)

โคมด้านที่หันเข้าสู่ตัววัดมีชื่อประะตูเขียนเป็นตัวอักษรญี่ปุ่นว่า風雷神門 หมายถึง “ประตูแห่งเทพเจ้าสายลมและสายฟ้า” (風 = สายลม, 雷 = สายฟ้า, 神 = เทพเจ้า, 門 = ประตู) ชื่อนี้ตั้งตามชื่อเทพที่ประดิษฐานตั้งตระหง่านอยู่สองข้าง จากด้านนอกเมื่อหันหน้าหาประตู ทางขวาคือเทพเจ้าสายลม

 ส่วนทางซ้ายคือเทพเจ้าสายฟ้า ทั้งสององค์สู้อุตส่าห์ยืนพิทักษ์ประตูอยู่ด้วยกัน แต่ครั้นจะเอ่ยนามก็บังเกิดความไม่ยุติธรรม เพราะประชาชนจำชื่อเต็มของประตูไม่ได้ หรือไม่ค่อยทราบกัน

ปัจจุบันคนทั่วไปเรียกประตูนี้กันว่า “คะมินะริ-มง” (雷門; Kaminari-mon) ซึ่งถือว่าเป็นชื่อสามัญตามที่เขียนติดอยู่ด้านหน้าของโคม เมื่อเป็นอย่างนี้ก็น่าน้อยใจแทนเทพเจ้าสายลม เพราะชื่อเรียกแบบนี้หมายถึง “ประตูแห่งสายฟ้า” อย่างเดียวไม่เกี่ยวกับลม


ถึงโตเกียวแล้วเลี้ยวเข้าเอะโดะ (1)
ด้านในของโคมยักษ์เขียนชื่อเต็มของประตูไว้ว่า “ฟูไรจิมมง”
       

ถึงโตเกียวแล้วเลี้ยวเข้าเอะโดะ (1)
ด้านหน้าของโคมเขียนชื่อประตูไว้ว่า “คะมินะริมง”

       

 ประตูคะมินะริสร้างเมื่อ พ.ศ. 1485 แล้วบูรณะไปตามกาล ส่วนโคมที่เห็นอยู่ใต้ประตูนั้นไม่ได้มีมาตั้งแต่โบราณ แต่เริ่มเอามาแขวนเมื่อ พ.ศ. 2503 คนญี่ปุ่นอาจจะมองว่าโคมนี้คือของถวายแด่เทพเจ้าตามธรรมดา แต่ถ้าคิดตามความเข้าใจของคนไทยอย่างผม โคมนี้คือของแก้บน

เพราะคนที่นำมาถวายได้ไปขอพรที่วัดนี้ให้ตัวเองหายป่วย พอคำขอสัมฤทธิ์ผลตามปรารถนา จึงซื้อโคมมหึมาไปถวาย ถ้าใครได้เห็นโคมของจริง ต้องทึ่งแน่ ๆ เพราะมีขนาดใหญ่โตมาก สูง 4 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 3.4 เมตร หนักประมาณ 670 กิโลกรัม

ขนาดใหญ่โตถึงเพียงนี้ ผู้ที่ถวายต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้า ทว่าคงจะถวายไม่ได้แน่ถ้ามีแค่ศรัทธา เงินตราก็จำเป็นต้องมีมหาศาลเช่นกัน
       
        ผู้ที่นำมาถวายหลังจากขอพรแล้วหายป่วยคือบุคคลที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักกันดี ชื่อโคโนะซุเกะ มัตสุชิตะ (松下幸之助; Matsushita, Kōnosuke) มัตสุชิตะเป็นบุคคลที่ชาวญี่ปุ่นยกย่องมากคนหนึ่งและยังดังถึงระดับโลกด้วย เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทมัตสุชิตะ อิเล็กทริก อินดัสเทรียล (Matsushita Electric Industrial Co., Ltd.)

ชื่อนี้คนไทยจำนวนมากอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อเครื่องเสียงยี่ห้อ Technics, เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อเนชั่นแนล หรือพานาโซนิคแล้ว เชื่อแน่ว่าคงร้องอ๋อ สามยี่ห้อนี้เป็นส่วนหนึ่งที่บริษัทมัตซูชิตะฯ ผลิต
       
        โคมลูกปัจจุบันที่แขวนอยู่นี้ บูรณะแล้วเมื่อปี 2546 ใครอยากจะโพสท่างาม ๆ กับโคมนี้ให้ดูเหมือนมีแค่ ‘โคมกับฉัน’ โปรดไปวันธรรมดา อย่าได้ไปวันเสาร์อาทิตย์เด็ดขาด มิฉะนั้นท่านอาจได้หน้าตานานาชาติของใครก็ไม่รู้มาอยู่ในรูปด้วย


ถึงโตเกียวแล้วเลี้ยวเข้าเอะโดะ (1)
“คะมินะริมง” เป็นจุดถ่ายรูปสำคัญของนักท่องเที่ยว

 

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์

จันทรวารสิริสวัสดิ์ค่ะ    




Create Date : 05 ตุลาคม 2558
Last Update : 5 ตุลาคม 2558 7:31:41 น. 0 comments
Counter : 657 Pageviews.

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.