เมื่อเข้าใจภาพการเคลื่อนไหวของราคาแล้ว ปัญหาต่อมาคือทำอย่างไรเราจึงจะสามารถมองเห็น "แกนพื้นฐาน" "กรอบแห่งความโลภ" และ "กรอบแห่งความกลัว" ได้ เพราะในความเป็นจริงสิ่งที่เราสามารถมองเห็นได้มีเพียงแค่ "เส้นราคา" เท่านั้น
ศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสำหรับการลงทุน
1. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อให้เราสามารถประเมินได้ว่าราคาที่เหมาะสมของกิจการนั้น ๆ ควรอยู่ที่ระดับใด กล่าวคือทำให้เราสามารถมองเห็น "แกนพื้นฐาน" ได้นั่นเอง
2. การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค เพื่อให้เราสามารถประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของ "ความโลภ" และ "ความกลัว" โดยใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อช่วยประเมินภาพ "นามธรรม" ให้เป็น "รูปธรรม" เพื่อสะดวกต่อการสังเกต เช่น การหาแนวรับ/แนวต้าน การหาจุดกลับตัวของราคา จุดที่มีการซื้อมากเกินปกติ (โลภ) หรือขายมากเกินปกติ (กลัว)
3. จิตวิทยาการลงทุน ใช้เพื่อช่วยให้มองเห็น "กรอบแห่งความโลภ" และ "กรอบแห่งความกลัว" คือประเมินได้ว่าสถานการณ์ใดที่คนส่วนใหญ่เกิดความโลภหรือกลัวมาก ๆ ซึ่งอาจเป็นจุดที่เราใช้ตัดสินใจในการ "ซื้อ" หรือ "ขาย" และเป็นจังหวะที่เรามีโอกาสได้ราคาที่ "ได้เปรียบ" กว่าคนส่วนใหญ่
4. การบริหารความเสี่ยง ใช้เพื่อรักษาเงินทุนให้อยู่ในระดับของความเสียหายที่เราสามารถยอมรับได้ เนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้นเมื่อการตัดสินใจที่ผิดพลาดเกิดขึ้น การเลือก action (ซื้อหรือขาย) ให้เหมาะสมกับทิศทางของราคาย่อมดีกว่าการอยู่เฉย ๆ แล้วปล่อยให้เกิดความเสียหายกับเงินทุนจนเกินกว่าขอบเขตที่ยอมรับได้ ซึ่งถ้าไม่มีการบริหารความเสี่ยง การลงทุนให้ประสบความสำเร็จก็เป็นเรื่องที่ยาก
5. หลักธรรมสำหรับการลงทุน ใช้เพื่อควบคุมกิเลส "ความโลภ" "ความโกรธ" และ "ความกลัว" (มาจากความหลง คือความไม่รู้) อันเป็นสาเหตุของความผิดพลาดในการลงทุน เมื่อการเคลื่อนไหวของราคาอยู่ภายใต้อิทธิพลของ "กิเลส" ดังนั้นการศึกษาหลักธรรมเพื่อนำมาประยุกต์ใช้จึงถือเป็น "หัวใจ" สำคัญประการหนึ่งในการลงทุนให้ประสบผลสำเร็จ