อ่านเที่ยวลาว 1 : หนาวหมอก หยอกทุ่งไหหิน ณ ถิ่นเซียงขวาง อ่านเที่ยวลาว 3 : ออนซอนหลวงพระบาง ๒
คราวที่แล้วเราเดินทางขึ้นสู่แขวงเซียงขวาง เพื่อไปชมทุ่งไหหินกัน และพักที่นั่น 1 คืน ก่อนเดินทางมาหลวงพระบางและจบบล๊อกตรงสามแยกภูคูณกัน
วันนี้จะพาเดินทางต่อจากคราวที่แล้ว โดยใช้เส้นทางหมายเลข 13 จากพูคูณสู่หลวงพระบาง เส้นทางช่วงนี้ยังเป็นเขตที่มีภูเขาสูงชันเหมือนเดิม วันนี้เราเจออุบัติเหตุรถตากเขากำลังมีคนมาดูกันอยู่ แต่เราไม่จอดหรกเพราะว่ามีคนมาดูกันเยอะแล้ว ... ที่ว่ามาดู ก็คงไม่ผิดนัก เพราะบริเวณที่รถตกลงไปนั้นสูงมากครับ |
กิ่วกระจำ ที่พักรถและทานอาหารระหว่างภูคูณ - หลวงพระบาง
เส้นทางจากภูคูณ - หลวงพระบาง
วันนี้ผมขึ้นหัวบล๊อกซะแปลก (สำหรับคนที่ไม่ใช่คนที่เกิดในอีสาน) "ออนซอน หลวงพระบาง ๑" หลายท่านคงจะสับสนในความหมายของคำนี้ "ออนซอน" งั้นเรามาเล่าภาษาอีสานวันละคำกันดีกว่า
ผู้รู้บางท่านให้คำอธิบายว่า "ออนซอน" หมายถึง งาม; เพราะพริ้ง, ซาบซึ้งตรึงใจ. (เพี้ยนมาจาก อรชร) ออนชอน.= อรชร แต่ผมเองมองว่า คำว่า "ออนซอน" ในภาษาอีสาน น่าจะแปลว่า น่ารัก น่าชื่นชม น่าอิจฉา เช่น เป็นตาออนซอนลูกเพิ่นแท้ เรียนเก่ง สอบเข้าหยังกะได้ เป็นต้น ความหมายในภาษากลางก็คือ "น่าชื่นชมลูกเขานะ เรียนเก่ง สอบเข้าอะไรก้ได้" .... ฉะนั้นบล๊อกนี้จึงเป็นบล๊อกชื่นชม หลวงพระบาง ครับ |
วิวเมือหลวงพระบางยามใกล้ค่ำ (จากพระธาตุพูสี)
ออกเดินทางจากภูคูณ ซึ่งเป็นสามแยกชุมทางที่เส้นทางหมายเลข 7 มาบรรจบกับเส้นทางหมายเลข 13 เพื่อจะเชื่อมต่อไปยังหลวงพระบางและแขวงทางเหนือตามลำดับ .. ผ่านกิ่วกระจำที่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่รถจะมาจอดพักเพื่อเข้าห้องน้ำและทานอาหารกัน
ที่นี้มีร้านอาหารใหญ่ๆอยู่หลายร้าน ส่วนใครจะเข้าห้องน้ำก็แพงหน่อยนะ คือ 2000 กีบ ด้านหลังห้องอาหารเหล่านั้น ถ้าเดินออกไปดู จะเห็นวิวทิวเขาสลับซับซ้อนสวยงามครับ |
สภาพทั่วไปโรงแรมวันซะนะหลวงพระบาง
ที่หลวงพระบาง เราจองโรงแรมผ่าน Agoda มา ได้โรงแรมวันซะนะหลวงพระบาง อยู่ใกล้ๆบริเวณแหล่งท่องเที่ยวนั่นแหละครับ แต่มาถึงกว่าจะหาเจอก็นานพอดูครับ เพราะไปแอบบอยู่ในถนนเล็กๆ และป้ายหน้าโรงแรมก็ไม่มีไฟ
สภาพห้องพักถือว่าใช้ได้ครับสำหรับโรงแรมระดับ 3 ดาว มีของใช้ครบ รวมทั้งแปรงและยาสีฟันด้วย ติดห้องที่เราพักเป็นสระว่ายน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างอาคาร บริเวณภายใน จัดไว้ดีพอควร ... เราเก็บของเสร็จก็ออกไปหาข้าวเย็นทาน วันนี้ได้ร้านถูกใจแถวๆปากน้ำคาน ตกแต่งร้านคล้ายๆสวนอาหาร เดินทางมาเหนื่อยๆ วันนี้เบียร์ดำลาวหมดไปหลายขวดเหมือนกัน |
วิวที่ร้านอาหารริมน้ำคาน
หลวงพระบาง
หลวงพระบางเป็น 1 ใน 6 แขวงภาคเหนือของประเทศลาว ซึ่งประกอบไปด้วย หลวงพระบาง, อุดมไซ, ไซยะบุรี, พงสาลี, หัวพัน, บ่อแก้ว หลวงพระบางถือเป็นแขวงเอกที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่สุดแขวงหนึ่งของประเทศ เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน การเดินทางไปยังแขวงอื่นๆ ในภาคเหนือ จะต้องมาผ่านเมืองหลวงพระบางแทบทั้งสิ้น หลวงพระบาง ประกอบไปด้วยเมืองบริวารทั้งหมด 12 เมือง คือ เมืองหลวงพระบาง, เมืองจอมเพชร, เมืองเชียงเงิน, เมืองนาน, เมืองปากอู, เมืองน้ำบาก, เมืองงอย, เมืองปากแซง, เมืองโพนไซ, เมืองเวียงคำ, เมืองพูคูน และเมืองโพนทอง สภาพภูมิประเทศ: โอบล้อมด้วยหุบเขารอบด้าน มีความสูงประมาณ 1,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีแม่น้ำโขง, แม่น้ำคาน และแม่น้ำอู เป็นสายน้ำหลักไหลผ่าน สภาพภูมิอากาศ: หลวงพระบางต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆ ของลาว เนื่องจากถูกขนาบล้อมด้วยหุบเขาล้อมด้าน ทำให้ค่อนข้างอับฝน ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ถูกเทือกเขาหลวงพระบาง ซึ่งกั้นพรมแดนไทย-ลาวยาวจากเพชรบูรณ์ถึงน่านสกัดไว้ ส่วนฝนจากอ่าวตังเกี๋ยก็ถูกเทือกเขาอันนำตรงพรมแดนลาว-เวียดนามกำบังอยู่เช่นกัน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตลอดปีของหลวงพระบางจึงมีเพียง 100 150 มิลลิเมตรเท่านั้น
เนื้อที่: 16,875 ตารางกิโลเมตร (6,516 ตารางไมล์) ประชากร: หลวงพระบางมีประชากรประมาณ 408,800 คน ร้อยละ 40 เป็นลาวลุ่ม ร้อยละ 46 เป็นกลุ่มลาวเทิง และร้อยละ 14 เป็นลาวสูง ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 60,000 คน หลวงพระบางถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของความเจริญในภาคเหนือของประเทศลาวในทุกๆ ด้านเช่น ด้านการศึกษา ถือเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของภาคเหนือ มีมหาวิทยาลัยแห่งชาติสุพานุวง, วิทยาลัยกฎหมายภาคเหนือ, วิทยาลัยการเงิน-การธนาคารเขตภาคเหนือ, โรงเรียนแพทย์และพยาบาล, วิทยาลัยครู, วิทยาลัยการช่าง (สารพัดช่าง) ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงพระบางทั้งสิ้น
ด้านท่องเที่ยว เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวของภาคเหนือ เนื่องจากเป็นเมืองมรดกโลก จึงทำให้หลวงพระบาง เป็นเมืองที่มีการเติบโตทางด้านธุรกิจการท่องเที่ยวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศลาว ด้านการคมนาคมขนส่ง เป็นเมืองศูนย์กลางการคมนาคม และขนส่งที่สำคัญของภาคเหนือประเทศลาว
หลวงพระบางเมืองมรดกโลก
องค์การยูเนสโกประกาศให้เครดิตกับเมืองหลวงพระบางว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักรักษาที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Best Preserved City in South East Asia) เมื่อครั้งที่มีการสำรวจเบื้องต้นในปีพ.ศ. 2533 2538 และได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชีรายชื่อ เมืองมรดกโลก (World Heritage Town) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2538 มีการจัดทำแผนให้เงินทุนสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ และองค์กรอิสระอื่นๆ หลายองค์กร จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541
หลวงพระบางเมืองที่อดีตยังอยู่กับปัจจุบัน
Marthe Bassene สตรีชาวฝรั่งเศสนางหนึ่งเคยเขียนถึงเมืองหลวงพระบางไว้ในนิตยสารเมื่อปี พ.ศ. 2452 ว่า "โอ้.. ประเทศนี้ปกป้องสรวงสวรรค์แห่งความสุขในอุดมคตินี้เอาไว้ได้อย่างไร จากกระแสโลก จากความก้าวหน้าและความทะเยอทะยานในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ! หลวงพระบางจะอยู่ในศตวรรษแห่งวิทยาการ, ผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างรวดเร็ว, ชัยชนะของเงิน, นักฝันคนสุดท้าย, คู่รักคู่สุดท้าย และจินตกวีคนสุดท้ายได้หรือ"? กว่าหนึ่งศตวรรษผ่านไป หลวงพระบางยังคงสภาพอย่างที่มันควรจะเป็นเอาไว้ได้ เมื่อมีสถานะเป็นเมืองมรดกโลก อาคารบ้านเรือน และสิ่งก่อสร้างทุกอย่างถูกดูแลเป็นอย่างดีโดยห้องว่าการมรดกโลกประจำเมือง ไม่ว่าจะดำเนินการก่อสร้าง หรือซ่อมแซมอาคารใดๆ ก็ตามในเขตเมืองเก่าจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติแบบแปลนจากหน่วยงานนี้ก่อนเสมอ อ่านเพิ่มเติม : //www.louangprabang.net/
เช้าวันที่ 8 ธันวาคม เรานัดรถให้พาเราไปตักบาตรเช้า โดยเราเตรียมสิ่งของตักบาตรไปจากประเทศไทยแล้ว เป็นอาหารแห้ง ส่วนกล้วยและข้าวต้มผัด (สั่งโรงแรมไม่ทัน) เราไปซื้อเอาที่บริเวณที่นักท่องเที่ยวไปรอตักบาตรนั่นแหละ แต่ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า ราคาจะแพงไปหน่อย เราเคยมาที่นี่ครั้งก่อนเมื่อปี พ.ศ. 2550 เราสั่งให้เขาจัดมาให้ชุดละ 40 บาท แต่คราวนี้เราซื้อจากแม่ค้า ชุดละ 120 บาท ไม่มีข้าวเหนียวอีกต่างหาก ... แต่ก้ไม่ว่ากันครับ เราตั้งใจมาทำบุญอยู่แล้ว. |
พระเณรออกบิณฑบาตรในตอนเช้า
"การตักบาตรเป็นประเพณีทางพุทธศาสนาของชาวหลวงพระบางและประเพณีนี้ได้กลายเป็นจุดดึงดูดสำหรับนักท่องเที่ยวทุกๆ คนที่มีโอกาสได้มาเยือนเมืองหลวงพระบางจนถือว่าเป็น Highlight สำคัญด้านการท่องเที่ยวไปโดยปริยาย อย่างไรก็ดีถ้านักท่องเที่ยวที่ไม่เข้าใจในวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ชาวหลวงพระบางปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา ก็อาจทำให้ประเพณีดังกล่าวเกิดความผิดเพี้ยนไปหรือมีการกระทำที่ไม่เหมาะสม จนอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียได้" |
เตรียมตัวตักบาตรกัน
หลักการปฏิบัติในการเข้าร่วมพิธีตักบาตรตอนเช้า
1. ควรเฝ้าดูการตักบาตรด้วยความสำรวมและหากต้องการจะเข้าร่วมในพิธีการดังกล่าวจะต้องเกิดจากพื้นฐานของความศรัทธา และต้องปฏิบัติด้วยความเคารพอย่างแท้จริง
2. ควรซื้ออาหารจากแม่ค้าที่ขายอยู่ในตลาดตอนเช้าและหลีกเลี่ยงการซื้ออาหารจากแม่ค้าที่มาวางขายตามฟุตบาทหรือที่เดินหาบขายตามหลังพระสงฆ์ หรือสามเณรเนื่องจากเป็นการกีดขวางและรบกวน(คำแนะนำ: วิธีที่สะดวกและง่ายที่สุดหากท่านไม่ทราบแหล่งซื้อท่านสามารถสั่งเฮือนพัก/โรงแรม ทุกแห่งที่ท่านใช้บริการให้เค้าเป็นผู้จัดเตรียมข้าวเหนียวและกระติ๊บใส่ข้าวให้ท่านล่วงหน้า)
3. หากท่านต้องการเพียงแค่เฝ้าชม พิธีการตักบาตร กรุณาอยู่ในจุดที่เห็นว่าเหมาะสมนั่นก็คือ จะต้องไม่เป็นการยืนในตำแหน่งที่พระสงฆ์หรือสามเณรเดินผ่านหรือกีดขวางผู้อื่นที่ต้องการทำบุญ
4.ไม่ควรถ่ายภาพพระสงฆ์หรือสามเณรในระยะประชิดจนเกินไปและหลีกเลี่ยงการใช้แฟลชในการถ่ายภาพในทุกกรณี (คำแนะนำ: ควรปรับค่า ISO ที่กล้องให้สูงขึ้นหากค่าความไวชัตเตอร์ที่ได้ต่ำเกินไป หรือใช้ขาตั้งกล้องช่วยในการถ่ายภาพ
5. การเข้าร่วมในพิธีการตักบาตรจะต้องแต่งกายสุภาพ สุภาพบุรุษควรสวมกางเกงขายาวและ สุภาพสตรีควรสวมกระโปรงหรือสวมผ้าซิ่น เสื้อของสุภาพสตรีจะต้องไม่เป็นเสื้อแบบเปลือยไหล่, เกาะอกหรือสายเดี่ยวและห้ามสวมกางเกงขาสั้นมาเข้าร่วมพิธีโดยเด็ดขาด
6. พระสงฆ์และสามเณรเป็นบุคคลที่อยู่ในศีลในธรรม ดังนั้นห้ามถูกเนื้อต้องตัวโดยเด็ดขาด
7. ห้ามนำรถโดยสารขนาดใหญ่เข้ามาวิ่งในเขตมรดกโลก (นั่นคือในตัวเมืองหลวงพระบางทั้งหมด) เพราะเป็นการกีดขวางการจราจร หากท่านต้องการเข้าร่วมในพิธีกรุณามาก่อนเวลาที่พระสงฆ์ และสามเณรจะเริ่มออกบิณฑบาต (ประมาณ05.30 น.) กรุณาอย่าขับรถตามขบวนของพระสงฆ์และสามเณรเพราะการนั่งอยู่บนรถ อาจทำให้ท่านอยู่สูงกว่าพระสงฆ์และสามเณรซึ่งชาวลาวถือว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อพระสงฆ์และสามเณร |
มีชาวบ้านเอามาขายด้วย
เสร็จจากการตักบาตรเช้า เราเข้าไปเดินดูชีวิตชาวหลวงพระบางในตลาดเช้า ซึ่งตลาดก็อยู่ใกล้ๆที่นักท่องเที่ยวไปตักบาตรเช้านั่นเอง ในตลาดที่นี่ก็คล้ายตลาดสดในต่างจังหวัดบ้านเรา แต่เน้นขายของกินประจำวัน พวกของสดต่างๆ เช่นปลาแม่น้ำโขงตัวใหญ่ๆ สดๆ ก็มีวางขาย รวมไปถึงสัตว์ป่าตัวเป็นๆมากมาย ที่เป็นไฮไลท์ของสินค้าที่วางขายในตลาดเช้า คือ "ไคแผ่น" หรือสาหร่ายน้ำจืดทำเป็นแผ่นแล้วตากแห้ง ซึ่งคนที่นี่นิยมทานกันมาก (คุณยายขายดอกไม้ที่ทางเข้าวัดเชียงทอง แกกินกับข้าวเหนียว) ... ถ้ายากรู้ว่าชาวบ้านที่นี่เขาอยู่กินกันอย่างไร ก็ให้มาดูที่นี่ได้เลยครับ |
ตลาดเช้าที่หลวงพระบาง
ซ้าย : ปิ้งกล้วยและจี่ข้าว ขวา : ไคแผ่น (ทาด้วยงา)
ซ้าย : ปู ขวา : ปลาสดๆจาแม่น้ำ
ร้านกาแฟประชานิยมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทย (อยู่ปากซอยเข้าตลาดเช้า)
จากตลาดเช้าเราแวะไปชมวัดเก่าแก่ของที่นี่ ซึ่งถ้ามาหลวงพระบางแล้ว ไม่ได้มาไหว้พระที่วัดเชียงทอง ก็เหมือนกับว่า มาไม่ถึงเมืองหลวงพระบางเลยก็ว่าได้ .... วัดเชียงทองตั้งอยู่ติดแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นท่าเรือที่ะไปถ้ำติ่ง |
วัดเชียงทอง
วัดเชียงทอง
เล่ากันว่าวัดนี้เป็นวัดเดียวที่ตอนรบกับฮ่อแล้วไม่โดนเผา สาเหตุก็มาจากว่า แม่ทัพของฮ่อเคยมาบวชที่นี่ แถมตอนยกทัพมาตีหลวงพระบาง ก็มาตั้งทัพที่นี่ด้วย ฉะนั้นความงดงามของวัดนี้จึงยังคงอยู่ครบถ้วน ใครที่มาเยือนเมืองหลวงพระบางถ้าไม่ได้มาชมความงามของวัดนี้ ถือว่ามาไม่ถึงเมืองหลวงพระบางเลยที่เดียว
วัดเชียงทอง ถือว่าเป็นตัวแทนศิลปะสกุลล้านช้างแห่งเดียวที่สมบูรณ์ที่สุด สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2102 2103 ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ลักษณะและสถาปัตยกรรมที่เห็นในปัจจุบัน ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ใน พ.ศ. 2471 และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรลาวได้ให้การอุปถัมภ์มากที่สุด ที่โดดเด่นที่สุดของวัด คือ สิม หรือ โบสถ์ ทั้งภายนอกและภายใน มีจิตรกรรมฝาผนังลายรดน้ำ ภายนอกเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ภายในเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน ผนังนี้ใช้วิธีการลงรักษ์ปิดทอง ที่ชาวลาวเรียกว่า พอกคำ
กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาว เมื่อเดินทางมาถึงวัดนี้สิ่งแรกก็คือการไปชมพระอุโบสถหรือที่ภาษาลาวเรียกว่า สิม แม้ขนาดจะดูไม่ใหญ่โตแต่ก็แสดงถึงสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ ด้วยหลังคาพระอุโบสถที่แอ่นโค้งซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น ลดหลั่นเกือบจรดฐานจนแลดูค่อนข้างเตี้ย
ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองซึ่งชาวลาวจะเรียกว่า ช่อฟ้า ประกอบด้วย 17 ช่อ อันมีความหมายว่าเป็น "สิม (หรืออุโบสถ) ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้น ส่วน สิม ที่คนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้าเพียง 1-7 ช่อเท่านั้น
เชื่อกันว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตรงกลางของช่อฟ้าเคยใช้เป็นที่เก็บของมีค่า ปัจจุบันเหลือเพียงช่องว่างเปล่าๆ ถัดมาที่ส่วนของหน้าบันมี โหง่ รูปร่างคล้ายเศียรนาคเป็นส่วนประดับตามคติธรรมทางพุทธศาสนาเมื่อเดินเข้าต่อมาที่ประตูพระอุโบสถจะสะดุดตากับลวดลายแกะสลักอันสวยงามเช่นเดียวกับที่หน้าต่าง
ที่จริงตรงกลางสันหลังคาสิมนั่นคือส่วนที่เรียกว่าช่อฟ้า ตามลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบลาว ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสิมที่แตกต่างจากช่อฟ้าของโบสถ์ในเมืองไทย ช่อฟ้าของลาวจะอยู่ที่ตำแหน่งนี้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสิมแบบไหนก็ตาม ส่วนตำแหน่งช่อฟ้าของไทย ลาวเรยกว่า โหง่ ครับ ช่อฟ้าลาวเป็นการจำลองจักรวาลตามคติของพุทธศาสนาครับ
รูปช่อฟ้าดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นภาพตัดของเขาพระสุเมรุและทิวเขาทั้ง 7 ซึ่งเป็นวงกลมล้อมรอบเขาพระสุเมรุที่อยู่สูงสุดตรงกลาง ทิวเขานี้มี 7 ชั้นเรียกว่าทิวเขาสัตตบริภัณฑ์หรือ สัตตะบูริพัน ในภาษาลาว เนื่องจากเป็นภาพตัดจึงเห็นด้านละ 7 ยอดเขาครับ ส่วนปลายทั้งสองด้านที่สูงใหญ่กว่ายอดเขาสัตตบริภัณฑ์นั้นเป็นกำแพงจักรวาลครับ ยอดเขาทั้งหมดมีปราสาทปรากฏอยู่แสดงว่าเป็นวิมานของเทพ
สังเกตดูให้ดีนะครับส่วนด้านล่างสุดของจักรวาลจะมีรูปปลาอานนท์รองรับอยู่ครับ
ไหว้พระด้านในสิม
ถัดจากสิมมาบริเวณด้านข้างและด้านหลังของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของวิหารเล็กๆ 2 หลัง จุดเด่นของวิหารด้านหน้าคือ ที่ผนังด้านนอกแต่ละหลังตกแต่งด้วยกระจกสีตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาต่อกันเป็นรูปร่างต่างๆ เล่าเป้นนิทานพื้นบ้านลงบนผนังสีชมพู ดูสวยงามน่ารักตามแบบฉบับชาวหลวงพระบางเลยทีเดียว วิหารหลังเล็กด้านข้างพระอุโบสถที่มีชื่อว่า วิหารแดง ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่งดงาม |
ซ้าย : จิตรกรรมฝาผนังลายรดน้ำ ขวา : วิหารแดง (ด้านในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์)
ด้านข้างวิหารแดง
ซ้าย : หอพระม่าน ขวา : โรงเมี้ยนโกศ
ส่วนวิหารด้านหลังพระอุโบสถคือ หอพระม่าน ภายในประดิษฐาน พระม่าน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ "พระบาง" จนหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นองค์เดียวกัน ในช่วงวันบุญขึ้นปีใหม่ของลาว (ช่วงวันสงกรานต์) จะมีการอัญเชิญ พระม่าน ลงมาเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำและกราบไหว้
ด้านหลังหอพระม่าน เป็นที่ตั้งของพระธาตุศรีสว่างวงศ์ ซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์และด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับรั้วเป็นโรงเก็บเรือใกล้กับริมแม่น้ำโขง
นอกจากนั้นในบริเวณวัดเชียงทองเมื่อท่านเดินเข้าไปทางด้านถนนโพธิสารราช ด้านขวามือจะต้องสะดุดตากับอาคารทรงโบราณมีลวดลายแกะสลักทาสีทองอร่ามขนาดใหญ่ซึ่งคนลาวเรียกว่า โรงเมี้ยนโกศ หรือเป็นโรงเก็บพระโกศ, พระราชรถ, ราชยานของเจ้าชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ. 2502 และได้สร้างโรงเมี้ยนโกศแห่งนี้ขึ้นในปีพ.ศ. 2505 ภายในมีลักษณะเป็นโถงกว้าง ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกเพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้ บริเวณกลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งของราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน มีพระโกศ 3 องค์ ตรงกลางเป็นโกศองค์ใหญ่
หลังจากที่ไหว้พระที่วัดเชียงทองแล้ว เราก็เดินทางต่อไปที่พิพิธภัณฑ์ หรือพระราชวังเก่า ที่เจ้ามหาชีวิตลาวเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ทางเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ (อยู่ตรงข้ามทางขึ้นวัดพระธาตุพูสี) เราจะเห็นอาคารคล้ายสิม หรือ โบสถ์ ตรงนั้นเรียกว่า "หอพระบาง" ครับ |
หอพระบาง ใกล้ๆพิพิธภัณฑ์
หอพระบาง
ภายในหอพระนี้เองเป็นที่ประดิษฐาน พระบาง ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง พุทธลักษณะของพระบาง เป็นพระพุทธรูปปางประทับยืนปางประทานอภัย ทั้งสองพระหัตถ์ หรือปางห้ามสมุทร เป็นศิลปะสมัยขอมหลังบายน มีน้ำหนักประมาณ 54 กิโลกรัม ประกอบด้วยทองคำ 90 เปอร์เซ็นต์ และในหอพระนี้ยังมีพระพุทธนาคปรก สลักศิลาอีกสี่องค์และยังมีกลองโบราณอยู่ด้วย ... ปัจจุบันทางการไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านใน ทั้งหอพระบาง และพิพิธภัณฑ์ครับ (อ่านเรื่องพระบางเพิ่มเติม)
พระบาง (ขอบคุณภาพจากเวบ)
|
กับต้นตาลอายุมากกว่าร้อยปี
อาคารพิพิธภัณฑ์ ข้างในห้ามถ่ายภาพ
พระราชวังหลวงพระบาง (พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง)
พระราชวังหลวงพระบาง เป็นอาคารแบบฝรั่งแต่หลังคาเป็นแบบทรงลาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง หันหน้าเข้าสู่พระธาตุพูสี ตัวพระราชวังเป็นหมู่อาคารเตี้ยๆชั้นเดียว ตั้งอยู่บนพื้นยกสูง มีความงดงามลงตัวของศิลปะยุคอาณานิคม ผสมกับศิลปะแบบล้านช้าง สภาพโดยรอบมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ไม่หนาจนเกินไป
ประวัติของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ สืบทอดต่อมาถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาว ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า การปลดปล่อย รัฐบาลลาวได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงมาเป็น หอพิพิธภัณฑ์ ในปี พ.ศ. 2519 หลังจากที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว |
ราชรถ ข้างหลังพิพิธภัณฑ์
ที่ตั้ง ถนนสักกะลิน ตรงข้ามทางขึ้นพระธาตุพูสี เปิดให้เข้าชมทุกวันยกเว้นวันอังคาร โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาคือ ตอนเช้า 8.00 น. - 11.30 น. ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคเช้าเวลา 11.00 น. ตอนบ่าย 13.30 น. - 16.00 น. ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคบ่ายเวลา 15.30น. ค่าธรรมเนียมการเข้าชม 30.000 กีบ
วีนนี้เที่ยวกันมาพอสมควร และบล๊อกก็ยาวมากแล้ว ขอจบตอนนี้ไว้แค่นี้ก่อนครับ เรื่องราวในหลวงพระบางยังมีอีกโปรดติดตาม
ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ
|
แม่ค้าขายผ้าที่ทางเข้าชมพิพิธภัณฑ์
________________
|
ที่อยากไปหลวงพระบาง เพราะเป็นเมืองมรดกโลกนี่ล่ะค่ะ วัดเค้างามนะคะ