....OUR FAMILY'S JOURNEY....
++ พาชม..สโตนเฮนจ์ บาธ และบริสโตล ในอังกฤษ ++



 



 
อ่านสองพ่อลูกขับรถตะลุยเกาะอังกฤษ : ตอนที่ 6 (หอนาฬิกากรีนีช และหอศิลป์ลอนดอน)
อ่านสองพ่อลูกขับรถตะลุยเกาะอังกฤษ : ตอนที่ 8 (เมืองเบอร์ตั้นออนเดอะวอเตอร์ และอ๊อกฟอร์ด)


 
ลังจากที่เที่ยวลอนดอนได้ 3 วัน วันนี้ก็ถึงเวลาที่เราสองคนต้องเดินทางออกต่างจังหวัด หรือต่างเมืองกันบ้างแล้ว จากวันนี้ 13 กรกฎาคม 2559 ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2559 ก็อีกหลายวันเหมือนกันที่เราจะตะลุยเกาะอังกฤษกัน ซึ่งแผนการเดินทางทั้งหมดรวมทั้งการเที่ยวในลอนดอนนี้ด้วย ได้เตรียมการมาจากบ้านเราเรียบร้อยหมดแล้ว ไม่ว่าการเช่ารถขับ การเช่าที่พักตามเมืองต่างๆ เหลือเพียงอย่างเดียวที่เราไม่รู้คือเวลาที่ต้องใช้เดินทางจริงๆ เพราะการวางแผนทั้งหมดเราใช้ Google Map วางเส้นทางครับ ฉะนั้นของจริงๆต่อไปนี้ต่างหากที่เราจะต้องเจอ ... สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดตลอดการเดินทาง คือ การตรงต่อเวลา และการเผื่อเวลาบ้างในบางโอกาสครับ



 

ที่พักย่าน Paddington


 
ตอนเราจองที่พักมา เราเลือกย่านแพดดิงตั้น เพราะ Express Train วิ่งมาจอดที่สถานีนี้ (จอดแค่ต้นทางที่สนามบินฮีตโทรว์เทอร์มินัล 3 และที่แพดดิงตั้น) Connect Train ก็มาที่นี่ แถมยังมี Underground Train หรือ Tube สาย Piccadilly ผ่านที่นี่ด้วย ส่วนรถนั่งชมเมืองอย่างเช่น Big Bus Tour sight seeing ก็ผ่านมาที่นี่ด้วย เลยทำให้ย่านนี้สะดวก นักท่องเที่ยวชอบมาพักแถวๆนี้กัน

ตอนเรามาจากสนามบินเราใช้บริการ Express Train ซึ่งสะดวกมาก ใช้เวลาเดินทางแค่ 15 นาทีเอง แต่ราคาก็แพงตามความสะดวกสบายด้วย คือ 21 ปอนด์/เที่ยว/คน ... วันนี้เราจะต้องกลับไปสนามบินอีกครั้ง เพื่อไปรับรถที่เราเช่าไว้กับบริษัท Easirent ผ่าน Rentalcars.com ที่โรงแรม Sheraton Skyline เราพอมีเวลาอยู่บ้าง เพราะนัดรับรถ 10.00 น. แต่ตอนนี้เพิ่ง 6.00 น.เอง (ตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะกลัวเรื่องการเดินทางไปสนามบิน)



 


 
เราเลือกกลับไปสนามบินที่ Heathrow Terminal 3 ด้วย Tube หรือรถไฟใต้ดิน (สาเหตุที่เขาเรียกทูบหรือทิ้วบ์ คงมาจากรถมันวิ่งอยู่ในรูคล้ายๆท่อมั๊งครับ แต่ก็มีเหตุผลนะ) รถไฟมาที่นี่มีหลายสาย หลายปลายทาง ต้องสังเกตุตัวหนังสือที่หน้ารถให้ดีว่าจะไปไหน และดูที่ป้ายในสถานีด้วยว่าสายที่เราจะไป อีกกี่นาทีจะมาถึง เขามีบอกหมด สะดวกครับ ... หรือถ้าขึ้นผิดพอถึงสถานีหน้าก็เปลี่ยนได้ อย่าเพิ่งออกจากสถานีครับ

รถที่จะไป Heathrow Airport ไม่ได้วิ่งใต้ดินตลอดนะครับ มีบางช่วงโผล่ขึ้นมาชมวิวด้วย ... ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีครับก็ถึงฮีตโทรว์แอร์พอร์ต วันนี้เราเลยไปลงเทอร์มินัล 5 (จากเทอร์มินัล 3 รถไฟต้องวิ่งลอดใต้สนามบินไปครับ ผู้โดยสารจากเทอร์มินัล 1 2 3 และ 4 จะไปเทอร์มินัล 5 ขึ้นฟรีครับ)



 

สถานีรถไฟใต้ดิน Paddington



 
พอถึงเทอร์มินัล 5 (ที่จอดของบริทิชแอร์) เราต้องลงไปชั้นล่าง เพื่อขึ้น shuttle bus ไปโรงแรม Sheraton Skyline โดยปกติเขาจะเก็บตังค์ค่าโดยสารคนละ 5 ปอนด์ แต่ถ้าไปพักหรือรับรถที่โรงแรมนี้จะฟรี แต่ต้องแจ้งคนขับเขาด้วย ส่วนการจ่ายตังค์ก็จ่ายเป็นเงินสด (ตอนแรกผมงงเหมือนกัน เขาออกเสียง "คาร์ช" ตามภาษาอังกฤษแท้ๆ..เราชอบใช้คำว่า "แคช" ตามภาษาเมกา) จ่ายให้คนขับนั่นแหละ พยามเตรียมสะตังค์ไว้ให้พอดีนะครับ ... สรุปแล้วการเดินทางไปโรงแรมเชอราตัน ไม่มีปัญหา ไปถึงก่อนกำหนดเสียอีก คือถึง 8.30 น.


 

Ford Fiesta Auto ที่เช่า


 
เราเดินไปที่เค้าน์เตอร์รับรถ และบอกเขาว่าเรามาถึงเร็วไปหน่อย ขอคุยเรื่องรถเลยได้ไหม เขาก็โอเคครับ เราเลยถามรายละเอียดต่างๆนอกเหนือจากสัญญาที่เราทำผ่านเนทมาจากเมืองไทย ซึ่งก็คือเช่ารถ 13 วัน ราคารวมแล้วประมาณ 18,xxx บาท โดยมีข้อกำหนดว่าแถมประกันชั้น 3 ให้ แต่เราต้องวางมัดจำเป็นเครดิตการ์ดไว้ก่อน 1250 ปอนด์ (GBP) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนแรกในกรณีที่เกิดเหตุ แต่ถ้าไม่มีอุบัติเหตุอะไร เขาก็จะไม่หักจากเรา...ง่ายๆคือหลักประกันว่างั้นเถอะ แต่ถ้าเราทำประกันเพิ่มแบบ Full Cover ก็ไม่ต้องวางเครดิตการ์ดนี้

เราเคยมีประสบการณ์ที่นิวซีแลนด์มาแล้วครั้งหนึ่ง คือขับไปรถไปเหยียบตาปูเข้าตอนที่เราแวะทะเลสาบแห่งหนึ่ง ทีนี่หาร้านซ่อมในวันหยุดยากมาก แถมเขาไม่ปะให้เลยแบบบ้านเรา โดยเขาจะต้องตรวจดูตวามแข็งแร็ง (strength) ของยางก่อนว่าเข้ามาตรฐานที่จะปะได้ไหม? พอเขาบอกว่าไม่ได้ เขาต้องเปลี่ยนให้เราใหม่ โดยที่เขาคุยกับบริษัทรถเช่าแล้วเรียบร้อย ค่ายาง + ค่าแรงแพงมาก 300 เหรียญนิวซีแลนด์ โชคดีที่เราทำประกันแบบ Full Cover ไว้ (ราคา 165 นิวซีแลนด์ดอลล่าร์) ..... พอนึกได้แบบนี้ เราเลยทำประกันแบบ Full Cover ก่อนรับรถ ซึ่งราคา 179 ปอนด์ (ต่อรองแบบสุดๆ กับหนุ่มชาวโปแลนด์ เลือกเอาบางตัวออกด้วย) อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการเช่ารถคือ Fuel Policy หรือนโยบายเกี่ยวกับน้ำมัน คือ บางบริษัทจะเป็นแบบ รับเต็มถังส่งคืนเต็มถัง หรือรับเต็มถังส่งคืนเป็นค่าน้ำมันเต็มถัง อันนี้อยู่ที่เราในการวางแผนนะครับ เราเลือกแบบหลังครับ


 


 
เรากรอกรายละเอียดในการเช่าเพิ่มเติม เช่นใบขับขี่สากลและสถานที่ติดต่อต่างๆ (ในการขับรถที่ประเทศอังกฤษ เราจำเป็นต้องมีใบขับขี่สากลด้วยนะครับ ซึ่งจะต้องใช้คู่กับใบขับขี่ของประเทศเรา ถ้าเป็นแบบสมาร์ทการ์ดจะดีมาก ส่วนการทำใบขัขี่สากลก็ทำไม่ยากครับ....ดูรายละเอียด การขอรับใบขับขี่ระหว่างประเทศ)

การขับรถในสหราชอาณาจักร ก็ขับแบบเดียวกับบ้านเราคือขับชิดซ้าย มีเพียงรายละเอียดเรื่องกฏจราจรที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย และการเข้าพื้นที่ชั้นในของเมืองใหญ่ๆ เช่นลอนดอนจะมีกฏหมายพิเศษและจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเมื่อเข้าไปในชั้นในของเมือง (โซนนิ่ง) เป็นต้น ส่วนอายุผู้ขับขี่เขาจะระบุไว้ที่ 25-70 ปี ถ้าเกินหรือต่ำกว่าต้องจ่ายค่าใบอนุญาตในการขับขี่เพิ่มด้วย

สิ่งหนึ่งที่อาจจะไม่คุ้นคือที่ห้ามจอด เขาจะตีเส้นเหลืองทึบไว้ที่ริมถนนนะครับ (บ้านเราคือขาว-แดง) ถ้าเจอเหลืองทึบคู่ ก็ห้ามจอดเด็ดขาดนะครับ อีกเรื่องที่เราไม่คุ้น คือการดริฟไฟใหญ่หน้ารถ ถ้าเป็นที่บ้านเราก็หมายถึง "ข้าฯจะไปก่อน" ส่วนที่สหราชอาณาจักรคือ "คุณไปได้" การแซงเขาจะไม่แซงทางซ้ายนะครับจะแซงทางขวาตลอด ฉะนั้นถ้าเราขับช้าควรชิดซ้ายเสมอ



 

แผนการเดินทางในวันที่ 13 กรกฎาคม 2016


 
มาดูแผนการเดินทางของเราในวันที่ 13 ก.ค. 2016 กันนะครับ หลังรับรถที่ Sheraton Skyline เรียบร้อยแล้วเราจะเดินทางสู่ Salisbury ต่อไปที่อนุสรณ์ Stonehenge ตามด้วยการไปชมเมืองเก่าสมัยโรมัน Bath และสุดท้ายไปค้างคืนที่เมือง Bristol ใกล้ๆกับ North Ireland ระยะทางทั้งสิ้น 126 ไมล์ หรือประมาณ 200 กม.


 

ลานจอดรถหน้า Stonehenge Office



 
จากแผนที่ด้านบน เมื่อเราขับผ่าน Salisbury แล้วก็เข้าไปที่ Stonehenge โดยเจ้า navigator หรือ GPS Garmin nuvi 57 LM ที่เรานำมาด้วยจากเมืองไทย และซื้อแผนที่ยุโรปเพิ่มเข้าไปและก็ใช้ได้ดีด้วย ไม่ค่อยจะพาหลงเท่าไหร่ (GPS ที่บริษัทรถเช่าจะค่อนข้างแพง คือ วันละ 10.5 GBP หรือ 525 บาท/วัน ถ้าคิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 50 บาท/ 1 GBP) ... แนะนำให้เอาไปด้วยครับ



 

เวลา และราคาเข้าชม



 
สโตนเฮนจ์อยู่ติดถนนที่เราขับผ่าน ออกจากถนนใหญ่ประมาณซัก 70 เมตรได้มั๊ง แต่ไม่มีที่ให้จอดรถแถวๆนั้น เราจำเป็นต้องขับเลยไปที่ลานจอด ซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้ไปอีกร่วม 2 กม และเลี้ยวเข้าไปในที่จอดรถอีก หลังจากนั้นต้องไปซื้อบัตรเข้าชมอีกคนละ 16.5 ปอนด์ (วันนั้นเราได้ราคานี้) .... ข้างๆจุดขายบัตรจะมีห้องอาหารและ gift shop ส่วนอีกด้านเป็นห้องจัดนิทัศน์การ...หลังซื้อบัตรเสร็จเราเลือกเข้าชมนิทัศน์การก่อน ซึ่งแสดงเรื่องราวต่างๆของสิ่งที่คาดการว่าสิ่งมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรในบริเวณโล่งๆแบบนั้น พร้อมทั้งการฉายภาพเรื่องราวต่างๆให้เราได้ชม .... เดินออกประตูไปจะเป็นหินก้อนใหญ่มัดเชือกที่คาดการว่าเขาขนมาแบบนั้น เลยลงไปเป็นกระโจมบ้านพักของคนในยุคนั้น

จากตรงนั้นเราต้องไปขึ้นรถบัส เพื่อไปที่กลุ่มหินประหลาดนั้น โดยรถบัสจะพาเราไปส่งหน้ากลุ่มหินโดยห่างจากที่จอดส่งประมาณ 50-70 เมตร การเข้าชมเขาจะมีเครื่องบรรยาให้เช่าไปฟัง โดยเลือกให้ตรงกับหมายเลขต่างๆที่เขาปักป้ายไว้ครับ รอบๆจะกั้นไว้ด้วยเชือก ไม่ให้เราเข้าไปใกล้นัก


 

เข้าคิวซื้อบัตร



 

ในห้องจัดนิทัศน์การ



 
สโตนเฮนจ์ (Stonehenge)

เป็นอนุสรณ์สถาน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บรี (Salisbury Plain) ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ตัวอนุสรณ์สถานประกอบด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันวางนอนลง และบางอันก็ถูกวางซ้อนอยู่ข้างบน

นักโบราณคดีเชื่อว่ากลุ่มกองหินนี้ถูกสร้างขึ้นจากที่ไหนสักแห่งเมื่อประมาณ 3000–2000 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวคือ การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีเมื่อ พ.ศ. 2551 เผยให้เห็นว่าหินก้อนแรกถูกวางตั้งเมื่อประมาณ 2400–2200 ปีก่อนคริสตกาล ในขณะที่ทฤษฎีอื่น ๆ ระบุว่ากลุ่มหินที่ถูกวางตั้งมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นถึง 3000 ปีก่อนคริสตกาล



 


หินและบ้านจำลอง



 
นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และบริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจาก "ทุ่งมาร์ลโบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร

สโตนเฮนจ์และบริเวณโดยรอบได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1986 และยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางอีกด้วย
(ที่มา : วิกิพีเดีย)



 

ขึ้นรถรับ-ส่งไปที่หน้ากลุ่มหิน



 









 

เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก





 
ออกจาก Stonehenge แล้เราก็ขับต่อไปที่เมืองบาธ เมืองที่อยู่ระหว่างภูเขาและแม่น้ำเอวอน เส้นทางที่เข้าไปจึงเป็นทาง ขึ้น-ลง เขาตลอด วันนั้นเราเข้าถึงบาธประมาณเกือบ 4 โมงเย็น หลังจากวนหาที่จอดรถซักพักหนึ่ง จนไปได้ที่ข้างๆสวนสาธารณะ และจอดฟรีด้วย (ที่จอดรถเมืองนี้หาค่อนข้างยาก เพราะนักท่องเที่ยวมาก)


 

เข้าสู่เมืองบาธ



 
สิ่งแรกที่เราสังเกตุเห็นในเมืองนี้คือ สีตัวอาคาร ซึ่งล้วนแต่ทาด้วยสีครีม (หรือเหลือง) ทั่วทั้งเมือง ลักษณะของอาคารบ้านเรือนออกทรงโรมัน ถนนชั้นในจะจัดไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเดินชมสถานที่โบราณสำคัญๆของเมือง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่อาบน้ำแร่ของทหารชาวโรมันเมื่อครั้งมาที่นี่ครับ



 

King's and Queen's Baths




 
บาธ (Bath)

เป็นเมืองที่มีฐานะนครในมณฑลซอมเมอร์เซ็ทในภาคการปกครองตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ บาธตั้งอยู่ห่างจากลอนดอนไปทางตะวันตก 156 กิโลเมตร และจากบริสตอลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 21 กิโลเมตร

บาธมีประชากรทั้งหมดประมาณ 80,000 คน บาธได้รับพระราชทานฐานะเป็น “นคร” โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ในปี ค.ศ. 1590, และได้เป็นเทศบาลมณฑล ในปี ค.ศ. 1889 ที่ทำให้บาธเป็นอิสระจาการบริหารของมณฑลซอมเมอร์เซ็ท บาธเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลเอวอนเมื่อเอวอนได้รับฐานะเป็นมณฑลในปี ค.ศ. 1974 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 เมื่อมณฑลเอวอนถูกยุบบาธก็กลายเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลท้องถิ่นระดับเดียวของบาธและตะวันออกเฉียงเหนือของซอมเมอร์เซ็ท (B&NES) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลภูมิศาสตร์แห่งซอมเมอร์เซ็ท




 





 
ตัวเมืองบาธตั้งอยู่เนินหลายลูกในหุบเขาของแม่น้ำเอวอนในบริเวณที่มีน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของโรมัน ผู้สร้างโรงอาบน้ำโรมัน (Roman Bath) และวัด และตั้งชื่อเมืองว่า “Aquae Sulis” เมืองบาธเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระเจ้าเอ็ดการ์ผู้รักสงบทำพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษที่มหาวิหารบาธ ในปี ค.ศ. 973. ต่อมาในสมัยจอร์เจียบาธกลายเป็นเมืองน้ำแร่ที่เป็นที่นิยมกันมากซึ่งทำให้เมืองขยายตัวขึ้นมากและมีสถาปัตยกรรมจอร์เจียที่เด่นๆ จากสมัยนั้นที่สร้างจากหินบาธที่เป็นหินสีเหลืองนวล



 

Roman's Baths



 
เมืองบาธได้รับฐานะเป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987 และมีโรงละคร, พิพิธภัณฑ์และสิ่งสำคัญทางวัฒนธรรมและทางการกีฬา ที่ทำให้กลายเป็นเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยมีนักท่องเที่ยวค้างคืนหนึ่งล้านคน และนักท่องเที่ยววันเดียว 3.8 ล้านคนต่อปี เมืองบาธมีมหาวิทยาลัยสองมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยและสถานศึกษาอื่นๆ แรงงานส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมการบริการและมีความเจริญเติบโตทางด้านข้อมูลและเทคโนโลยีที่สร้างงานให้แก่ผู้อยู่อาศัยในเมืองบาธเองและบริเวณปริมณฑล

ที่มา : wikipedia



 

สวนที่บาธ




 

ดนตรีกลางแจ้ง



 



 






 
ประมาณบ่าย 4 โมงเศษๆ เราออกจากบาธเพื่อขับต่อไที่เมือง Bristol เมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งของประเทศอังกฤษ อยู่ติดกับ North Ireland (แคว้นหนึ่งในสหราชอาณาจักร) จริงๆแล้วเราวางแผนว่าอยากจะข้ามไปเที่ยวที่เมืองคาร์ดีฟ (Cardiff) ก่อนกลับมาพักที่บริสโตล แต่ว่าไม่ทันซะแล้ว และอีกอย่างวันนี้ เจ้า GPS เราพาเราผ่านตัวเมืองช่วงประมาณ 4-5 โมงเย็นที่ผู้คนกำลังเลิกงาน จึงต้องฝ่ารถติดกันมากมาย

พอผ่านเมืองได้เราก็ตามถนน A369 ไปที่บริเวณที่พักรถ ที่เขาเรียกว่า Service ซึ่งเป็นจุดพักรถขนาดใหญ่ริมทาง (ต้องขับแยกออกจากทางใหญ่นิดหน่อย) ใหญ่กว่า ปตท. บ้านเรา ในบริเวณนั้นจะมีร้านสะดวกซื้อซึ่งเท่าที่เห็นจะเป็น Costa, Subway Supermarket, KFC และอีกหลายร้าน รวมร้านอาหารแบบสั่งด้วย นอกจากนั้นยังมีปั๊มน้ำมัน บางที่ก็ Shell บางที่ก็ BP แต่ที่พิเศษไปกว่าที่พักรถธรรมดาคือมีที่พักหรือโรงแรมขนาดเล็กด้วย เกรดประมาณ 3 ดาว ราคา 1,8xx บาท/คืน เราก็จองมาพักที่นี่แหละเพราะสะดวกทั้งที่ๆจอดรถและที่กิน แถมราคาก็ไม่แพงมาก ห้องกว้างขวางดีครับ


 

ห้องพักที่ Day Inns Bristol M5



 

เมืองบริสโตล ริมฝั่งแม่น้ำ Avon



 
บริสโตล (Bristol)

เป็นเมืองที่อยู่ในทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ โดยมีประชากรในเขตตัวเมืองประมาณ 433,100 ตนกับประชากรในแถบชานเมืองอยู่ 1,070,000 คน เป็นเมืองที่ประชากรมากที่สุดในอันดับ 6 ของอังกฤษและอันดับแปดของสหราชอาณาจักร โดยเมืองบริสตอลเป็นหนึ่งในเมืองหลักของอังกฤษตะวันตกเฉียงใต้

ใน ค.ศ. 1155 เมืองบริสโตลได้รับพระบรมราชานุญาติ และใน ค.ศ. 1373 ได้สถานะเป็นเทศมณฑล



 

Clifton Suspension Bridge


 
ชื่อของเมืองบริสโตลเป็นภาษาอังกฤษเก่า หมายถึง "ที่ซึ่งมีสะพาน" เมืองนี้เคยเป็นเมืองท่ามากว่า 800 ปีแต่ตอนนี้เรือมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อก่อนจึงย้ายเมืองท่าไปที่เมืองแอวันมอทแทน

บริสโตล ในอดีตเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าทาส ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมืองนี้ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงแต่ปัจจุปันได้มีโรงงานมากมายมาตั้งอยู่ที่เมืองนี้ และเครื่องบินโดยสารความเร็วเสียงคองคอร์ดก็ได้สร้างที่เมืองนี้



 

River Avon ช่วงที่น้ำกำลังลง



 



 
หลังจัดแจงเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว เราลงไปคุยกับเจ้าหน้าที่ว่าอยากไปชมสะพาน Clifton Suspension Bridge หน่อย ว่าถ้าไปตอนนี้จะทันไหม ... โชคดีที่ว่าเป็นหน้าร้อน มืดช้าหน่อยประมาณ 3- เกือบ 4 ทุ่มโน่น เขาเลยบอกว่าไปได้เลย เลือกจอดรถริมถนนก่อนถึงสะพานละกัน เราไม่รอช้าบึ่งไปเลย ระยะทางประมาณ 5 ไมล์ขับแค่ 10 กว่านาที...เมื่อเลี้ยวเข้าไปทางสะพานเหมือนจะเป็นหมู่บ้านไฮโซนะ มีบ้านเป็นหลังๆรั้วรอบขอบชิด มีทางเข้าบ้านจากถนนใหญ่ ใกล้ๆสะพานเป็น Park ... เราเห็นชาวบ้านเขาจอดตามนั้น ก็เอามั่ง หาที่เหมาะไม่ปิดทางเข้าบ้านเขา เพราะที่ห้ามจอดตอนนี้หมดเวลาห้ามแล้ว (ปกติห้าม 8.30-18.30 น.) ซึ่งตอนเราไปถึงก็ปาเข้าไปเกือบ 19.30 น. เข้าไปแล้ว ... เราเห็นผู้คนหลายคนออกมาวิ่งข้ามสะพาน มันก็น่าอยู่หรอกเพราะอากาศดีแบบนั้น..

เราเดินข้ามสะพานไปอีกด้านและขึ้นเขาไปที่ จุดถ่ายภาพใกล้ๆกับ Observation Tower ตรงนั้นประมาณว่าเป็น Clifton Camp เก่าครับ .... วิวที่มองไปที่สะพานแขวนคลิฟตัน สวยงามมากในยามนี้ เมือง Bristol ริมฝั่งแม่น้ำ Avon กำลังถูกแสงแดดในเวลาทุ่มกว่าๆสาดส่อง เหมือนที่เราเรียกว่าแดดช่วงลิงตากผ้าอ้อม ทำให้ภาพด้านหน้าสวยงามเหลือเกิน


 



 

สะพานแขวนที่สร้างข้ามแม่น้ำ Avon ตรงโตรกเขา Avon Gorge ออกแบบโดย William Henry Barlow และ John Hawkshaw โดยมีความยาว 412 เมตร กว้าง 9.4 เมตร สูงจากระดับน้ำ 101 เมตร ช่วง span (ความห่างระหว่างเสา) 214.05 เมตร มีทางเดินด้านข้าง เป็นสะพานที่เก็บเงินค่าผ่าน 1 ปอนด์..เปิดใช้งานเมื่อปี 1864.
(ดูเพิ่มเติม)


 



สะพานแขวนคลิฟตัน ด้านข้างมีทางเดินข้าม


 



Observation Tower near Clifton Suspension Bridge


 
สรุปแล้ววันนี้เราก็ได้เที่ยวแบบไม่เจาะลึกนัก 3 ที่ คือ กลุ่มหินแปลกประหลาด Stonehenge, เมืองอาบน้ำแร่โรมัน Bath, และสะพานแขวน Clifton Suspension Bridge เมือง Bristol ครับ

การเดินทางด้วยรถเช่าวันแรกนี้เรียบร้อยดี แม้ในช่วงแรกๆที่ขับออกมาจาก Sheraton Skyline, Heathrow Airport จะเกร็งๆซักนิด เพราะกลัวทำผิดกฏจราจรเขา แต่หลังจากที่ได้เรียนรู้จากรถที่เดินทางด้วยกันนานนับหลายชั่วโมง ก็ทำให้เราผ่อนคลายและขับเป็นธรรมชาติมากขึ้น จำไว้ว่าเราเป็นคนต่างถิ่น ป้ายความเร็วต่างๆเราต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แม้คนอื่น (ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ) เขาจะขับเร็วบ้าง เราก็ไม่ควรไปทำตาม อย่าลืมว่ากล้องตามถนนอังกฤษมีมากกว่าตามดนะครับ เขาไม่เอาตำรวจมายืนโบกและจับแบบบ้านเรานะ ใบสั่งถึงบ้านเลยถ้าผิด (อยากให้บ้านเราทำแบบนีจัง) .... ถนนในอังกฤษดีมาก Motor Way (M) มีเชื่อมเกือบทุกเมือง ทำให้สะดวกมากๆ ความเร็วที่อนุญาตก็ 70 ไมล์/ชม. ถ้าเป็นถนนรองลงมา (A) ก็ 70 หรือ 60 แล้วแต่ช่วง จะมีป้ายบอก และถ้าเป็นรองลงไปอีก (B) ก็จะเป็น 50 หรือ 40 แต่ถ้าเป็นช่วงผ่านหมู่บ้าน ก็จะให้ลดลงเหลือ 30 หรือ 20 ไมล์/ชม. ดูป้ายครับ หรือถ้าใช้ GPS ก็เซ็ทสปีดลิมิตไว้ได้ครับ

พรุ่งนี้เราจะพาเดินทางต่อไปที่เมือง Bourton on the water เมืองเล็กๆที่มีแม่น้ไไหลผ่ากลาง และต่อไปที่ Oxford เมืองที่คนไทยเรารู้จักดี คอยติดจามนะครับ



 
ขอบคุณที่ตามอ่านมาตลอด


 

ลาด้วยภาพนี้ครับ




 
______________






Create Date : 21 กันยายน 2559
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2565 9:23:11 น. 9 comments
Counter : 7683 Pageviews.

 
ขอบคุณค่ะ อยากไปจัง


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 21 กันยายน 2559 เวลา:13:03:15 น.  

 
ภาพสวย งบหมดค่ะ
พรุ่งนี้ค่อยมาโหวตให้นะคะคุณวิค


โดย: อุ้มสี วันที่: 21 กันยายน 2559 เวลา:15:38:52 น.  

 
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ รูปสวยน่าประทับใจ


โดย: sawkitty วันที่: 21 กันยายน 2559 เวลา:19:37:21 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
paerid Travel Blog ดู Blog
nongmalakor Music Blog ดู Blog
wicsir Travel Blog ดู Blog



โดย: อุ้มสี วันที่: 22 กันยายน 2559 เวลา:11:36:33 น.  

 
ขอบคุณภาพสวย ๆ ค่ะ

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
sawkitty Travel Blog ดู Blog
ซองขาวเบอร์ 9 Food Blog ดู Blog
Kisshoneyz Movie Blog ดู Blog
ข้ามขอบฟ้า Music Blog ดู Blog
Close To Heaven Food Blog ดู Blog
ฟ้าใสวันใหม่ Home & Garden Blog ดู Blog
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
tuk-tuk@korat Music Blog ดู Blog
wicsir Travel Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 22 กันยายน 2559 เวลา:18:51:47 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
อุ้มสี Photo Blog ดู Blog
เริงฤดีนะ Movie Blog ดู Blog
คนผ่านทางมาเจอ Diarist ดู Blog
Stand by bowky Diarist ดู Blog
paerid Travel Blog ดู Blog
nongmalakor Travel Blog ดู Blog
wicsir Travel Blog ดู Blog


โดย: จากเพื่อนถึงเพื่อน วันที่: 23 กันยายน 2559 เวลา:22:14:46 น.  

 
thx u crab


โดย: Kavanich96 วันที่: 24 กันยายน 2559 เวลา:4:58:39 น.  

 
ตามไปเที่ยวด้วยคะ เก่งจังเลย
ทำการบ้านไว้ตั้งแต่เมืองไทยกับทริปทัวร์เอง
ถือเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมมากๆคะ
ท่องเที่ยวในไทยขับรถไปเองก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
คุณวิคไปถึง ตปท. น่าสนุกและน่าจดจำไว้ มาถ่ายทอดได้เยี่ยมเลยคร้า

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
Tristy Food Blog ดู Blog
wicsir Photo Blog


โดย: Tui Laksi วันที่: 27 กันยายน 2559 เวลา:20:05:19 น.  

 
เขียนละเอียดแต่กระชับดีคะ ขอบคุณนะคะ


โดย: ORn IP: 82.132.215.40 วันที่: 8 พฤษภาคม 2565 เวลา:14:55:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wicsir
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]











...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......


อยากจะบอกว่า

@ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว

@ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ.

@ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก...


ด้วยจริงใจ
นาย wicsir.




Rec. 11.06.08
New Comments
Group Blog
 
<<
กันยายน 2559
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
21 กันยายน 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add wicsir's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.