อ่านเรื่อง : ต้นฤดูร้อนที่ เยอรมัน..ออสเตรีย..สวิส ในบล๊อก
บล๊อกเป็นเรื่องราวของการเดินทางต่อเนื่องในยุโรปของเรา โดยเริ่มต้นที่ประเทศอิตาลีซึ่งเราได้นำเสนอไปแล้ว และตอนนี้ก็มาถึงสวิสแล้วครับ (อ่านเรื่อง อิตาลี)บ่ายวันที่ 15 ตุลาคม 2012 เป็นช่วงเวลาและวันสุดท้ายที่เราอยู่ในประเทศอิตาลี ที่เมืองมิลาน ก่อนที่เราจะออกจากมิลานมุ่งสู่ทางเหนือ ผ่านเมืองตากอากาศที่สำคัญของอิตาลี คือเมืองโคโม ที่ว่ากันว่าชาวอิตาลีมักจะมาซื้อบ้านหลังที่ 2 ที่นี่ ไว้เป็นที่พักผ่อนตากอากาศกันบล๊อกนี้ทั้งบล๊อกเราจะพาคุณๆเดินทางข้ามประเทศจากอิตาลี สู่ สวิตเซอร์แลนด์กัน พาชมบรรยากาศตามเส้นทางที่ผ่าน แม้จะเก็บภาพขณะที่รถวิ่งค่อนข้างยาก กอรปรกับบรรยากาศแบบครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็ตาม แต่นำมาให้ชมพอได้ไอเดียกันครับ
ช่วงเวลาเดินทางยังคงเจอฝนอย่างหนักตลอดทาง ทำให้ถ่ายภาพไม่ค่อยได้ เพราะหน้าต่างรถที่กล้องจะส่องลอดออกไป มีไอน้ำจับเต็มไปหมด มีบางช่วงเท่านั้นที่เราพอจับภาพมาได้
ตามเส้นทางที่ผ่านช่วงนี้ ส่วนมากจะเป้นภูเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะใกล้เทือกเขาแอลป์เต็มที่ ระหว่างภูเขาจะเป็นไร่ และทะเลสาบ บ้านเรือนสร้างเรียงรายตามไหล่และยอดเขา (แปลกว่าเขาจะมีกฏหมายห้ามไม่ให้บุกรุกภูเขาแบบบ้านเราหรือเปล่าน๊า..)
ถึงด่านพรมแดนระหว่างประเทศ เรานั่งรอบนรถ ปกติจะเห็นเจ้าหน้าที่ ตม.ขึ้นมาดู Passport แต่วันนี้ไม่มี อาจจะเป็นเพราะว่ากฏการข้ามพรมแดนเปลี่ยนไป ให้ความสะดวกมากยิ่งขึ้น หรือเพราะวันนั้นฝนตกหนัก... แต่ก็ไม่น่าจะเป็นกรณีหลัง เพราะตอนข้ามพรมแดนสวิสไปฝรั่งเศสที่บาเซิลก็ไม่ขึ้นมาตรวจเหมือนกัน (จขบ.เคยเจอตรวจตอนข้ามพรมแดนเยอรมันเข้าสวิสเมื่อมาครั้งก่อน ในปี 2006) .... วันนั้นเราจึงผ่านเข้าสวิสแบบไม่เสียเวลามากนัก
รู้จักสวิตเซอร์แลนด์กันหน่อย..ประวัติศาสตร์สวิตเซอร์แลนด์ก็เหมือนกับอีกหลายๆประเทศในยุโรป ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน..โดยชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้คือ เผ่าเฮลเวติ (Helvetii) อันเป็นที่มาของชื่อประเทศ ชนเผ่าเบอร์กันเดียน (Burgundian) ที่มีเชื้อสายฝรั่งเศสอาศัยอยู่ทางตะวันตก ชนเผ่าอลามานี่ (Alamanni) เชื้อสายเยอรมันอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งชนเผ่าเคลท์ (Celt) อาศัยอยู่ทางตะวันอกเฉียงใต้ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุให้ปัจจุบันทุกวันนี้สวิสจึงเป็นประเทศที่ประกอบด้วยชนหลายเชื้อชาติ จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 10 ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยปัจจุบันนี้หลายเมืองยังปรากฏสิ่งก่อสร้างที่ยังหลงเหลืออยู่ไว้ในเขตเมืองเก่าเช่นเดียวกับที่เราพบเห็นในอิตาลีหรือฝรั่งเศสต่อมาจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันได้มอบอิสรภาพให้กับรัฐต่างๆ ในเขตเทือกเขาแอลป์ มีอิสระในการปกครองตนเอง เมืองในเขตสวิสก็มี อูรี (Uri) ชวิซ (Schwyz) และอุนเทอร์วันเดิน (Unterwalden) ภายหลังอาณาจักรโรมันได้เริ่มเสื่อมอำนาจลง ราชวงศ์ฮัสบูร์ก แห่งออสเตรีย ก็เข้ามารุกราน ทำให้ 3 รัฐที่ว่านี้ได้ร่วมมือกันทำสัญญาต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติในปี ค.ศ. 1291จากการร่วมมือกันนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อกำเนิดเกิดเป็นสมาพันธรัฐสวิสขึ้นมา และชื่อประเทศสวิส ก็มีที่มาจากเมืองชวีซ 1 ใน 3 รัฐผู้ก่อตั้งนั่นเอง หลังจากนั้นรัฐอื่นๆจึงเข้ามาเป็นพันธมิตรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเป็น 13 รัฐ ในปี ค.ศ. 1513 จนถึงปัจจุบันสวิตเซอร์แลนด์ประกอบไปด้วยรัฐหรือแคนตอน (canton) ทั้งหมด 26 รัฐ แต่ละรัฐก็มีสิทธิในการปกครองตนเองและมีธงหรือตราสัญลักษณ์ประจำแต่ละรัฐ โดยธงชาติสวิสเป็นรูปเครื่องหมายบวกสีขาวบนพื้นแดง ซึ่งคล้ายกับธงของรัฐชวีซ จุดกำเนิดชองประเทศนั่นเอง.. สวิตเซอร์แลนด์ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยและมีเศรษฐกิจแบบนายทุน แต่เป็นเรื่องแปลกมากที่ไม่มีนายกรัฐมนตรีเป็นตัวเป็นตน จะมีก็เพียงแต่คณะรัฐมนตรี 7 คน ที่ถูกเลือกมาจากรัฐต่างๆ (แต่ละรัฐก็เลือกผู้แทนของตนเอง) ทำหน้าที่บริหารกิจการในประเทศและต่างประเทศ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การคลัง การไปรษณีย์ การรถไฟเป็นต้น โดยรัฐมนตรีเหล่านั้นจะสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศคราวละ 1 ปี ทำหน้าที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและเป็นประธานในพิธีสำคัญเท่านั้น เราจึงไม่ค่อยรู้จักชื่อประธานาธิบดีของสวิสซักเท่าไหร่ ..... สวิสดำรงความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด จึงมีองค์กรระหว่างประเทศตั้งอยู่มากมายโดยเฉพาะที่เจนีวา.
แม้จะมีองค์กรต่างของโลกตั้งอยู่ที่สวิส เช่น องค์การสหประชาชาติ (United Nation, UN) แต่สวิสก็ยึดมั่นในความเป็นกลางของประเทศตัวเอง สวิสเพิ่งมาเป็นสมาชิก UN เมื่อปี 2002 นี่เอง ที่เข้ามาเป็นสมาชิกเพราะการลงประชามติของประชาชนในชาติ
อีกประเด็น เพราะความเป็นกลางของสวิส เลยมีนักเขียนหรือนักการเมืองที่มีความขัดแย้งกับรัฐบาลของประเทศตนเอง จึงมาลี้ภัยที่สวิสกันมาก รวมทั้งระบบธนาคารที่รักษาความลับของลูกค้าเอาไว้เป็นอย่างดี จนทำให้หลายๆประเทศมองว่า สวิสเป็นแหล่งฟอกเงินของเหล่าอาชญากรข้ามชาติ หรือรับฝากเงินของนักการเมืองคอรัปชั่น แต่สวิสก็ได้แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เมื่อผู้นำเผด็จการของหลายๆประเทศถูกประชาชนโค่นอำนาจ ธนาคารในสวิสก็จะประกาศอายัดทรัพย์ทันทีเช่นกัน
การเข้าไปท่องเที่ยวในสวิสจะต้องมีวีซ่าเชงเกน (Shengen Visa) เหมือนกับการเข้าไปเที่ยวยุโรปอีก 29 ประเทศ... เงินตราที่ใช้ในสวิสยังเป็นสวิสฟรังก์ (CHF) เพราะว่าสวิสยังไม่เป็นหนึ่งเดียวกับสหภาพยุโรป ที่ใช้เงินสกุลเงินยูโร (Euro) โดยที่เงินสวิสฟรังก์ มีอัดตราแลกเปลี่ยน คือ 1 CHF = 33.868 THB ( 1 ฟรังก์ = 33.868 บาท) อัตราแลกเปลี่ยนเมื่อวันที่ 28 ธค. 2555
เราสามารถใช้เงินสกุลยูโรได้ในประเทศสวิส แต่เขาจะทอนให้เป็นเงินสวิสฟรังก์ ตรงนี้เราจะเสียเปรียบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และส่วนมากจะทอนเป็นเหรียญเสียด้วย เวลาแลกคืนเขาจะไม่ค่อยรับ จะรับเฉพาะธนบัตร การใช้บัตรเครดิตหรือเงินสดสวิสฟรังก์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ การซื้อของในสวิสจะต้องทำ Tax Refund หรือการขอคืนภาษีก่อนออกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์เลย ไม่สามารถรวมไปทำครั้งเดียวเหมือนกลุ่ม EU ได้... แต่ก็ไม่ยุ่งยากครับ (แนะนำให้รับเป็นเงินสดกลับมาเลยครับ)
เมื่อเข้าสู่สวิตส์เซอร์แลนด์ดินแดนที่แสนจะโรแมนติก ที่ใครๆก็อยากไปเยือนซักครั้งในชีวิต เราเจอหิมะแรกที่ลงมาบนยอดเขาในขณะที่อุณภูมิภายนอกรถ อยู่ระว่าง -1 ถึง 3 องศาเซลเซียส ทุกคนในรถจึงตื่นเต้นกันใหญ่ นั่นไม่ใช่เพราะเห็นหิมะครั้งแรก แต่เพราะไม่คาดฝันว่าจะได้เห็นในช่วงนี้ต่างหาก ... หิมะที่ยังบางๆอยู่บนยอดสนที่ยังเหลือสีเขียวแจมบ้าง ทำให้ภูเขาด้านบนสวยงามยิ่งขึ้น..
ออกจากปั๊มนี้เราจะเข้าสู่อุโมงที่ยาวเป็นอันดับที่ 2 ของโลก (เมื่อก่อนอยู่อันดับหนึ่ง แต่ถูกแซงด้วยอุโมงในประเทศนอร์เวย์) คือยาว 17 กม. เป็นถนนแบบ 2 เลนวิ่งสวนทางกันไปมา น้องแนน ไกด์เราบอกว่าถ้ามาถึงตรงนี้ช้าเกินไปก็จะเจอรถติด เพราะว่าจากถนนปกติ 4 เลนมายุบเข้าเป็น 2 เลน เลยกลายเป็นคอขวด ..... จากอุโมงยาว 17 กม.นี้แล้ว เรายังต้องผ่านอุโมงอีกแห่ง ที่ยาว 10 กม. (นั่งคุยกับคนขับเขาเลยบอกมา) ก่อนที่เข้าเขตทะเลสาบลูเซิร์น...
ตอนอยู่ที่ปั๊มน้ำมัน BP ได้สัมผัสกับหิมะที่กำลังลงปอยๆมาพอดี ดีใจกันใหญ่ว่ามาเดือน ตค. ก็ได้เจอหิมะข้างล่างนี่แล้ว ต้นไม้ริมเขากำลังเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเหลือง และก็แดงเพื่อรอวันร่วงหล่นตามระยะเวลา ทำให้ป่าเขาแถบนั้นดูมีสัสันเพิ่มมากขึ้นด้วย
อินเทอร์ลาเค่น (Interlaken) อินเทอร์ลาเค่น เป็นเมืองเล็กๆ แต่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องการท่องเที่ยว ตั้งอยู่ระหว่าทะเลสาบทูนกับทะเลสาบบรีเอ็นซ์ โดยมีทางน้ำเหมือนแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านกลางเมือง เชื่อทะเลสาบทั้งสองเข้าด้วยกัน ชื่อเมืองจึงมีความหมายว่า "เมืองระหว่างทะเลสาบ" ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเราสามารถมองเห็นยอดเขายุงเฟราอันลือชื่อเป็นฉากหลังอินเทอร์ลาเค่นมีพื้นที่ประมาณ 4.3 ตารางกิโลเมตร ประชากร 5,468 ค (Dec 2011) อยู่ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 568 เมตร ตั้งอยู่ในรัฐเบิร์น (canton Bern)
วันนี้เราพักที่ Seiler Au Lac Hotel CH 3806 Bonigen ติดกับทะเลสาบบรีเอนซ์ เป็นคล้ายๆรีสอร์ทมากกว่าจะเรียกว่าโรงแรม ห่างจากตัวเมืองอินเทอร์ลาเค่น 6 กม. หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อแล้ว เราขึ้นรถเมล์ประจำเมืองเพื่อไปทานมื้อเย็นที่ร้าน Schuh Restaurant ซึ่งเป็นร้านอาหารจีน ค่อนข้างใหญ่ใจกลางเมือง Interlaken (แต่ค่าเบียร์แก้วละ 4 ยูโร หรือ 120 บาท)ส่วนสาเหตุว่าทำไมเราต้องขึ้นรถเมล์เข้าไปในตัวเมือง ก็เพราะว่าเรามาถึงอินเตอร์ลาเค่นนี้ค่ำ คือเกิน 20:00 น. ซึ่งทางสหภาพแรงงานหรือกฏหมายเกี่ยวกับการขับรถของเขามีกฏว่าพนักงานขับรถจะโดนใช้งานเกินเวลาไม่ได้ เราก็เลยไม่อยากให้คนขับเขาทำผิดกฏอันนั้นครับ
ที่พักแม้ห้องจะไม่กว้างขวางนัก แต่บรรยากาศรอบๆถือว่าห้าดาวเลยทีเดียว หน้าต่างและระเบียงห้องเราหันไปหาทะเลสาบบรีเอนซ์ ทำให้ทั้งตอนเช้าและค่ำคืนได้เห็นแสงสีบ้านเรือนและรีสอร์ทรอบๆทะเลสาบได้เป็นอย่างดี เพื่อนบางคนที่ไปในทริปเดียวกันยังบอกว่า อยากมาพักที่แบบนี้ซักอาทิตย์เลยล่ะ...แต่กรุ๊ปเราได้พักที่นี่ 2 คืน
วันนี้กว่าเราจะกลับจากเมืองมาที่พักก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน และเที่ยงคืนที่นั่นก็หนาวมากเสียด้วย ลองนึกภาพตามเอาละกันว่าตอนรอรถจะกลับที่พักเราไปแอบซอกตึกยังเอาไม่อยู่เลย แจ้นเข้าไปที่ร้าน ร้านก็กำลังจะปิด ต้องไไยืนแอบบตามมุมทางเข้าร้านขายของ ถึงขนาดนั้นก็ยังหนาวลมจนสะท้าน....
หลายๆคนได้อะไรที่อยากจะได้ติดไม้ติดมือมาบ้าง เช่น นาฬิกาแบรนด์ดังของสวิส เราต้องเข้านอนและพักผ่อนกันแล้ว เพราะพรุ่งนี้ทั้งวันเรามีนัดกับยุงเฟรา ยอดเขาแสนเสน่ห์ของสวิตเซอร์แลนด์... แน่ล่ะ พรุ่งนี้หลายๆคนคงได้สัมผัสกับหิมะจริงๆกันซะที... แล้วเจอกันใหม่บล๊อกหน้านะครับ Good night
นางแบบมากๆเลยค่ะ 555 ขอบคุณคุณWICที่นำภาพสวยๆมาแบ่งให้ชมกัน
และมาสวัสดีปีใหม่อีกครั้งค่ะ ขอให้คุณและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขมากๆ
และประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ ตลอดไปนะคะ ^_^