มกราคม 2558

 
 
 
 
1
2
3
31
 
All Blog
White Pearl Metropolis : บุษยานคร part 2.2.11/1,000




หัวข้อที่แล้วก็เป็นเรื่องของ
อาเพศต่างๆ ที่เกิดจาก
ความโกรธเกรี้ยวของเหล่าเทวดา

แม้แต่เหล่าเทวดาผู้ซึ่งยังตัดอารมณ์ต่างๆ
ได้ไม่  100% ก็เลยยังมีอารมณ์กันได้

ไม่ว่าจะไม่พอใจ กลั่นแกล้ง
หรือลงโทษ  ก็ยังเกิดขึ้นได้

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนมีต้นเหตุมาจาก
มนุษย์ผู้กิเลสหนา หยาบคาย นั่นเอง
แม้แต่เทวดายังอดโมโหไม่ได้เลยเนอะ
มนุษย์เรานี่ก็  บางครั้ง บางคน
ก็สมควรโดนเหลือเกิน


คราวนี้ก็มาต่อกันที่หัวข้อที่ถือว่า
ทันสมัย  อินเทรนด์สุดๆ เลยในยุคนี้
ยุคที่ได้ชื่อว่า  social media
อะไรๆ ก็เป็น digital ไปเสียหมด

ซึ่งแน่นอนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้
เหมือนกับเหรียญเสมอ คือ
มี  2  ด้านตลอด

ศาสนาก็เหมือนกัน
ศาสนาในยุคนี้ เรียกกันได้อย่างเต็มปาก
กันได้เลยว่า เป็นยุค  " พุทธพาณิชย์ "
อย่างเต็มรูปแบบ และเต็มภาคภูมิ

ซึ่งแน่นอนว่า  ถ้าใช้การผสมผสานระหว่าง
ชีวิต digital มาผนวกกับธรรมะของจริง

คงจะเป็นเรื่องที่ น่ายินดีอย่างยิ่งยวด
เพราะธรรมะด้านดี จะไปได้รวดเร็ว
เข้าถึงได้ง่าย และกว้างไกลมาก

แต่อนิจจา  ไม่มีใครหรือหน่วยงานไหน
มาเป็นแกนหลักในการคัดกรอง
ว่าอะไรคือเปลือก อะไรคือแก่น

ล้วนแต่ต้องอาศัยวิจารณญาณส่วนตัว
ในการแยกแยะกันเอาเอง

จึงเป็นช่องโหว่ ขนาดเท่าภูเขา
ให้คนชั่วร้าย ใช้ช่องทางหลายช่องทาง
ในการเผยแผ่ความดำมืด
อาศัยอวิชชาของคนในสังคมบางกลุ่ม
ที่ไร้ปัญญา เกียจคร้านการงาน
โลภบุญ ถูกโมหะต่างๆ ครอบงำ

มาเป็นช่องทางหากิน หาผลประโยชน์
โดยมีฉากหน้าของศาสนา
มากำบังความไร้แก่นสาร ความลุ่มหลง
ความมัวเมา ความไม่รู้ ไว้อย่างแนบเนียน

ซึ่งหัวข้อต่อไปนี้  ไม่ใช่จะกล่าวถึง
ลัทธินอกศาสนาเพียงอย่างเดียว

แต่คนภายในศาสนา มีเครื่องแบบ
เป็นสัญลักษณ์ชัดเจนนั่นแหล่ะ
ตัวดีนักเชียว

พวกนี้จะแสดงได้อย่างแนบเนียน
และกลมกลืนที่สุด

จนมีคำพูดที่พูดกันอย่างหนาหู
แซวแขวะเป็นเรื่องจริงที่แสนขมขื่น
กันเลยทีเดียวว่า

ในยุคฝืดเคืองเช่นนี้
อาชีพที่ร่ำรวย สุขสบาย
ไร้ความเสี่ยงที่สุด

คงหนีไม่พ้นอาชีพ
" พระสงฆ์ "  กันนั่นเลย

( เป็นเพียงคำแซวนะคะ
ถ้าจะมีใครเดือดร้อนเพราะประโยคนี้
ขอความกรุณา
อย่าร้อนตัวกันเลยนะคะ
ดิฉันพูดในวงกว้างๆ ตามเนื้อหา
จากพุทธทำนายเท่านั้นค่ะ ไม่ได้มาจาก
มโนสำนึกส่วนตัวอันใดเลยค่ะ )


เฮ้อ ...  ไปซะไกล  กลับมากันที่
เรื่องราวในพุทธทำนายกันต่อดีกว่าค่ะ

นี่เป็นข้อที่  11  แล้วค่ะ
อีกไม่กี่ข้อก็จะจบหัวข้อเรื่องนี้แล้ว
ยังมีเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ

จะทะยอยนำเสมอกันอย่างต่อเนื่อง







แก่นจันทน์ ๑



“  เชิญตรัสเล่าสุบินที่ ๑๑ ต่อไปเถิด มหาบพิตร  ”

“  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็น
คนทั้งหลาย
เอาแก่นจันทน์มีราคาตั้งแสนกษาปณ์
ขายแลกกับเปรียงเน่า.


นี้เป็นสุบินข้อที่ ๑๑ ของหม่อมฉัน
อะไรเป็นผลแห่งสุบินนี้เล่า พระเจ้าข้า  ? ”


“  มหาบพิตร แม้ผลแห่งสุบินนี้
ก็จักมีในอนาคต
ในเมื่อศาสนาของตถาคตเสื่อมโทรมนั่นแล

ด้วยว่า ในกาลภายหน้า
พวกภิกษุอลัชชีเห็นแก่ปัจจัยจักมีมาก

พวกเหล่านั้นจักพากันแสดงธรรมเทศนา
ที่ตถาคตกล่าวติเตียน
ความละโมบในปัจจัยไว้แก่ชนเหล่าอื่น

เพราะเหตุแห่งปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น
จักไม่สามารถแสดงให้พ้นจากปัจจัยทั้งหลาย

แล้วตั้งอยู่ในฝ่ายธรรม
นำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ มุ่งตรงสู่พระนิพพาน

ชนทั้งหลายก็จะฟังความสมบูรณ์แห่งบท
และพยัญชนะ และสำเนียงอันไพเราะ
อย่างเดียวเท่านั้น แล้วจักถวายเอง

และยังชนเหล่าอื่น
ให้ถวายซึ่งปัจจัยทั้งหลายมีจีวรเป็นต้น
อันมีค่ามาก

ภิกษุทั้งหลายอีกบางพวก
จักพากันนั่งในที่ต่างๆ
มีท้องถนน สี่แยก และประตูวัง เป็นต้น

แล้วแสดงธรรมแลกรูปิยะ
มีเหรียญกษาปณ์ครึ่งกษาปณ์
เหรียญบาท เหรียญมาสกเป็นต้น


โดยประการฉะนี้
ก็เป็นเอาธรรมที่ตถาคตแสดงไว้
มีมูลค่าควรแก่พระนิพพาน
ไปแสดงแลกปัจจัย ๔
และรูปิยะมีเหรียญกษาปณ์
และเหรียญครึ่งกษาปณ์เป็นต้น

จักเป็นเหมือนฝูงคน
เอาแก่นจันทน์มีราคาตั้งแสน
ไปขายแลกเปรียงเน่า ฉะนั้น.

ภัย แม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ
ก็ยังไม่มีแก่มหาบพิตร  ”



.............................



๑๑. นำแก่นจันทน์ไปแลกนมเปรี้ยว



สิบเอ็ดฝัน ว่าเห็น แก่นจันทน์แดง
ราคาแพง เลิศล้ำ ในต่ำใต้
ชายเขลา เอามา ไม่แจ้งใจ
จะเอาไป แลกนมโค เสียง่ายดาย
ทรงพุทธ ทำนาย อภิปรายโปรด
ภายหน้าโสด หมู่สงฆ์ สิ้นทั้งหลาย
จะแนะนำ พระธรรม อันเพริศพราย
เที่ยวเร่ขาย แลกทรัพย์ มาซื้อกิน
ไม่อดสู ดูร้าย ละอายบาป
นิยามหยาบ เอื้อมอาจ ประมาทหมิ่น
ก่อแต่กรรม ทำตน ให้มลทิน
เหมือนหนึ่งกิน ยาตาย ไม่หมายเป็น


..........................



๑๑. แก่นจันทร์แลกเปรียง


(  ศาสนาเสื่อม
ภิกษุนำสิ่งที่มีค่าเลิศล้ำคือพระธรรม
แลกกับปัจจัย )


สุบินเห็นคนจำพวกหนึ่ง
นำแก่นจันทน์อันมีคุณค่าสูง
ไปแลกกับนมเปรี้ยว
( คือนมโคที่ค้างคืนจนบูด ) อันไร้ค่า


พระพุทธองค์ทรงโปรดให้คำทำนายว่า
ในอนาคตกาลข้างหน้าโน้น
จักมีสมัยหนึ่ง    นักบวชในศาสนานี้

ได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัยของตถาคต
ซึ่งมีวิมุติเป็นคุณค่าอันล้ำเลิศ
แล้วพากันนำเอาไปแลกลาภผล
หรือเครื่องสักการบูชา

ด้วยเห็นแก่ปากท้องเล็กๆน้อยๆ

เขาจะนำเอาคำสอนของตถาคต
ที่ตำหนิติเตียนความโลภ

ไปแสดงแก่มนุษย์ทั้งหลาย
ให้ละความโลภนั้น

โดยสละปัจจัยลาภ
แก่คนอลัชชีเหล่านั้น


เมื่อไม่อาจถอนตน
ออกจากความเป็นทาสของความโลภ
หรือไม่อาจจะตั้งอยู่ในธรรม
อันฝักฝ่ายแห่งพระนิพพานได้แล้ว

ก็จะอาศัยความรู้ทางอรรถ และพยัญชนะ
หรืออาศัยเสียงอันไพเราะของตน
แสดงธรรมกับผู้หลงใหล
ในความรู้หรือติดในเสียง

แล้วผู้ฟังก็จะนำไทยทาน
เป็นอันมากมาให้


อลัชชีบางพวก
จะนั่งแสดงธรรมเรื่องพระนิพพาน
ตามข้างถนนหนทางหรือตามประตูเมือง

เขาจะนำเอาพระธรรม
ที่ตถาคตแสดง

อันประกอบด้วยคุณค่าอันสูงสุด
ไปแลกลาภสักการะ
คือเงินทองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ในยุคสมัยที่คนไร้ศีลธรรม
จะมีภิกษุประเภท ทรงเจ้า เข้าผี ทำน้ำมนต์
พ่นน้ำหมาก ดูดวง ใบ้หวย
ทำเครื่องรางของขลัง
เสกเป่าอะไรต่างๆ นานาขึ้นมากมาย
ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิด
ต่อพระวินัยและละเมิดพุทธบัญญัติ


ทำให้คนงมงาย
แทนที่จะนำเอาพระธรรมคำสอน
ไปให้คนรู้จักการดับทุกข์
และพ้นทุกข์ได้ด้วยตนเอง


ต่อไปภิกษุอลัชชีไม่มียางอาย
จะนำธรรมที่ตถาคต
กล่าวติเตียนความโลภ
ไปแสดงให้คนอื่นละความโลภ

แล้วพากันบริจาคจตุปัจจัยให้แก่ตน
ภิกษุอลัชชีเหล่านั้น
จะเที่ยวไปนั่งแสดงธรรมในที่ต่างๆ
เพื่อหวังลาภ

เหมือนคนเอาแก่นจันทน์อันมีค่า
( ธรรมของพระพุทธองค์ )
ไปแลกกับนมโคเสียฉะนั้น
( ทรัพย์สินเงินทองที่คนพากันมาบริจาค )


คนพวกหนึ่ง
จะเอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต
ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา
จะเขียนเป็นตำราเพื่อออกจำหน่าย
ขายกิน หารายได้เพื่อเลี้ยงชีวิต

เอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต
ทำเป็นการแสดง แต่งกลอน

เพื่อผลประโยชน์ในกัณฑ์เทศน์
แสดงธรรมเพื่อเห็นแก่ค่าจ้างรางวัล
อันเป็นอามิส ไม่สมค่าราคากันเลย


สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้น
ในช่วงปลายศาสนาของเราตถาคตโน้น 







นำแก่นจันทน์ไปแลกนมเปรี้ยว


สิบเอ็ดฝัน  ว่าเห็น  แก่นจันทน์แดง
ราคาแพง  เลิศล้ำ  ในต่ำใต้
ชายเขลา  เอามา  ไม่แจ้งใจ
จะเอาไป  แลกนมโค  เสียง่ายดาย

ทรงพุทธ  ทำนาย  อภิปรายโปรด
ภายหน้าโสต  หมู่สงฆ์  สิ้นทั้งหลาย
จะแนะนำ  พระธรรม  อันเพริศพราย
เที่ยวเร่ขาย  แลกทรัพย์  มาซื้อกิน

ไม่อดสู  ดูร้าย  ละอายบาป
นิยามหยาบ  เอื้อมอาจ  ประมาทหมิ่น
ก่อแต่กรรม  ทำตน  ให้มลทิน
เหมือนหนึ่งกิน  ยาตาย  ไม่หมายเป็น


Smiley Smiley Smiley


>>>   To Be Continue   >>>



Create Date : 18 มกราคม 2558
Last Update : 21 มกราคม 2558 14:13:06 น.
Counter : 1670 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ไส้เดือนอเวจี
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



เมื่อเราไม่มีเวลาเพียงพอที่จะไปเรียนรู้ประสบการณ์ทุกอย่าง
ได้ด้วยตนเอง

ก็จงมีเวลารับรู้ถึงประสบการณ์ของคนอื่น

เพราะเราคงมีเวลาไม่มากพอที่จะประสบมันด้วยตนเอง
แม้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตาม