lliliil Work it harder, Make it better, Do it faster, Make us Stronger liilill
space
space
space
 
พฤศจิกายน 2565
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
space
space
29 พฤศจิกายน 2565
space
space
space

Long Way Home EP.1

สวัสดีครับทุกท่าน


หลังจากหายไปจากบล๊อกเกือบเดือน 
เพราะอย่างที่ผมแจ้งไว้ว่า ผมต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ
ด้วยตารางงานที่ค่อนข้างแน่นมากครับ
เรียกว่าไม่มีเวลาให้ผมได้ปรับจูนตัวเองเลยครับ
ทั้งกับ Time Zone ... เรื่องงาน และ คนทำงาน
มาถึงก็ต้องเริ่มทำงานกันแบบไม่มีเวลา settle ตัวเอง 
และสรุปก็ไม่ได้ settle เลยด้วยซ้ำ 


การเดินทางครั้งนี้ ผมวางแผนทุกอย่างเองทั้งหมด
งบก็เขียนเองนะครับ 55555 
เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยชอบบินป้าจำปีเท่าไหร่ครับ
โอเค อาหารอร่อยถูกปากก็จริง แต่ผมรู้สึกว่าหนังมันไม่ค่อยอัพเดท
แล้วรุ่นของเครื่องบินหลังๆ ก็ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ 
แต่ครั้งนี้ ผมเลือกบินกับป้าจำปีครับ เพราะสงสารป้า....
คิดว่าถ้าเราไม่ช่วยกันบิน คงจะมี Flight เวลาดี ๆ หรือเครื่องดีๆ ให้เราไม่ได้
ถ้าอยากให้มันดี ไม่ติดอะไรก็ถือว่าช่วยๆ กัน


ส่วนเวลาที่ผมชอบบิน คือ
กลางคืน เพื่อให้ถึง เช้า
ป้าจำปีก็มีเวลาให้ผมพอดี ก็ถือว่าเข้าทางครับ ดีลกับป้าได้ง่ายๆ 
แถมอยู่ในงบที่วางไว้ ไม่บานปลายด้วยครับ สำหรับ Direct Flight




จะเริ่มเล่ายังไงดี
เริ่มต้นด้วยการเริ่มต้นการเดินทางเลยแล้วครับครับ
วันนั้นที่บ้านผมไปส่งด้วยรถของผมเอง
เพราะท้ายรถใหญ่ ใส่กระเป๋าเดินทางได้สบายๆ 
เดินทางวันอาทิตย์รถไม่ติดเหมือนเดินทางคืนวันจันทร์
ไปถึงก็มีเวลานั่งทานข้าวนิดหน่อย รอเวลา Boarding 





คิดถึงการมียืนดูบอร์ดมากครับ ว่าเคาน์เตอร์ Check-in อยู่ที่ไหน
แล้ว 3 ปีที่ผ่านมาที่ไม่ได้บิน สายตาผมคงสั้นเพิ่มขึ้น 
เพราะงานนี้ มอง Board ไม่เห็นเลยครับ และรู้สึกแก่มากที่ต้องล้วงแว่นมาใส่ 55555 





ที่ Departure คนเยอะมากครับ!!!! 
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Flight ถึงเต็มแน่นเครื่องจนผมต้องเลื่อนการเดินทางมาแล้ว
อย่างว่า พอมาตรการณ์ต่างๆ คลายลง คนเราที่ไม่ได้เที่ยวมา 3 ปี ก็อยากเที่ยว







พอบอร์ดผมก็ใช้เครื่อง Check-in อัตโนมัติ ไม่ได้ไปต่อแถวยาวเหยียดพร้อมคนอื่น
ผมอาจจะค่อนข้างเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้เครื่องอัตโนมัติ
มากกว่าการต้อง Contact คนโดยไม่จำเป็น

ตรงนี้สบายๆ ไม่มีปัญหา ไม่ได้คนเยอะมากเหมือนบางครั้ง
เพียงแค่รู้สึกว่า เราลืมอะไรไปเยอะเลย  55555

ซื้อของไปฝาก Partner ซักหน่อย




ที่ตัว King power ก็ยังเหมือนเดิมครับ 
ผมได้ของไปประมาณนึงแล้วที่ไทย 55555 เรียกว่ายังไม่ทันไปไหนก็เสียตังแล้ว
แต่ก็ฝากไว้ครับ ค่อนกลับมาเอาขากลับทีเดียว 





เวลา Gate in คือ เที่ยงคืนครับ 
ซึ่งโคตรจะเหมาะกับการนอนเลย 
ผมโชคดีได้ windown side ก็ขึ้นเครื่องมาได้ จำได้ว่ายังไม่ทันเข้ารันเวย์

....ผมหลับไปแล้ว.... 
เรียกว่าทำเวลาดีมาก ๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จะรีบทำไม 5555 เพราะยังต้องนั่งอีกนาน
แต่ผมกะว่า จะนอนให้เยอะครับ เพราะไปถึงตอนเช้าต้องทำงานเลย
ถ้าผมนอน reset เวลาซะ อาการ Jet lack จะน้อยมาก
จะไปมีอีกทีก็อาจจะช่วงค่ำๆ ซึ่งก็โอเคครับ อย่างน้อยก็ทำงานเส็ดแล้ว


หลังจากนั้นชิลเลยครับ ผมก็หลับๆ ตื่นๆ 
เวลามีของกินก็จมูกไว หูไว ตื่นตาขึ้นมากินได้ทุกครั้ง
พี่ที่ไปด้วยกันถึงกับออกปากว่า "กินได้ไงวะ พี่กินไม่ลงเลย หรือพี่แก่แล้ว"




ผมก็แค่ยิ้มๆ กินอิ่ม นอนหลับ ตลอด flight 
เกือบเช้า ผมก็มานั่งอ่านงาน บรีฟตัวเองก็จะเริ่มงาน
นั่งมองแสงแรกที่ขอบฟ้า กับเกล็ดน้ำแข็งที่หน้าต่าง 
ทำให้พอจะเดาได้ว่า เสื้อโค้ชที่เอามาได้ใช้แน่นอน





จนแสงอาทิตย์เหนือเมฆเต็มท้องฟ้า
ไม่ง่วงนะ สดชื่นเลย พร้อมทำงานมาก
คิดถึงภาพนี้มากครับ ปกติมุมมองของเราคือมุมมองใต้เมฆ
แต่ตอนนี้เมฆกลับอยู่ใต้เท้าเรา เหมือนพรมสีขาว ที่โคตรสวยเมื่อโดนแสงอาทิตย์






เช้าแล้ว.....วันใหม่เกิดขึ้นแบบงงๆ เวลาที่นาฬิกาก็ยังงงๆ
คงต้องรอประกาศ และต่อ internet เวลาถึงจะ reset 
ตรงนี้ชีวิตเร่งรีบขึ้นมาแบบตั้งตัวไม่ทันเลยครับ 
หลังจากนั่งชิลๆ มาเป็น 10 ชั่วโมง
การผ่าน ตม. ที่มิวนิก ก็เหมือนเดิมครับ ตม. โหดสลัดเหมือนเดิม
เปิดด้วยGood morning ตามปกติ ผมก็เปิดการ์ดเฟรนลี่
ทักกู้ดมอร์นิ่งเป็นอังกฤษ ตามด้วย เยอรมัน แล้วบอกว่า ไอพูดได้แค่นี้นะ
ตม. ก็เปิดดูวีซ่า พร้อมเริ่มคำถาม "ถอดแมสด้วย คุณมาทำอะไร"
"มาเที่ยวครับผม"
"มาอยู่กี่วัน"
"20 วันครับ"
"แพลนว่าจะไปที่ไหนบ้าง มาอยู่ตั้งหลายวัน"
ผมนี่ใจเต้นตึกๆ กลัวมันรู้ว่ามาทำงาน
"ว่าจะช้อปปิ้งท่องเที่ยวในมิวนิกก่อน แล้วว่าจะออกไปนอกเมือง"
"คุณมี Cash เท่าไหร่"
ผมตอบตรงๆ ว่า "ไม่มากครับ ไม่เกิน 1500ยูโร ผมจะใช้บัตรเครดิต"
"คุณมาคนเดียวหรอ"  พี่ ตม. ยังถามต่อด้วยเสียงเข้มๆ และหน้านิ่งๆ 
"เปล่าครับ ผมมีกับพี่ชาย"
"เค้าอยู่ไหน"
"ตรงโน้นมั้งครับ ผมไม่รู้เหมือนกัน เขาดูแลตัวเองได้"
"คุณฉีดวัคซีนกี่เข็มแล้ว"
"4 ครับ"
"โอเค ที่นี่คุณไม่จำเป็นต้องใส่แมสแล้วนะครับ ถ้าคุณจะใส่ก็ได้ แต่อาจจะไม่เอ็นจอยกับการดื่มเบียร์ดีๆ"
ตรงนี้พ่อ ตร. ยิ้มให้นิดๆ แต่ยังคงฟอร์มโหด
"ได้ครับ ผมเข้าใจๆ ขอบคุณนะครับ"
"ยินดีต้อนรับครับ"  ตม. พูดกลับมาเป็นภาษาเยอรมัน พร้อมส่งpassport คืนให้
"ขอบคุณครับ" ผมเลยตอบกลับเป็นเยอรมัน แล้วยกpassport ขึ้น 1 ที
ซึ่งพี่หัวหน้าก็ออกจาก ตม. มาใกล้ๆ กันครับ
พร้อมกับคอมเม้นท์ว่า "แม่งถามเยอะชิบหาย" 


อย่างแรกที่ทำเมื่อได้กระเป๋าคือ
ล้างหน้าแปรงฟัน
และ....เปลี่ยนชุดไปทำงานต่อครับ
อ่านไม่ผิดหรอกครับ....แค่นั้นจริงๆ ไม่ต้องอาบน้ำกันไป
เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาของผู้ชาย 2 คนหรอกครับ
แต่ที่ผิดแผนคือ โค้ชที่ผมวางไว้ด้านบนของกระเป๋าไม่น่าจะเอาอยู่
ผมมายืนดูลมที่พัดธงปลิวไสวอยู่หน้าประตูสนามบิน 
แล้วเดินกลับมาเปิดกระเป๋า รื้อเอาดาวน์ที่ใส่ถุงสูญญากาศไว้ออกมาใส่แทน
ตรงนี้โชคดีมากที่พี่หัวหน้าที่ต่อไปผมจะเรียกว่า
"พี่โฟล์ค"
พี่โฟล์คเป็นคนชิลๆ ไปไหนไปกันและมีความวัยรุ่นสูงมากครับ


เราเปิดฉากทำงานกันอย่างเร่งรีบ เพราะเกือบไปตามนัดไม่ทัน
แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีครับ 
การทำงานของเรา มีผมเป็น main speaker
พูดทุกเรื่องตั้งแต่งานโปรเจคที่เรามี เรื่องเชิงนโยบาย Future investment 
เรียกว่าพูดทุกอย่างแทนบริษัท ส่วนพี่โฟล์คจะคุยในมุมจูงใจ และสนับสนุน
เป็นแบบนี้อยู่ตลอด 1 สัปดาห์ จนวันท้ายๆ ผมต้องออกปากว่า ผมเหนื่อยมาก
แถมมีเป็นภูมิแพ้ จนอาการหอบกำเริบตั้งแต่กลางสัปดาห์
ส่วนพี่โฟล์คก็บอกว่า ไม่ต้องห่วงๆ เรื่องงานเอาไว้ก่อนเถอะ อะไรที่ช่วยได้พี่ช่วย
แต่ผมก็ทำหน้าที่เต็มที่ เต็มที่เหมือนไม่ได้เกิดปัญหาอะไร


วันนั้นงานเราเหนื่อยมากครับ กลับมาก็ทำงานต่อ 
กว่าจะได้นอน ล่อไปตี 2 แล้ว 7 โมงเช้าก็ต้องตื่นออกไปทำงาน
จากที่ป่วยๆ นอนน้อย อาจจะ Jet lack ด้วยกลายๆ 
บวกกับห้าวจัด คึกคัก วิ่งแข่งกันข้ามสี่แยก แล้ววิ่งขึ้นบันไดตึก ว่าใครถึงก่อนกัน
ด้วยความที่พี่อาร์ตเปิดเล่าเรื่องวิ่งที่สนามบินว่า "เห็นแบบนี้ พี่วิ่งเร็วนะเว่ย"
ประกอบกับอีก 1 แยกเราจะถึงออฟฟิศที่ต้องไปทำงาน
พี่แกเลยชวนวิ่ง นอกจากแข่งกันเองแล้ว ยังแข่งกับไฟจารจรคนข้ามด้วย
ต้องบอกว่าพี่อาร์ตอายุมากกว่าผม 10 ปี+
พี่แกต้องห้าวแค่ไหนถึงมาท้าคนที่เด็กกว่าขนาดนี้ ก็วิ่งกันสิครับ 555555
แต่พี่โฟล์คก็เหมือนคนอื่นๆ ในแผนกผมแหละครับ คือ เป็นคนดูแลตัวเองดี
และออกกำลังกายประจำ และยังคงดูดีในวัยของตัวเอง
นี่ก็วิ่งไวใช้ได้จริงๆ อย่างที่บอก ผมกับพี่โฟล์คก็วิ่งข้ามแยกกันอย่างโคตรสนุก
แต่แน่นอน....พอถึงบันได เข่าวัย 30 ดีกว่า 40  อยู่แล้ว
ผมเลยมาถึงด้านบนก่อน แล้วหันกลับไปยืนยิ้มไปหอบไปให้พี่โฟล์ค
ที่พอผมถึงก่อน พี่แกก็ยืนโหนราวบันไดหอบแฮ่กๆ ก่อนจะสาวราวบันไดตามมา
"อายุมีผล"  พี่โฟล์คพูดแล้วตบไหล่ผมเบาๆ แล้วหัวเราะกัน
ผมเดินเข้าตึกพร้อมพี่อาร์ต แต่อยู่ๆ ก็ใจสั่น ผมก็ยังคงเดินต่อไป
แต่อาการใจสั่นก็เกิดซ้ำอีกแถมมากขึ้นด้วย จนเริ่มรู้ว่า สงสัยงานนี้จะวูบวะ
ผมเลยเรียกพี่อาร์ตบอกว่า ใจสั่น เหมือนจะเป็นลม
พี่อาร์ตก็ไม่ได้ดูตกอกตกใจอะไรครับ แต่เดินมาจับ แล้วพูดขำๆ 
"อ่ะไปนั่งก่อน จะร่วงบอกนะ เดี๋ยวหา AED แป้บ พี่เคยอบรมนะ"
ผมก็แค่ยิ้มๆ แล้วคิดในใจว่า เออดีวะที่พี่เค้ามีสติมาก ไม่ตกใจเลย
มองนาฬิกาอีกที เหลืออีก 8 นาทีจะถึงเวลานัด 
เลยลุกขึ้นมาบอกพี่โฟล์คว่าไปกันเถอะพี่ ได้เวลาแล้ว
พี่โฟล์คก็ยังพูดด้วยเสียงสดชื่นรื่นเริงว่า "เฮ้ย อันนั้นเอาไว้ก่อนๆ เอาที่ไหวก่อน"
"ไหวพี่ไปเถอะ"  ผมก็ลุกไปกดลิฟต์ แล้วก็ไปยืนเท้าเอวหลับตาพิงลิฟต์อยู่
"เชี้ย! ทำไมหน้าซีดงั้นวะ ไม่ใช่อยู่ๆ ร่วงไปนะเว่ย พี่เก็บไม่ทันนะ นี่ไงชั้นที่เราไปมี AEDด้วย"
"พี่เก็บไว้ใช้เองเถอะ"  ถึงมือนึงจะถือยาดม แต่ปากผมว่างเถียงนะ 5555
"หุย....ปากดี"  แล้วพี่โฟล์คก็ดันผมออกไปนอกลิฟต์ แล้วเข้าไปดีลประชาสัมพันธ์เอง





การประชุมครั้งนั้น ผมเงียบเลยครับ พูดไรไม่ออกเลย เวียนหัว
พรีเซ้นต์งานแบบมึนๆ เบลอๆ  ส่วนพี่โฟล์คโชว์สกิลอย่างเทพ
พูดในสิ่งที่จำจากที่ผมเคยพูดไปพูดต่อ ขาดบ้างเกินบ้าง 
แต่พยายามมาก ๆ ที่จะช่วยให้ผมได้พัก  และให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
วันนั้นทั้งวันผมก็ทำแค่หน้าที่ที่ต้องเป็นผมเท่านั้นถึงจะพรีเซ้นได้ครบถ้วน 
ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ส่งต่อให้พี่โฟล์คด้นสดต่อ
ซึ่งด้วยประสบการณ์สูง พี่เค้าConduct ต่อได้อย่างมืออาชีพ
จนสิ้นวันผมได้แต่พูดว่า "ขอบคุณนะครับพี่"
ส่วนพี่แกก็ชิลๆ ตามสไตล์ บอกว่า "เฮ่ยสบาย พี่อยากช่วยเมิงนะ" 


การทำงานของผมกับพี่โฟล์คเป็นไปด้วยดีมากๆ 
เราถ้อยทีถ้อยอาศัยและเคารพกันและกันเสมอ
ผมเองก็พยายามโชว์ Sincerity ว่าผมพร้อมไปด้วยกันกับเค้าเสมอ
10 วันที่ทำงานด้วยกันเลยเป็นช่วงเวลาที่ดีเลยครับ
ต้องบอกว่า ผมเหนื่อนและเครียดน้อยกว่าที่คิดไว้มาก เมื่อมีคน Support
พอเค้ากลับไปก่อนตามแผนงาน ก็แอบมีเหงาๆ นะ 5555
จากที่เคยมีเพื่อนคุย หายไปเฉยๆ ก็เงียบเอาเรื่อง


แต่ก่อนแยกกัน เราก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวกันอยู่นะครับ
พอมีกัน 2 คนก็กล้าทำอะไรๆ กันมากขึ้น 
เช่ารถสิครับ แล้วขับไปเที่ยวกัน ซึ่งพี่เค้าก็ขับให้ ส่วนผมดูทาง
ขับกันไปถึง
ซัลซ์บวร์ก เดินเล่น หาอะไรกิน แวะเยี่ยมบ้านโมซาร์ต
ที่ผมซึ่งเป็นคนเล่นดนตรีออกปากว่า...
"ไม่อิน"  55555







เอาจริงๆ แค่เดินเล่นเอาบรรยากาศในเมืองก็เยี่ยมแล้วครับ
เพราะซัลซ์บวร์กเป็นเมืองเงียบ ๆ สวยงาม
เรียกว่าไม่เฟี้ยวฟ้าวเหมือนมิวนิกครับ 
อันนั้นผมก็ใช้เวลาว่างกันอยู่แถบ
เซนต์มาเรีย กินเบียร์ ช้อปปิ้งกันอยู่








เออ...จะบอกว่าตอนทำงานเข้าขากันดี แต่ไปตีกันตอนขับรถนะครับ
เพราะไอ่ผมนี่แหละที่บอกทางไม่ค่อยรู้เรื่อง แถมอ่านหนังสือช้า
ถึงแม้  Google map จะช่วยได้เยอะ แต่ก็ต้องมีดูป้ายบอกทางบ้างครับ
ซึ่งภาษาไทยผมยังมั่ว นับประสาอะไรกับเยอรมันที่อ่านไม่ออก 55555
พี่โฟล์คถึงกับอุทานว่า "ไอปริ้นซ์! อะไรของเมิงอีกวะ เอาดีๆ ไหนเมิงบอกเมิงเคยขับ"
"ผมไม่ได้บอกว่าผมเคยขับ ผมนั่งเว่ยพี่ เพื่อนมันขับ"
"แล้วเมิงไม่เคยดูทางหรอ ว่าขับซ้ายมันต้องยังไง"
"ผมหลับ! ผมหลับเป็นส่วนใหญ่ เพื่อน4 คนมันก็ดูกันดิพี่ แต่ผมเคยมาเยอรมันไง"
เถียงกันขำ ๆ แหละครับ ไม่ให้เงียบ


แล้วไปแก้มือตอนไป
ปราสาทนอยชวานสไตน์
ซึ่งผมก็อ่านป้ายไม่ออกอีกเช่นเดิม และใช่การเดาที่ไม่มีหลักการมากครับ
คือเห็นแว้บๆ ผมอ่านไม่ทันหรอกว่านอยชวานสไตน์ อ่านได้เป็นนิวเตนอะไรซักอย่าง
แต่คำหน้า Schloss ที่แปลว่า ปราสาท ผมอ่านว่า "School"
"สกูลบ้าอะไรเล่า เปิด Map ดิ เมิงอ่ะอ่านไม่ออก เมิงพูดได้แค่สวัสดีใช่ไหม"
.....เออ....ผมพูดได้แค่สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ กับนับ 1-10 ...ลืมแล้วด้วย....
ซึ่งผมก็แก้เขินด้วยการบอกว่า "ก็อย่ามาถามแล้วกัน"







นอยชวานสไตน์ยังสวยเหมือนเดิมครับ เพิ่มเติมคือหนาวจัด ๆ
ขนิดที่เรียกว่า ออกไปยืนนอกรถแล้วจะตายให้ได้

ที่สำคัญ.....แทบไม่เห็นใครใส่แมสกันแล้วที่ยุโรป
คงเหมือนกับที่ พี่ตม. บอกละครับ ว่ายูไม่ต้องใส่แมสแล้วนะ
พาร์ทเนอร์ที่เจอกันบอกผมว่า ช่วงแรก ๆ ที่ประกาศให้ถอดแมสได้
ทุกคนก็ถอดหมดเลยครับ แล้วก็ติดโควิดกันระนาว 555555





หลังจากนั้นโควิดก็แทบจะหายไปเลย เพราะเกิด Herd Immunity 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับการจัดการและความเหมาะสมของแต่ละประเทศอ่ะนะครับ

จริงๆ ระบบสาธารณะสุขของบ้านเราดีมากนะครับ
คนไทยเข้าถึงการรักษาได้ง่ายมาก เรียกว่ามีดบาด รถล้ม เป็นไข้ ก็ขอเข้าฉุกเฉินได้
และหมอของเราส่วนใหญ่ก็ใจดีครับ ถ้ามาแล้วคุณหมอไม่ได้ติดเคสด่วนก็ดูแลเบื้องต้นให้
ผมเคยฝุ่นเข้าตาแล้วฝั่งอยู่ในตาขาว เอาไม่ออก ไปหาหมอตอน 4 ทุ่ม
โรงพยาบาลที่ไปไม่มีหมอตาออกแล้ว คุณหมอก็พยายามช่วยล้างตาให้ เขี่ยให้
พอทำไม่ได้จริงๆ ก็โทรหาให้ว่าตอนนี้ยังมีหมอตาอยู่ที่ไหนบ้าง
เพื่อให้ผมได้ไปพบก่อน หรือจะรอเช้าแล้วมาที่นั่นใหม่ก็ได้ มีทางเลือก
ถ้าเป็นต่างประเทศฝุ่นเข้าตานี่.....ล้างเองนะครับ 555555



เรื่องในเยอรมันก็คงหมดแค่นี้ 
เพราะหลังจากนั้น3 วันคุณชาญก็บินมาครับ 
พร้อมคำสั่งให้ผมเปลี่ยนแผน บินไปคุยงานกับลูกค้าต่อเลยที่ประเทศอื่นต่อ
ซึ่งผมก็บินต่อแทบจะทันทีแบบไม่ได้ตั้งตัวอีกตามเคย
เพราะคุณชาญสั่งให้หลังบ้านที่ไทยเปลี่ยนตั๋วให้ผมซะเรียบร้อยแล้ว
มีหน้าที่แค่เก็บกระเป๋าแล้วเอาตัวเองเดินทางต่อเลยครับ




ไว้เจอกันที่อีกประเทศนะครับ
แล้วผมจะมาเล่าใหม่



ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง แวะมาเยี่ยมเยียนครับ
จริงๆ ตอนนี้ผมอยู่ไทยแล้ว แต่ไม่ได้อยู่ กรุงเทพนะ  
เส็ดงานผมก็ลางานมาพักผ่อนที่เขาใหญ่ซัก  3-4 วัน
ไว้เริ่มงานอาทิตย์หน้าเลย ชดเชยกับที่ทำงานแทบจะ 24 ชั่วโมงมา 20วัน



 


Create Date : 29 พฤศจิกายน 2565
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2565 12:15:02 น. 22 comments
Counter : 640 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร, คุณกะว่าก๋า, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณnonnoiGiwGiw, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณเริงฤดีนะ, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณSweet_pills, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณThe Kop Civil, คุณtanjira, คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณtuk-tuk@korat, คุณnewyorknurse


 
ขนาดใช้ภาษาสื่อสารกันได้ น่าจะไปได้ดี
ไปเมืองนอกยังมีปัญหาสุขภาพมาเล่าสู่กันฟังอีก
สงสัยต้องเข้าโรงหมอเช็คใหญ่กันแล้วหละมั๊ง
ป.ล ก็ไปเที่ยวจริงๆ นี่ ถือว่าไม่ได้หลอก ตม. นะ





โดย: หอมกร วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:28:28 น.  

 
ถ้าตัดปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากวิ่งไปแล้ว
พี่ก๋าว่าทริปแรกนี้
หน้าที่การงานสะดวกราบรื่นดีมากๆเลยนะครับ
ได้พี่โฟล์คเป็นผู้ร่วมงานด้วย ทุกอย่างที่ไปได้สวยเลย

รอบนี้ได้ทั้งทำงาน ได้ทั้งเที่ยวด้วย
คุ้มค่าจริงๆครับ

Business man พี่ก๋าเขียนไว้หลายปีแล้ว
ก่อนโควิดอีก
เพิ่งมีจังหวะเอาลงบล็อกช่วงนี้เองครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:32:11 น.  

 
Welcome home ค่ะ

ถือว่าการงานผ่านไปด้วยดี แม้สุขภาพไม่ค่อยอำนวยนะคะ
แต่ได้เพื่อนร่วมงานดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แถมได้เที่ยวอีก
เป็นประสบการณ์ที่ดีนะคะ

ภาพอาหารจานข้างบนนั่นคืออะไรคะ
จะเป็นขาหมูเยอรมันไหมคะ อิอิ


โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:15:23:01 น.  

 
ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่าาาาา ^ ^

เรียกว่าเลิศมากได้ทั้งเที่ยวได้ทั้งประสบการณ์
ดีทั้งเรื่องงานทั้งเรื่องสุขภาพ สำหรับพี่มองว่า
สุขภาพไม่ได้แย่เลยนะ เพราะมันทั้งเปลี่ยนสถาณที่
เปลี่ยนภูมิอากาศ เปลี่ยนเวลา ต้องปรับสภาพโ
น่นนั่นนี่หลายอย่างเลย
วิ่งได้ขนาดนี้ถือว่าโชว์พาวได้สุดยอด
ไม่เสียแรงที่เพิ่งจะสามสิบ
ไม่งั้นอาจขายหน้าตายได้ 555+

ส่วนกลับมาแล้วได้ไปเที่ยวเขาใหญ่หลายวัน
ก็ดีนะ ได้ผ่อนคลาย มีฟิลพาเมียเที่ยวสวีทนอกสถานที่ได้
ถือเป็นนิมิตรหมายอันดี ยังไงก็ขอให้สนุกนะ
เที่ยวเผื่อพี่ด้วย ช่วงนี้ไม่ได้ไปไหนเลย




จากบล็อก
วัคซีนโควิดพี่น่าจะไม่ได้ฉีด เพราะฉีดไปก็เท่านั้น
ยังไงเชื้อมันก็ update ไปเรื่อย บวกกับเป็นแล้ว
พี่ไม่มีอาการไรมาก จะเปนอีกก็ช่างมั่นเถอะ
แต่อย่าเป็นดีที่สุดแหละ

ไปคลองอ้อมปีใหม่น่ะหรอ
ลองดูในเพจเค้าก่อนนะว่าปิดไม่ปิด
แต่ไม่น่าจะปิดนะ ขนมไรอร่อยหรอ
พี่ว่าสโคนก็อร่อยดีนะ ขนุนน่าจะมีเรื่อยๆแหละ
ที่ร้านมีเตี๋ยวต้มยำพอกินได้

ปล. รอชมภาพญี่ปุ่นต่อนะ


โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:15:52:15 น.  

 
ผมรีบมาตอบก่อนเลย

คือที่จีนล็อคดาวน์ไม่ให้ออกจากบ้านเลย ใช้เหล็กอ๊อกปิดเลย แต่ลูกป่วยเขาก็ต้องหาทางออกให้ได้อยู่แล้วล่ะครับ คนเป็นแม่ผมเข้าใจความรู้สึกนะ แล้วตึกสูงขนาดนั้นเชือกรับน้ำหนักเขากับลูกไม่ไหวหรอก เชือกขาดก็เป็นอย่างที่เห็น

ผมตามข่าวที่จีนจริงจังตั้งแต่ตอนประชุมพรรคที่จีนที่หมีพู สั่งให้ลากอดีตลูกพี่เขาออกไปน่ะแหละครับ คนโดดตึกตายเยอะนะ เพราะล็อคแต่ไม่มีข้าวให้กิน เลยฆ่าตัวตาย


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:16:33:03 น.  

 
กลับมาแล้วหายไปนานมาก ๆ 555

แหม เรียกป้าเชียวนะ เพื่อน ๆ ที่ทำงานมันคงจะค้อนเอาแต่เพื่อนๆ มันชอบว่า สวัสดิการดี บินก็ส่วนลดเยอะ

ผมกับเพื่อน ๆ ยังลุ้น ว่าป้าจะไปแนวไหน เงียบ ๆ ไว้ก่อนเพราะ
เป็นแหล่งทำเงินให้หลายคน หุ หุ

เรื่องขับรถ ตปท. บางทีก็เสียว(ผมนั่ง) ชิดขวามันจะตีโค้งไง


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:17:26:25 น.  

 
ผมรู้สึกไม่ดีกับ ป้าจำปี มาก ผมเคยเจอประสบการณ์ที่เลวร้าย แม้จะไม่ได้เกิดกับตัว แต่ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งมันอาจเกิดขึ้นกับเราโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัวก็ได้ เคยมีเคสผู้โดยสารท่านหนึ่ง เขาตัวเล็กครับสูงน่าจะ 150 เซนติเมตร เป็นผู้หญิงวัยกลางคนไปในทางเกือบสูงอายุ แกต้องการเก็บกระเป๋าในที่เก็บสัมภาระด้านบน แต่เพราะแกรูปร่างเล็ก แกดันกระเป๋าใส่เข้าไปไม่ได้ แกเลยเรียก พนง. ซึ่งพนักงานที่อยู่ใกล้ๆ นั้น พวกเธอแค่ชายตามองแต่ไม่ช่วยอะไร เอาแต่คุยกันเองกับ พนง.อีกคน

ผมทนไม่ไหวต้องลุกไปช่วยดันกระเป๋าเข้าไปให้ แกขอบอกขอบใจ ก่อนที่จะมีคนพูดเสียงดังประชดประชันว่า "มันไม่ช่วยหรอก คนไทยต้องทำใจ" คำพูดนี้กระมังที่มันเสียดแทงไปที่ใจ ทำให้ พนง.ขยับตัวหน่อย ทำไมพนักงานเวลาสอบเป็นแอร์บนเครื่องต้องมีข้อจำกัดเรื่องความสูง เพราะเพราะจะได้ช่วยเหลือผู้โดยสารในจุดนี้ได้ คุณอาจบอกว่า "มันไม่ใช่หน้าที่" คุณเลยไม่ช่วย แอร์ไม่ใช่พนักงานยกกระเป๋า โอเค ผมยอมรับ คุณพูดได้ถูก แม้จะไม่ใช่หน้าที่ในฐานะพนักงาน แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่เห็นผู้อื่นลำบากคุณจะไม่ช่วยเลยหรือ? ถ้าคำตอบคือ "ใช่" สิ่งนี้จะได้ชื่อว่าเป็นภาพลักษณ์ขององค์กรนี้ ซึ่งจากวันนั้นถึงวันนี้ผมไม่เคยลืมเหตุการณ์นี้เลย

ขึ้นเครื่องป้าจำปีผมพยายามไม่แสดงตัวเป็นคนไทยเลยครับ เคยเจอครั้งหนึ่งเกี่ยวกับใบคนเข้าเมือง พอเราพูดเท่านั้นแหละ "อ้าวคนไทยเหรอ" น้ำเสียงมันฟังแล้วผมรู้สึกไม่ดีมากๆ ผมไม่ได้ต้องการให้พินอบพิเทาอะไร กลับกันผมแค่ต้องการแค่ความรู้สึกที่เป็นมิตรของผู้ให้บริการที่มีต่อผู้รับบริการก็เท่านั้น มาตรฐานที่ผมวางไว้โคตรต่ำเลยล่ะครับ (เหมือนพากย์การ์ตูนน่ะแหละ นักพากย์คนไหนไม่นอกบท ผมให้คะแนนยืนพื้นก่อน 7 คะแนน ถ้าเข้าเงื่อนไขไม่มีใครได้ต่ำกว่า 8 แน่นอนครับ)

ป้าจำปีมีดีแค่เรื่องเดียวกับคือเรื่องเวลา ที่เหลือสำหรับผมเป็นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนัก ผมเคยร่ายเวทเรื่องนี้ไว้นานแล้วครับ 1, 2 และหลังจากกลับมาเมืองไทยผมก็ไม่ได้ใช้บริการสายการบินนี้อีกเลย ถ้าประตูในใจปิดแล้ว มันยากที่จะเปิดออกครับ เหมือนค่ายการ์ตูนนี่แหละ ค่ายวิบูลกิจใช้เวลาเป็นเกือบ 10 ปี กว่าจะเปิดประตูในใจผมได้อีกครั้ง แถมเปิดออกแล้วความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิม มันมีแผลใจไปแล้ว



คนเราพอเที่ยวได้ก็เต็มที่ครับ มันอัดอั้นมานาน ตอนผมบินก็ใช้เครื่องอัตโนมัติ แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่หน่อยไม่ค่อยชินครับ เรานี่แหละต้องค่อยช่วยพร้อมๆ พนง. ในสนามบินที่อยู่แถวนั้น เรื่องจริงครับ เวลามีอาหารมามันรู้สึกตัวเอง ไม่รู้เพราะแสงไฟด้วยรึเปล่า

ผมชอบนะกับคำพูดนี้ "โอเค ที่นี่คุณไม่จำเป็นต้องใส่แมสแล้วนะครับ ถ้าคุณจะใส่ก็ได้ แต่อาจจะไม่เอ็นจอยกับการดื่มเบียร์ดีๆ" ฟังแล้วมันรู้สึกดีมากๆ ดูแล้วราบรื่นดีนะครับในการทำงาน น่าจะขับไปเที่ยวที่ การ์มิช-พาร์เทินเคียร์เชิน ที่นั่นเห็นว่าอากาศดีมาก เป็นเมืองตากอากาศ เพื่อนบล็อกเราคนหนึ่งอยู่เยอรมัน (ตอนนี้เลิกเขียนไปแล้ว) ยังบอกเลยว่าที่นี่ดีงามมาก

ของเราน่าจะยังต้องใส่หน้ากากอนามัยกันต่อไปอีกยาว ยาวไปๆ

ป.ล.โจทย์ถนนสายนี้มีตะพาบครั้งต่อไปโจทย์ "พูดกับฉันในวันที่ผ่านมา" 8 ธันวาคม 2565 นี้ อย่าลืมนะครับ^^


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:18:05:34 น.  

 
เก็บตกหน่อย ดีแล้วที่ไม่ไปพูดกับ ตม. ว่า Scheisse แบบนั้นอาจไม่ได้เข้าเมือง


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:18:18:38 น.  

 
ตกหล่นไปหน่อย ขีนก็ใช้ VPN ในการมุดออกมาครับ ตอนนี้หนักมากตรงที่สถานที่หลายๆ แห่งจะมีสายตรวจคอยตรวจมือถือดูข้อมูลว่ามีประวัติการท่องเว็บแปลกๆ หรือมีแอป (ที่ทางการจีนถือว่า) ผิดกฎหมายมั้ย (เช่น FB ทวิตภพ ไลน์)


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:18:21:40 น.  

 
ญี่ปุ่นเปิดประเทศ
คนไทยน่าจะไปเยอะมากๆๆๆๆๆเลยนะครับ
ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีด้วย

Business man มีเกิน 30 ตอนเลยครับ
พี่ก๋าเขียนไว้นานแล้ว
เขียนก่อนโควิดอีกครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:22:11:49 น.  

 
สวัสดีครับคุณปริ๊นซ์

Welcome to BG ครับ เสริฟ์welcome drink พร้อมคล้องพวงมาลัย ..อะจึ๋ย
คุณปริ๊นซ์เล่าเรื่องสนุกดีครับ อ่านไปก็เพลิน
ชอบที่บินกลางคืนเพื่อไปถึงเช้าด้วยครับ
พอเริ่มต้นด้วยเช้าวันใหม่แล้วมันสดชื่นเนาะ
แสงแรกสวยเลยครับ
ชอบอาคารบ้านเรือน แบบทรงวินเทจแบบนั้นนะครับ
ให้ความเป็นยุโรปดี
รออ่านบล็อกหน้านะครับ

ขอบคุณกำลังใจด้วยครับ
เดี๋ยวนี้ราคาหนังสือการ์ตูนพากันแพงขึ้นมากเลย
ซื้อจับฉ่ายไม่ได้แว้ว ต้องเลือกที่มั่นใจว่าจะอยู่กับเราได้นาน ^^


โดย: มาช้ายังดีกว่าไม่มา วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:0:19:26 น.  

 
อ่านถึง ตม. ที่มิวนิคซักถามน้องปริ๊นซ์ค่ะ
อยากอ่านมาก พรุ่งนี้พี่ต๋ามาอ่านต่อนะคะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:0:47:11 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับน้องปริ๊นซ์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:3:02:46 น.  

 
Welcome back home ค่ะ Little Prince
ติด อากาศเย็นแน่เลย จึงเลยไปเขาใหญ่
ชอบไปกับกลุ่มเพื่อนๆน้องๆ เหมือนกันพักที่ Bonanza
ของ ครอบครัวเตชะณรงค์
ไปปั่นๆจักรยานแนว หนัง"แฟนฉัน"รอบเขา..
เดินมา karaoke ร้าน cafe..ริมถนนข้างนอก



มาpresent งานที่เยอรมันเป็นteam workแบบมืออาชีพซะด้วย
ขอแสดความยินดีกับความสำเร็จ
ปลายปีน่าจะรับโบนัสตัวเลขที่สวยงาม

รออ่านทริปการpresent งานในประเทศที่ 2 ค่ะ



พักผ่อนๆๆๆ ค่ะ
Be strong..take care.


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:6:51:54 น.  

 
ช่วงนี้ ครูขอให้กำลังใจก่อนนะ ไม่สบายนั่งนานไม่ได้ จ้ะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:12:21:57 น.  

 
สวัสดีครับน้องปริ๊นซ์
มีเพื่อนร่วมงานดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริง ๆ ครับ ยังงัยก็ได้ช่วยแบ่งเบาภาระทำให้น้องปริ๊นซ์ไม่ต้องหนักเกินไปนะ
ดูภาพบรรยากาศในเมือง พี่ว่าบรรยากาศดีสุด ๆ ไปเลยนะครับ ได้ขับรถชมเมืองแบบนี้ฟินมาก ๆ พี่อยากไปปั่นจักรยาน วิ่งบ้าง 555


โดย: The Kop Civil วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:13:45:03 น.  

 
สวัสดีค่ะน้องปริ๊น

พี่ก็หายไปพอๆกับน้องเลยมั้งคะ ว่าด้วยสุขภาพแหละค่ะ
อ่านไปเกือบครึ่ง ติดไว้ก่อนนะคะ ไว้มาอ่านต่อพรุ่งนี้ค่ะ

ไปถึงโน่นยังมีอาการด้วย แต่ไม่แปลกสำหรับน้องปริ๊น 555

ดีใจที่น้องกลับมาแล้ว และได้ไปพักผ่อนให้พี่อิจฉาด้วย 555

ดูแลตัวเองและสุขภาพด้วยนะคะน้องปริ๊นน


โดย: tanjira วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:33:51 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณน้องปริ๊นซ์..

ดีจัง..เป็นประสบการณ์ที่ดี(มั๊ง?)

เขาใหญ่มีสวนดอกไม้เยอะ ..

เที่ยวเผื่อด้วยนะคะ..



โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:38:48 น.  

 
กลับมาแล้วๆ ในที่สุดก็กลับมา ไม่นึกว่าจะไปถึงเยอรมัน

ต.ม. โหดเหมือนกัน ไปเองก็แบบนี้ล่ะ ถ้าไปทัวร์ยังไงก็เดินตัวปลิว ไปทำงานในรูปแบบไปเที่ยว ต่างประเทศเขาเข้มงวดมากเลยนะ เขาไม่ยอมเลยล่ะ

เคยได้ยินเรื่องมีเด็กไทยไปงานคอสเพลย์ของสักประเทศ แล้วมันได้รับเงินไง (ถือเป็นการจ้างงาน) แต่มาในนามของท่องเที่ยว โดนตำรวจจับสิ แต่ดีที่เคลียร์กันได้ แต่ก็วุ่นวายน่าดูเหมือนกัน

ไปทำงานแบบนี้ได้เที่ยวด้วย แต่เอาจริงๆ เราเคยไปทำงานลักษณะนี้มันไม่ได้รู้สึกเที่ยวหรอก แค่สัมผัสบรรยากาศเท่านั้น แต่ถ่ายรูปอวดในเฟสบุ๊คได้ มันดีตรงนี้ล่ะ


โดย: โลกคู่ขนาน (สมาชิกหมายเลข 7115969 ) วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:16:25:41 น.  

 
ชี้เป้าส้มตำสี่สิบบาทคือไร...อยู่แถวนั้นก็กินแถวนั้นไม๊ จะถ่อมาเพื่อ 55


โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:20:11:30 น.  

 
อ่านต่อจบแล้ว เพลินมากค่ะ
น้องปริ๊นซ์ทำงานแล้วได้เที่ยวพักผ่อนสลับ ดีจริงๆค่ะ
ปราสาทนอยชวานสไตน์ ถ้าจำไม่ผิดเป็นต้นแบบของ
ปราสาทเจ้าหญิงนิทรา สวยและน่าเที่ยวมาก

รออ่านตอนต่อไปนะคะว่าน้องปริ๊นซ์จะบินไปทำงาน
ที่ประเทศไหนต่อ

สนุกๆกับการพักผ่อนที่เขาใหญ่ค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 1 ธันวาคม 2565 เวลา:0:17:08 น.  

 
อ่านสนุกค่ะ
แต่คนเล่าหายเหนื่อยละเนาะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 2 ธันวาคม 2565 เวลา:13:56:29 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

จันทราน็อคเทิร์น
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




* Engineer
* Guitar trainer
* Casual gamer



space
space
space
space
[Add จันทราน็อคเทิร์น's blog to your web]
space
space
space
space
space