|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
สวัสดีครับทุกท่าน
หลังจากหายไปจากบล๊อกเกือบเดือน เพราะอย่างที่ผมแจ้งไว้ว่า ผมต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ ด้วยตารางงานที่ค่อนข้างแน่นมากครับ เรียกว่าไม่มีเวลาให้ผมได้ปรับจูนตัวเองเลยครับ ทั้งกับ Time Zone ... เรื่องงาน และ คนทำงาน มาถึงก็ต้องเริ่มทำงานกันแบบไม่มีเวลา settle ตัวเอง และสรุปก็ไม่ได้ settle เลยด้วยซ้ำ
การเดินทางครั้งนี้ ผมวางแผนทุกอย่างเองทั้งหมด งบก็เขียนเองนะครับ 55555 เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยชอบบินป้าจำปีเท่าไหร่ครับ โอเค อาหารอร่อยถูกปากก็จริง แต่ผมรู้สึกว่าหนังมันไม่ค่อยอัพเดท แล้วรุ่นของเครื่องบินหลังๆ ก็ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ ผมเลือกบินกับป้าจำปีครับ เพราะสงสารป้า.... คิดว่าถ้าเราไม่ช่วยกันบิน คงจะมี Flight เวลาดี ๆ หรือเครื่องดีๆ ให้เราไม่ได้ ถ้าอยากให้มันดี ไม่ติดอะไรก็ถือว่าช่วยๆ กัน
ส่วนเวลาที่ผมชอบบิน คือ กลางคืน เพื่อให้ถึง เช้า ป้าจำปีก็มีเวลาให้ผมพอดี ก็ถือว่าเข้าทางครับ ดีลกับป้าได้ง่ายๆ แถมอยู่ในงบที่วางไว้ ไม่บานปลายด้วยครับ สำหรับ Direct Flight
จะเริ่มเล่ายังไงดี เริ่มต้นด้วยการเริ่มต้นการเดินทางเลยแล้วครับครับ วันนั้นที่บ้านผมไปส่งด้วยรถของผมเอง เพราะท้ายรถใหญ่ ใส่กระเป๋าเดินทางได้สบายๆ เดินทางวันอาทิตย์รถไม่ติดเหมือนเดินทางคืนวันจันทร์ ไปถึงก็มีเวลานั่งทานข้าวนิดหน่อย รอเวลา Boarding
คิดถึงการมียืนดูบอร์ดมากครับ ว่าเคาน์เตอร์ Check-in อยู่ที่ไหน แล้ว 3 ปีที่ผ่านมาที่ไม่ได้บิน สายตาผมคงสั้นเพิ่มขึ้น เพราะงานนี้ มอง Board ไม่เห็นเลยครับ และรู้สึกแก่มากที่ต้องล้วงแว่นมาใส่ 55555
ที่ Departure คนเยอะมากครับ!!!! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Flight ถึงเต็มแน่นเครื่องจนผมต้องเลื่อนการเดินทางมาแล้ว อย่างว่า พอมาตรการณ์ต่างๆ คลายลง คนเราที่ไม่ได้เที่ยวมา 3 ปี ก็อยากเที่ยว
พอบอร์ดผมก็ใช้เครื่อง Check-in อัตโนมัติ ไม่ได้ไปต่อแถวยาวเหยียดพร้อมคนอื่น ผมอาจจะค่อนข้างเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้เครื่องอัตโนมัติ มากกว่าการต้อง Contact คนโดยไม่จำเป็น
ตรงนี้สบายๆ ไม่มีปัญหา ไม่ได้คนเยอะมากเหมือนบางครั้ง เพียงแค่รู้สึกว่า เราลืมอะไรไปเยอะเลย 55555
ซื้อของไปฝาก Partner ซักหน่อย
ที่ตัว King power ก็ยังเหมือนเดิมครับ ผมได้ของไปประมาณนึงแล้วที่ไทย 55555 เรียกว่ายังไม่ทันไปไหนก็เสียตังแล้ว แต่ก็ฝากไว้ครับ ค่อนกลับมาเอาขากลับทีเดียว
เวลา Gate in คือ เที่ยงคืนครับ ซึ่งโคตรจะเหมาะกับการนอนเลย ผมโชคดีได้ windown side ก็ขึ้นเครื่องมาได้ จำได้ว่ายังไม่ทันเข้ารันเวย์ ....ผมหลับไปแล้ว.... เรียกว่าทำเวลาดีมาก ๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จะรีบทำไม 5555 เพราะยังต้องนั่งอีกนาน แต่ผมกะว่า จะนอนให้เยอะครับ เพราะไปถึงตอนเช้าต้องทำงานเลย ถ้าผมนอน reset เวลาซะ อาการ Jet lack จะน้อยมาก จะไปมีอีกทีก็อาจจะช่วงค่ำๆ ซึ่งก็โอเคครับ อย่างน้อยก็ทำงานเส็ดแล้ว
หลังจากนั้นชิลเลยครับ ผมก็หลับๆ ตื่นๆ เวลามีของกินก็จมูกไว หูไว ตื่นตาขึ้นมากินได้ทุกครั้ง พี่ที่ไปด้วยกันถึงกับออกปากว่า "กินได้ไงวะ พี่กินไม่ลงเลย หรือพี่แก่แล้ว"
ผมก็แค่ยิ้มๆ กินอิ่ม นอนหลับ ตลอด flight เกือบเช้า ผมก็มานั่งอ่านงาน บรีฟตัวเองก็จะเริ่มงาน นั่งมองแสงแรกที่ขอบฟ้า กับเกล็ดน้ำแข็งที่หน้าต่าง ทำให้พอจะเดาได้ว่า เสื้อโค้ชที่เอามาได้ใช้แน่นอน
จนแสงอาทิตย์เหนือเมฆเต็มท้องฟ้า ไม่ง่วงนะ สดชื่นเลย พร้อมทำงานมาก คิดถึงภาพนี้มากครับ ปกติมุมมองของเราคือมุมมองใต้เมฆ แต่ตอนนี้เมฆกลับอยู่ใต้เท้าเรา เหมือนพรมสีขาว ที่โคตรสวยเมื่อโดนแสงอาทิตย์
เช้าแล้ว.....วันใหม่เกิดขึ้นแบบงงๆ เวลาที่นาฬิกาก็ยังงงๆ คงต้องรอประกาศ และต่อ internet เวลาถึงจะ reset ตรงนี้ชีวิตเร่งรีบขึ้นมาแบบตั้งตัวไม่ทันเลยครับ หลังจากนั่งชิลๆ มาเป็น 10 ชั่วโมง การผ่าน ตม. ที่มิวนิก ก็เหมือนเดิมครับ ตม. โหดสลัดเหมือนเดิม เปิดด้วยGood morning ตามปกติ ผมก็เปิดการ์ดเฟรนลี่ ทักกู้ดมอร์นิ่งเป็นอังกฤษ ตามด้วย เยอรมัน แล้วบอกว่า ไอพูดได้แค่นี้นะ ตม. ก็เปิดดูวีซ่า พร้อมเริ่มคำถาม "ถอดแมสด้วย คุณมาทำอะไร" "มาเที่ยวครับผม" "มาอยู่กี่วัน" "20 วันครับ" "แพลนว่าจะไปที่ไหนบ้าง มาอยู่ตั้งหลายวัน" ผมนี่ใจเต้นตึกๆ กลัวมันรู้ว่ามาทำงาน "ว่าจะช้อปปิ้งท่องเที่ยวในมิวนิกก่อน แล้วว่าจะออกไปนอกเมือง" "คุณมี Cash เท่าไหร่" ผมตอบตรงๆ ว่า "ไม่มากครับ ไม่เกิน 1500ยูโร ผมจะใช้บัตรเครดิต" "คุณมาคนเดียวหรอ" พี่ ตม. ยังถามต่อด้วยเสียงเข้มๆ และหน้านิ่งๆ "เปล่าครับ ผมมีกับพี่ชาย" "เค้าอยู่ไหน" "ตรงโน้นมั้งครับ ผมไม่รู้เหมือนกัน เขาดูแลตัวเองได้" "คุณฉีดวัคซีนกี่เข็มแล้ว" "4 ครับ" "โอเค ที่นี่คุณไม่จำเป็นต้องใส่แมสแล้วนะครับ ถ้าคุณจะใส่ก็ได้ แต่อาจจะไม่เอ็นจอยกับการดื่มเบียร์ดีๆ" ตรงนี้พ่อ ตร. ยิ้มให้นิดๆ แต่ยังคงฟอร์มโหด "ได้ครับ ผมเข้าใจๆ ขอบคุณนะครับ" "ยินดีต้อนรับครับ" ตม. พูดกลับมาเป็นภาษาเยอรมัน พร้อมส่งpassport คืนให้ "ขอบคุณครับ" ผมเลยตอบกลับเป็นเยอรมัน แล้วยกpassport ขึ้น 1 ที ซึ่งพี่หัวหน้าก็ออกจาก ตม. มาใกล้ๆ กันครับ พร้อมกับคอมเม้นท์ว่า "แม่งถามเยอะชิบหาย"
อย่างแรกที่ทำเมื่อได้กระเป๋าคือ ล้างหน้าแปรงฟัน และ....เปลี่ยนชุดไปทำงานต่อครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ....แค่นั้นจริงๆ ไม่ต้องอาบน้ำกันไป เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาของผู้ชาย 2 คนหรอกครับ แต่ที่ผิดแผนคือ โค้ชที่ผมวางไว้ด้านบนของกระเป๋าไม่น่าจะเอาอยู่ ผมมายืนดูลมที่พัดธงปลิวไสวอยู่หน้าประตูสนามบิน แล้วเดินกลับมาเปิดกระเป๋า รื้อเอาดาวน์ที่ใส่ถุงสูญญากาศไว้ออกมาใส่แทน ตรงนี้โชคดีมากที่พี่หัวหน้าที่ต่อไปผมจะเรียกว่า "พี่โฟล์ค" พี่โฟล์คเป็นคนชิลๆ ไปไหนไปกันและมีความวัยรุ่นสูงมากครับ
เราเปิดฉากทำงานกันอย่างเร่งรีบ เพราะเกือบไปตามนัดไม่ทัน แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีครับ การทำงานของเรา มีผมเป็น main speaker พูดทุกเรื่องตั้งแต่งานโปรเจคที่เรามี เรื่องเชิงนโยบาย Future investment เรียกว่าพูดทุกอย่างแทนบริษัท ส่วนพี่โฟล์คจะคุยในมุมจูงใจ และสนับสนุน เป็นแบบนี้อยู่ตลอด 1 สัปดาห์ จนวันท้ายๆ ผมต้องออกปากว่า ผมเหนื่อยมาก แถมมีเป็นภูมิแพ้ จนอาการหอบกำเริบตั้งแต่กลางสัปดาห์ ส่วนพี่โฟล์คก็บอกว่า ไม่ต้องห่วงๆ เรื่องงานเอาไว้ก่อนเถอะ อะไรที่ช่วยได้พี่ช่วย แต่ผมก็ทำหน้าที่เต็มที่ เต็มที่เหมือนไม่ได้เกิดปัญหาอะไร
วันนั้นงานเราเหนื่อยมากครับ กลับมาก็ทำงานต่อ กว่าจะได้นอน ล่อไปตี 2 แล้ว 7 โมงเช้าก็ต้องตื่นออกไปทำงาน จากที่ป่วยๆ นอนน้อย อาจจะ Jet lack ด้วยกลายๆ บวกกับห้าวจัด คึกคัก วิ่งแข่งกันข้ามสี่แยก แล้ววิ่งขึ้นบันไดตึก ว่าใครถึงก่อนกัน ด้วยความที่พี่อาร์ตเปิดเล่าเรื่องวิ่งที่สนามบินว่า "เห็นแบบนี้ พี่วิ่งเร็วนะเว่ย" ประกอบกับอีก 1 แยกเราจะถึงออฟฟิศที่ต้องไปทำงาน พี่แกเลยชวนวิ่ง นอกจากแข่งกันเองแล้ว ยังแข่งกับไฟจารจรคนข้ามด้วย ต้องบอกว่าพี่อาร์ตอายุมากกว่าผม 10 ปี+ พี่แกต้องห้าวแค่ไหนถึงมาท้าคนที่เด็กกว่าขนาดนี้ ก็วิ่งกันสิครับ 555555 แต่พี่โฟล์คก็เหมือนคนอื่นๆ ในแผนกผมแหละครับ คือ เป็นคนดูแลตัวเองดี และออกกำลังกายประจำ และยังคงดูดีในวัยของตัวเอง นี่ก็วิ่งไวใช้ได้จริงๆ อย่างที่บอก ผมกับพี่โฟล์คก็วิ่งข้ามแยกกันอย่างโคตรสนุก แต่แน่นอน....พอถึงบันได เข่าวัย 30 ดีกว่า 40 อยู่แล้ว ผมเลยมาถึงด้านบนก่อน แล้วหันกลับไปยืนยิ้มไปหอบไปให้พี่โฟล์ค ที่พอผมถึงก่อน พี่แกก็ยืนโหนราวบันไดหอบแฮ่กๆ ก่อนจะสาวราวบันไดตามมา "อายุมีผล" พี่โฟล์คพูดแล้วตบไหล่ผมเบาๆ แล้วหัวเราะกัน ผมเดินเข้าตึกพร้อมพี่อาร์ต แต่อยู่ๆ ก็ใจสั่น ผมก็ยังคงเดินต่อไป แต่อาการใจสั่นก็เกิดซ้ำอีกแถมมากขึ้นด้วย จนเริ่มรู้ว่า สงสัยงานนี้จะวูบวะ ผมเลยเรียกพี่อาร์ตบอกว่า ใจสั่น เหมือนจะเป็นลม พี่อาร์ตก็ไม่ได้ดูตกอกตกใจอะไรครับ แต่เดินมาจับ แล้วพูดขำๆ "อ่ะไปนั่งก่อน จะร่วงบอกนะ เดี๋ยวหา AED แป้บ พี่เคยอบรมนะ" ผมก็แค่ยิ้มๆ แล้วคิดในใจว่า เออดีวะที่พี่เค้ามีสติมาก ไม่ตกใจเลย มองนาฬิกาอีกที เหลืออีก 8 นาทีจะถึงเวลานัด เลยลุกขึ้นมาบอกพี่โฟล์คว่าไปกันเถอะพี่ ได้เวลาแล้ว พี่โฟล์คก็ยังพูดด้วยเสียงสดชื่นรื่นเริงว่า "เฮ้ย อันนั้นเอาไว้ก่อนๆ เอาที่ไหวก่อน" "ไหวพี่ไปเถอะ" ผมก็ลุกไปกดลิฟต์ แล้วก็ไปยืนเท้าเอวหลับตาพิงลิฟต์อยู่ "เชี้ย! ทำไมหน้าซีดงั้นวะ ไม่ใช่อยู่ๆ ร่วงไปนะเว่ย พี่เก็บไม่ทันนะ นี่ไงชั้นที่เราไปมี AEDด้วย" "พี่เก็บไว้ใช้เองเถอะ" ถึงมือนึงจะถือยาดม แต่ปากผมว่างเถียงนะ 5555 "หุย....ปากดี" แล้วพี่โฟล์คก็ดันผมออกไปนอกลิฟต์ แล้วเข้าไปดีลประชาสัมพันธ์เอง
การประชุมครั้งนั้น ผมเงียบเลยครับ พูดไรไม่ออกเลย เวียนหัว พรีเซ้นต์งานแบบมึนๆ เบลอๆ ส่วนพี่โฟล์คโชว์สกิลอย่างเทพ พูดในสิ่งที่จำจากที่ผมเคยพูดไปพูดต่อ ขาดบ้างเกินบ้าง แต่พยายามมาก ๆ ที่จะช่วยให้ผมได้พัก และให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนั้นทั้งวันผมก็ทำแค่หน้าที่ที่ต้องเป็นผมเท่านั้นถึงจะพรีเซ้นได้ครบถ้วน ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ส่งต่อให้พี่โฟล์คด้นสดต่อ ซึ่งด้วยประสบการณ์สูง พี่เค้าConduct ต่อได้อย่างมืออาชีพ จนสิ้นวันผมได้แต่พูดว่า "ขอบคุณนะครับพี่" ส่วนพี่แกก็ชิลๆ ตามสไตล์ บอกว่า "เฮ่ยสบาย พี่อยากช่วยเมิงนะ"
การทำงานของผมกับพี่โฟล์คเป็นไปด้วยดีมากๆ เราถ้อยทีถ้อยอาศัยและเคารพกันและกันเสมอ ผมเองก็พยายามโชว์ Sincerity ว่าผมพร้อมไปด้วยกันกับเค้าเสมอ 10 วันที่ทำงานด้วยกันเลยเป็นช่วงเวลาที่ดีเลยครับ ต้องบอกว่า ผมเหนื่อนและเครียดน้อยกว่าที่คิดไว้มาก เมื่อมีคน Support พอเค้ากลับไปก่อนตามแผนงาน ก็แอบมีเหงาๆ นะ 5555 จากที่เคยมีเพื่อนคุย หายไปเฉยๆ ก็เงียบเอาเรื่อง
แต่ก่อนแยกกัน เราก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวกันอยู่นะครับ พอมีกัน 2 คนก็กล้าทำอะไรๆ กันมากขึ้น เช่ารถสิครับ แล้วขับไปเที่ยวกัน ซึ่งพี่เค้าก็ขับให้ ส่วนผมดูทาง ขับกันไปถึงซัลซ์บวร์ก เดินเล่น หาอะไรกิน แวะเยี่ยมบ้านโมซาร์ต ที่ผมซึ่งเป็นคนเล่นดนตรีออกปากว่า... "ไม่อิน" 55555
เอาจริงๆ แค่เดินเล่นเอาบรรยากาศในเมืองก็เยี่ยมแล้วครับ เพราะซัลซ์บวร์กเป็นเมืองเงียบ ๆ สวยงาม เรียกว่าไม่เฟี้ยวฟ้าวเหมือนมิวนิกครับ อันนั้นผมก็ใช้เวลาว่างกันอยู่แถบเซนต์มาเรีย กินเบียร์ ช้อปปิ้งกันอยู่
เออ...จะบอกว่าตอนทำงานเข้าขากันดี แต่ไปตีกันตอนขับรถนะครับ เพราะไอ่ผมนี่แหละที่บอกทางไม่ค่อยรู้เรื่อง แถมอ่านหนังสือช้า ถึงแม้ Google map จะช่วยได้เยอะ แต่ก็ต้องมีดูป้ายบอกทางบ้างครับ ซึ่งภาษาไทยผมยังมั่ว นับประสาอะไรกับเยอรมันที่อ่านไม่ออก 55555 พี่โฟล์คถึงกับอุทานว่า "ไอปริ้นซ์! อะไรของเมิงอีกวะ เอาดีๆ ไหนเมิงบอกเมิงเคยขับ" "ผมไม่ได้บอกว่าผมเคยขับ ผมนั่งเว่ยพี่ เพื่อนมันขับ" "แล้วเมิงไม่เคยดูทางหรอ ว่าขับซ้ายมันต้องยังไง" "ผมหลับ! ผมหลับเป็นส่วนใหญ่ เพื่อน4 คนมันก็ดูกันดิพี่ แต่ผมเคยมาเยอรมันไง" เถียงกันขำ ๆ แหละครับ ไม่ให้เงียบ
แล้วไปแก้มือตอนไปปราสาทนอยชวานสไตน์ ซึ่งผมก็อ่านป้ายไม่ออกอีกเช่นเดิม และใช่การเดาที่ไม่มีหลักการมากครับ คือเห็นแว้บๆ ผมอ่านไม่ทันหรอกว่านอยชวานสไตน์ อ่านได้เป็นนิวเตนอะไรซักอย่าง แต่คำหน้า Schloss ที่แปลว่า ปราสาท ผมอ่านว่า "School" "สกูลบ้าอะไรเล่า เปิด Map ดิ เมิงอ่ะอ่านไม่ออก เมิงพูดได้แค่สวัสดีใช่ไหม" .....เออ....ผมพูดได้แค่สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ กับนับ 1-10 ...ลืมแล้วด้วย.... ซึ่งผมก็แก้เขินด้วยการบอกว่า "ก็อย่ามาถามแล้วกัน"
นอยชวานสไตน์ยังสวยเหมือนเดิมครับ เพิ่มเติมคือหนาวจัด ๆ ขนิดที่เรียกว่า ออกไปยืนนอกรถแล้วจะตายให้ได้
ที่สำคัญ.....แทบไม่เห็นใครใส่แมสกันแล้วที่ยุโรป คงเหมือนกับที่ พี่ตม. บอกละครับ ว่ายูไม่ต้องใส่แมสแล้วนะ พาร์ทเนอร์ที่เจอกันบอกผมว่า ช่วงแรก ๆ ที่ประกาศให้ถอดแมสได้ ทุกคนก็ถอดหมดเลยครับ แล้วก็ติดโควิดกันระนาว 555555
หลังจากนั้นโควิดก็แทบจะหายไปเลย เพราะเกิด Herd Immunity แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับการจัดการและความเหมาะสมของแต่ละประเทศอ่ะนะครับ จริงๆ ระบบสาธารณะสุขของบ้านเราดีมากนะครับ คนไทยเข้าถึงการรักษาได้ง่ายมาก เรียกว่ามีดบาด รถล้ม เป็นไข้ ก็ขอเข้าฉุกเฉินได้ และหมอของเราส่วนใหญ่ก็ใจดีครับ ถ้ามาแล้วคุณหมอไม่ได้ติดเคสด่วนก็ดูแลเบื้องต้นให้ ผมเคยฝุ่นเข้าตาแล้วฝั่งอยู่ในตาขาว เอาไม่ออก ไปหาหมอตอน 4 ทุ่ม โรงพยาบาลที่ไปไม่มีหมอตาออกแล้ว คุณหมอก็พยายามช่วยล้างตาให้ เขี่ยให้ พอทำไม่ได้จริงๆ ก็โทรหาให้ว่าตอนนี้ยังมีหมอตาอยู่ที่ไหนบ้าง เพื่อให้ผมได้ไปพบก่อน หรือจะรอเช้าแล้วมาที่นั่นใหม่ก็ได้ มีทางเลือก ถ้าเป็นต่างประเทศฝุ่นเข้าตานี่.....ล้างเองนะครับ 555555
เรื่องในเยอรมันก็คงหมดแค่นี้ เพราะหลังจากนั้น3 วันคุณชาญก็บินมาครับ พร้อมคำสั่งให้ผมเปลี่ยนแผน บินไปคุยงานกับลูกค้าต่อเลยที่ประเทศอื่นต่อ ซึ่งผมก็บินต่อแทบจะทันทีแบบไม่ได้ตั้งตัวอีกตามเคย เพราะคุณชาญสั่งให้หลังบ้านที่ไทยเปลี่ยนตั๋วให้ผมซะเรียบร้อยแล้ว มีหน้าที่แค่เก็บกระเป๋าแล้วเอาตัวเองเดินทางต่อเลยครับ
ไว้เจอกันที่อีกประเทศนะครับ แล้วผมจะมาเล่าใหม่
ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง แวะมาเยี่ยมเยียนครับ จริงๆ ตอนนี้ผมอยู่ไทยแล้ว แต่ไม่ได้อยู่ กรุงเทพนะ เส็ดงานผมก็ลางานมาพักผ่อนที่เขาใหญ่ซัก 3-4 วัน ไว้เริ่มงานอาทิตย์หน้าเลย ชดเชยกับที่ทำงานแทบจะ 24 ชั่วโมงมา 20วัน
Create Date : 29 พฤศจิกายน 2565 |
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2565 12:15:02 น. |
|
22 comments
|
Counter : 640 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณหอมกร, คุณกะว่าก๋า, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณnonnoiGiwGiw, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณเริงฤดีนะ, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณSweet_pills, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณThe Kop Civil, คุณtanjira, คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณtuk-tuk@korat, คุณnewyorknurse |
โดย: หอมกร วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:28:28 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:32:11 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:15:23:01 น. |
|
|
|
โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:15:52:15 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:16:33:03 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:18:05:34 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:18:18:38 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:18:21:40 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 พฤศจิกายน 2565 เวลา:22:11:49 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:0:47:11 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:3:02:46 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:6:51:54 น. |
|
|
|
โดย: tanjira วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:33:51 น. |
|
|
|
โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 30 พฤศจิกายน 2565 เวลา:20:11:30 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 1 ธันวาคม 2565 เวลา:0:17:08 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ไปเมืองนอกยังมีปัญหาสุขภาพมาเล่าสู่กันฟังอีก
สงสัยต้องเข้าโรงหมอเช็คใหญ่กันแล้วหละมั๊ง
ป.ล ก็ไปเที่ยวจริงๆ นี่ ถือว่าไม่ได้หลอก ตม. นะ