สิงหาคม 2560

 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
Dallas,TX เมืองที่มีมากกว่าความHOT ตอนที่1 รถไฟพาไปDowntown


 หลังจากได้วีซ่าแคนาดามาไว้ในครอบครอง ก็เริ่มออกเดินทางวันที่ 14 ก.ค. 2560 บอกเลยว่าทริปแคนาดานี้ตื่นเต้นตั้งแต่ก่อนก่อนไปสนามบิน  โดยไฟลท์บินไปแคนาดา ธนิดาเลือกเอาราคาที่ถูกสุดๆจ่ายไป$436 ราคานี้ทั้งไป-กลับ แต่ขาไปต้องlayoverในDallasนานถึง13ชม. ส่วนขากลับ11ชม. นึกว่าตัวเองเป็น ทอม แฮงค์ในเรื่อง Terminal ทั้งที่ตอนแรกได้ไฟลท์ดีมาก ไป-กลับรอแค่4 ชม. แถมถูกกว่าด้วย แต่ปรากฏว่าตั๋วหมดค่ะเลยจำใจซื้อตั๋วนี้มา  แต่พอหลังซื้อไป5นาที ปรากฏว่าอีตั๋วนั้นมันยังอยู๋ พอโทรไปขอยกเลิกกับเอเจนซี่ ก็ดันบอกว่าเปลี่ยนต้องจ่ายเงิน150เหรียญ  ถ้ายกเลิกจ่าย50เหรียญ  แต่ในเมื่อเลือกแล้วก็โอเค ทำใจไปค่ะ  

และแล้วก็ถึงวันที่ 14 ก.ค. 60 ตื่นตั้งแต่ตี4 เพราะไฟลท์ออกตอน6โมงเช้า ส่วนโฮสต์พ่อก็ใจดีบอกเดี๋ยวไปส่งให้นะ ออกสักตี5.15 แต่! กว่านางจะตื่นก็ตี5.10 โอเคไม่ว่ากันบ้านใกล้สนามบิน พอไปถึงรถ นางต้องขนเตาปิ้งย่างที่เพิ่งซื้อมาลงจากรถก่อน ทั้งหมดทั้งมวลเหลือเวลาจากบ้านไปสนามบินแค่35นาที! มองนาฬิกา5.25 ใจนี่เต้นตุบตับเพราะดันไม่ได้เช็คอินออนไลน์ล่วงหน้าไว้ด้วย แถมกระเป๋าก็ต้องโหลดใต้ท้องเครื่องอีก  แต่ด้วยเดชะบุญที่ทำมา ถึงสนามบินตอน5.35 ต้องไปลุ้นว่าจะเช็คอินได้ไหม แถมกำหนดเวลาBoarding passคือ 5.45 ตอนต่อคิวรอเช็คอินก็มีคนรออยู่ข้างหน้า5คน โอ้โห้ใจนี่อยากจะขอแทรกกลางมากๆ   พอไปถึงหน้าพนักงานก็ยื่นพาสปอร์ตให้พร้อมภาวนาให้เช็คอินได้ด้วยเถิดดดด  พนักงานถามว่าไปไหน ก็บอกว่าไปแคนาดา พักเครื่องที่แวนคูเวอร์ค่ะ นางก็โอเคเปิดหน้าวีซ่าแล้วถามว่าไหนหน้าpassportค่ะ ไอเราก็งงเปิดpassportหน้าแรกให้ดู พร้อมกับเปิดหน้าvisaอเมริกาให้ด้วย แต่นางก็ยังทำหน้างง สุดท้ายถึงบางออ เปิดหน้าวีซ่าแคนาดาให้ดู คือแค่เปิดหลังจากวีซ่าเมกาก็เห็นแล้วไหมละ! ได้แต่เหวี่ยงในใจ แต่ด้วยความที่นางเฟรนลี่เลยให้อภัย สุดท้ายพนักงานก็ยื่นboarding passมาให้ ดีใจที่สุด!แต่สิ่งที่ต้องผ่านด่านต่อไปคือ สแกนกระเป๋าค่ะ แถมแถวยาวมากกกก ณ เวลานั้นคือ5.45 แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านปด้วยดี รีบวิ่งไปที่Gateเลยค่ะ ดีที่สนามบินไม่ใหญ่มาก วิ่งแปบเดียวก็ถึง 5.50 เฉียดฉิวสุดๆ ใจนี่กลัวGateปิดมากแต่สุดท้ายก็ผ่าานไปได้ด้วยดี แถมไม่ใช่คนสุดท้ายที่มา ยังมีคนรอเดินขึ้นเครื่องบินต่อจากเราอีก  ต้องเรียนว่าโชคดีที่บินตอนเช้าถ้าบินตอนบ่ายเวลาแบบนี้คงไม่ทันแน่นอน เรียกได้ว่าตกเครื่องเป็นนกปีกหัก 

และแล้วก็ถึงDallasตอน 8.00 ไปตามหากระเป๋าเพราะคิดว่าต้องหยิบกระเป๋าไปเช็คอินอีกรอบนึง ปรากฏว่าไม่ใช่ กระเป๋าเราไปถึงแวนคูเวอร์เลย ในเมื่อถามพนักงานเรื่องกระเป๋าแล้วก็ถือโอกาสถามหาวิธีเที่ยวซะเลย  ได้ใจความว่าDowntown Dallas สามารถนั่งบัสและรถไฟไปได้ ความจริงก็หาข้อมูลมาจากอินเตอร์เน็ตแล้วละ แต่ถามเพื่อความชัวร์ เรียกว่าได้เวเคชั่น ทริปของเรานั้นเป็นทริปแสนสาหัสจริงๆ เพราะไหนจะทำเรื่องวีซ่า ค่าเครื่องบิน ค่าตั๋ว การนั่งรอเครื่องบิน หาที่เที่ยว ทุกอย่างมันฉุกละหุกไปหมด 

ขออธิบายความใหญ่ของสนามบินDallasก่อนเลย เพราะสนามบินนี้มี5 เทอมินัล A B C D E และแต่ละเทอมินัลต้องนั่ง Skylinkไปหากัน ตัวSkylinkนี้นอกจากขึ้นฟรีแล้วยังมีความเร็วที่เรยกได้ว่าจอดทีต้องหาที่จับไม่งั้นตัวอาจจะทะลุกระจกออกไปได้ ไม่ได้เว่อนะคะ แต่นางเร็วจริงๆขนาดคิดว่าฝึกทักษะการยืนบนรถไฟฟ้าจากMRT BTSที่ไทยแล้วยังขอยอมแพ้ทักษะการออกตัวและจอดของนาง ชนิดที่ว่าไม่ต้องกลัวไปขึ้นเครื่องไม่ทันเลย


source: https://www.dart.org/riding/dfwairport.asp





กลับมาที่วิธีการไปDowntown เราต้องนั่งSkylink ไปลงterminal A จากนั้นออกจากสนามบินไปขึ้นDART Train  ราคาไม่แพงอย่างที่คิดตั๋วทั้งวัน$5  ถือเป็นความประทับใจที่มีต่อDallasเลยก็ว่าได้เพราะการคมนาคมเขาสะดวกจริงๆ ทั้งรถไฟและรถบัส  แต่จากสนามบินเดินไปDartนี่ถามทั้งinformation ยันคนขับรถบัสเลย สกิลในการอ่านแผนที่และหาทางแทบจะไม่มี เพิ่งจะมาเกิดก็ตอนเดินทางเที่ยวคนเดียวเนี่ยแหละ


ตั๋วและคู่มือการเดินทาง คู่มือจะคอยเวลาเดินรถในแต่ละวันของแต่ละสถานี ถามว่าอ่านเป็นไหม? ก็ไม่ค่ะ เข้าเน็ตถามgoogleหรือในเว็บว่าDartจะมาตอนไหนง่ายกว่า


รถไฟDartจะมีสี่สาย แดง ฟ้า เขียว ส้ม 
จากสนามบินไปDowntownคือสายสีแดง 


วิวของสายสีแดงจะสวยมาก ตึกใหม่บ้านเมืองแลดูดี รถไฟจะผ่านย่านมหาวิทยาลัยด้วย


ป้ายบอกสถานที  วิวนี้ให้อารมณ์สวนลุมบ้านเรายู่หน่อยๆ


เขามีแต่ระไฟฟ้าวิ่งในเมือง แต่นี่Dallasรถไฟจะวิ่งผ่านเมืองเลยค่ะ ถ้าเข้าไปในDowntownแทบจะตัดผ่านถนนกันเลย แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปDartในDowntownเอาไว้

พอเดินทางด้วยรถไฟจะให้อารมณ์แบบเราเป็นLocalของเขา เห็นความเรียลแท้ๆ ตอนเช้านั่งรถไฟหรือDartจากสนามบินเข้าDowntownคนยังน้อยอยู่ แถมถิ่นย่านสายสีแดงจะมีความไฮโซนิดๆ รปภยืนคุ้มอยู่ในขบวน ให้ความรู้สึกปลอดภัย แต่พอตอนเย็นมีเวลาเหลือเลยคิดจะนั่งรถไฟสุดสายเล่นๆแล้วกลับไปสนามบิน แต่ผิดแผนดันตอนแรกจะนั่งสายสีแดง แต่ขึ้นผิดไปนั่งสายสีเขียว ความซวยบังเกิดเลยค่ะ เพราะย่านสายสีเขียวจะค่อนข้างน่ากลัว พอรถไฟกำลังออกจากDowntownเท่านั้นแหละ จากตึกที่มีความหลากหลายทางสถาปัตยกรรม กลายเป็นตึกแฟลตที่เหมือนไม่ได้ทาสีใหม่มา10ปี ตอนแรกนั่งไปเอะใจ ตอนหลังสังเกตมีแต่คนดำขึ้นขบวนเออเราก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเห็นว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่ในขบวนเหมือนกัน ค่อยอุ่นใจ ระหว่างทางวิวค่อนข้างเปลี่ยวและน่ากลัว จากบ้านสวยๆกลายเป็นถิ่นสลัม อันนี้เราเข้าใจว่าเป็นทุกประเทศแหละ ในเรื่องของความเลื่อมล้ำทางสังคม แต่ถึงยังไงทุกคนก็มีสิทธิที่เข้าถึงการคมนาคม  ตอนนั่งรถไฟขากลับ ต้องรอให้ถึงเวลาก่อน ระหว่างรอนี่มีความลุ้นระทึก สังเกตว่าแม้แต่พื้นรถไฟยังไม่ความเหนียวๆเวลาเหยียบพื้นให้ความรู้สึกหยึบหยับมาก  ณ เวลานั้นคิดแล้วค่ะว่าแกต้องเปลี่ยนโบกี้รถไฟไปนั่งหัวขบวนติดคนขับนะจะได้ปลอดภัย แต่คิดไงไม่รู้ดันนั่งโบกี้ตรงกลางแทน แค่นั้นแหละค่ะรู้เรื่องเลย  ในโบกี้มีอยู่5คน คู่รัก โฮมเลส เฮียมาเฟีย และ กะเหรี่ยงน้อยจากเมืองไทย  นั่งไปสักพักเจอคนคู๋รักจุดบุหรี่สูบ โอ้โห้คิดไว้เลยป้ายหน้าชั้นจะลงไปขึ้นอีกที่ เขาห้ามสูบก็ยังสูบขาดซึ่งความเกรงใจขนาดนี้ใครจะไปสูดดมให้โง่ละคะ  พอนั่งไปใกล้ถึงอีกสถานี พี่โฮมเลสเกิดอยากผูกมิตร เดินเข้ามาหาถามชื่อเลยจ้า เอาละใจนี่เต้นมากอยากจะร้องออกมาดังๆว่านี่ชั้นต้องเอาชีวิตมาถึงที่Dallasทั้งๆที่ยังไม่ไปแคนาดาเลยหรอ  ตอนแรกกะว่าจะทำเป็นพูดอังกฤษไม่ได้ นั่งฟังพี่แกถามจนรอบที่5 นึกว่าจะลดความพยายาม สุดท้ายยอมใจพี่เขาบอกไปว่าชื่อดา มีการมาตอบกลับอีกนะว่าYou look so cute อีหอกกกก อยู่เมกามาตั้งนานไม่เคยมีผู้ใดมาจีบ เจอพี่มืดวัย50กว่ามาจีบ น้องควรดีใจไหมคะ? พอถึงสถานีปุ๊บ ย่างกับสวรรค์ รีบลงไปขึ้นอีกโบกี้ได้แต่ภาวะนาให้พี่มืดไม่ตามมานั่งข้างๆ พอขึ้นมาอีกโบกี้นี่เจอคนขับรถ กับคนอื่นๆที่แต่งตัวดูธรรมดาก็ดีใจละ พอขึ้นมานั่งยังได้กลิ่นบุหรี่อยู่เลย ความพีคนี่จำไม่เคยลืม  

ข้อคิดที่ได้จากการเดินทางคือ"หากคิดจะเดินทางแบบLocal ต้องศึกษาความLocalของเขาด้วย" ถือเป็นประสาบการณ์ที่ทำให้เราได้เติบโตอย่างแท้จริง ผ่านจุดนี้ไปได้เราจะแข็งแกร่งมากขึ้น รับสถาณการณ์ได้ดีขึ้นกว่าเดิม  แต่เรื่องนี้้บอกเลยว่าไม่กล้าบอกใครๆ ทั้งพ่อแม่และโฮสต์เพราะกลัวเขาเป็นห่วง แต่ยังไงก็ผ่านทุกอย่างมาได้โดยไม่ได้เอาชีวิตไปทิ้งก็ถือว่าดวงแข็งแล้วคะ  บ๊ายบายรถไฟสายสีเขียว

 อยากบอกว่าความจริงแล้วคนผิวสีในเมกาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะ เพียงแต่ขึ้นอยู่กับย่านที่เราไป ก็ไม่ต่างจากเมืองไทยที่เราจะมีโซนในเมือง ชานเมือง วิถีความเป็นอยู่ต่างกัน ถ้าเราไม่ได้เตรียมใจรับมือมาก็จะกลัวแบบนี้ได้นะคะ ทั้งๆที่มันอาจจะไม่ได้มีอะไร



Create Date : 13 สิงหาคม 2560
Last Update : 20 สิงหาคม 2560 9:38:59 น.
Counter : 1703 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3870294
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สาวน้อยกับการเดินทางใช้ชีวิตในต่างแดน Blogนี่ทำขึ้นเพื่อเรียบเรียง ความคิด เรื่องราวก่อนและหลังจากมาอยู่อเมริกา เพราะความโฮมซิก a little bitของหนูน้อย
New Comments