ไปเจอเค้กนี้ที่หนังสือ A World of Cake อ่านประวัติ แล้วสนใจขึ้นมาทันทีค่ะ เพราะเขายกให้เค้กนี้ เป็นสูตรขนมยอดนิยมของญี่ปุ่น มาพร้อมกับ โดรายากิ (Dorayaki) และชีสเค้กญี่ปุ่น (Japanese Cheesecake)



ว่ากันว่า “Kasutera” หรืออีกชื่อหนึ่ง “Castella” คือ เค้ก sponge มีส่วนผสมหลักคือ น้ำตาล แป้ง ไข่ และไซรัปหวาน ๆ เช่นน้ำผึ้ง เป็นขนมยอดนิยมในช่วงเทศกาลต่าง ๆ และมีขายตามร้านรายทางทั่วไป ในญี่ปุ่น (เราก็เพิ่งทราบกับเขา อิอิ) แหล่งผลิตที่มีชื่อในปัจจุบันอยู่ที่เมืองนางาซากิ (Nagasaki) ... ต้นกำเนิดจริง ๆ ของขนมนี้ก็ไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามาจากไหนกันแน่ ระหว่าง เสปน กับ โปรตุเกส แต่ส่วนใหญ่คิดว่า ต้นตอคงมาจากแถบ Castile ประเทศเสปน พ่อค้าชาวโปรตุเกส นำขนมนี้มาเผยแพร่ในญี่ปุ่นช่วงศตวรรษที่ 16 อีกที ... ชื่อของเค้กมาจากภาษโปรตุเกส pão de Castella ซึ่งมีความหมายในภาษาอังกฤษว่า "bread from Castile" หรือ ขนมปังจาก Castile... (ข้อมูลจาก Wikipedia และอ่านจากเว็บค่ะ)










พอดูสูตรจากหนังสือแล้ว ก็เลยลองไปหาสูตรในอินเตอร์เน็ทเทียบ แล้วไปเจอสูตรยอดนิยม ที่เว็บของคุณ Maki www.justhungry.com เห็นชาว Blogger นานานชาติ หลาย ๆ คน เอาสูตรนี้ไปทำ ว่ากันว่าสูตรนี้ใกล้เคียงกับที่เขาทำขายที่ญี่ปุ่น ก็เลยอยากลอง อ่านข้ามคำเตือนกำกับสูตรว่า “ยาก” อิอิ ... แล้วเราก็พบว่า ขนมนี้ยากทีเดียวค่ะ อารมณ์เปรียบเทียบความยากประมาณ Macaron เลยทีเดียวสำหรับเรา ... ไข่หมดเป็นโหล ๆ ฮ่ะฮ่ะ ... เราอ่านเจอบล็อกเกอร์คนหนึ่ง ต้องทดลองทำ 4 – 5 ครั้ง เลยค่ะ ถึงออกมาสวย ใครที่ชอบลองเค้กใหม่ ๆ ลองทำดูมั้ยคะ ความจริงวิธีการทำไม่ยาก ส่วนผสมก็ไม่กี่อย่าง เหมาะสำหรับทำเป็นขนมว่างไว้ที่บ้าน .... ที่ว่ายากในความคิดของเรา คือเรื่องการอบ และการผสมแบทเทอร์ ให้ได้เนื้อละเอียด เนียนจริง ๆ เหมือน Kasutera ที่เขาทำขายกัน ....









รูปพรรณสัณฐานของเค้กนี้ จะมีสีเหลืองทอง หรือ สีน้ำตาลไหม้ ทั้งดานบนและด้านล่าง จาก Honey Glaze และน้ำตาลไหม้ ด้านก้นเค้ก ... ด้านข้างจะตัดเปลือย แบบที่เห็น เค้กนี้ที่เราเห็นในเว็บญี่ปุ่นจะมีทรงสูงเป็นส่วนใหญ่นะคะ แต่เราไม่อยากใช้ไข่เยอะ ก็เลยทำเป็นทรงเตี้ย ๆ เอาค่ะ ความจริงเขามีพิมพ์สำหรับอบ Kasutera โดยเฉพาะ เราไม่มีก็ใช้พิมพ์เค้กธรรมดา




ส่วนผสม - (ทำครึ่งสูตรจาก original)

ดูวิธีการทำเทียบเคียง จากเว็บ yummyindulgences@blogspot อีกทีค่ะ







1. ไข่ 4 ฟอง
2. น้ำตาลทราย 150 กรัม (3/4 ถ้วย) + 1 ช้อนชา (สำหรับโรยก้นพิมพ์อบ)
3. แป้งอเนกประสงค์ 100 กรัม (3/4 ถ้วย) - ร่อน 2 – 3 ครั้ง
4. นม 50 มล. (~2 ช้อนโต๊ะ)
5. น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำร้อน 2 ช้อนชา (เอาไม่ให้เข้มมาก เดียวหน้าเค้กดำไปค่ะ)
(สำหรับทาหน้าเค้ก ช่วงเค้กสุก นำออกจากเตา) *



หมายเหตุ

1. ส่วนผสมข้อ 6 ไม่ต้องมีก็ได้ หากไม่ต้องการ glaze หรือทาหน้าเค้ก

2. น้ำตาลเราว่าอยู่ในสัดส่วนพอดีแล้วนะคะ เราทดลองลดแล้ว คิดว่าไม่ลดดีกว่า
สูตรเขาพอดีแล้วค่ะ เขาบอกว่าเค้กนี้ต้องให้ออกรสหวานนิด ๆ แต่ถ้าคนไม่ชอบหวานจริง ๆ
ตักออกซัก 2 ช้อนโต๊ะก็ดีค่ะ...

3. ขนมสูตรนี้ใช้แป้งอเนกประสงค์จริง ๆ ค่ะ บางสูตร เขาใช้แป้งขนมปัง หรือ
Bread Flour ทำเลยก็มี .... แต่ปัจจุบัน ก็มีบางสูตรประยุกต์ไปใช้แป้งเค้ก
เราทดลองทำด้วยแป้งเค้กเหมือนกัน คิดว่าเนื้อเค้กอ่อนไป เวลาตัดค่ะ "ใช้แป้ง
อเนกประสงค์จะดีกว่า สำหรับสูตรนี้นะคะ"



** หากทำเป็นรสชาเขียว ใช้ผงชาเขียว 10 กรัม ค่ะ




อุปกรณ์สำคัญที่ควรมี

1. นาฬิกา จับเวลา ไว้ก็ดีนะคะ จะได้ไม่พลาดในแต่ละขั้นตอน
2. เครื่องตีไข่ไฟฟ้าแบบมือถือ (electric hand mixer)




วิธีทำ






1. ปูกระดาษไข (Wax Paper) หรือกระดาษทนความร้อน (Parchment Paper) บนถาดสีเหลี่ยม 8” x 8” ... ตัดกระดาษเป็นสองชิ้น ปูทับซ้อนให้ปลายกระดาษ เลื้อยตามขอบขึ้นมา ตามรูปนะคะ อาจใช้เนยทาแปะบางส่วนด้านบนเพื่อให้กระดาษ เกาะติดพิมพ์ ส่วนอื่นไม่ต้องทาเนยหรือน้ำมันใด ๆ ค่ะ ... เสร็จแล้วก็โรยน้ำตาลให้ทั่วก้นพิมพ์ พักไว้



* จะไม่โรยน้ำตาลที่ก้นพิมพ์ก็ได้ค่ะ ส่วนใหญ่เราไม่ได้โรยค่ะ

* ไม่แนะนำให้ใช้พิมพ์โลฟขนมปังนะคะ เราทดลองสองครั้ง เค้กจะยุบตรงกลาง ทั้งสองครั้งค่ะ พอใช้พิมพ์เค้ก อบ ไม่มีปัญหาตรงนีเลยค่ะ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพิมพ์โลฟ มีขอบข้าง ไม่ชี้ตรงขึ้น บานออกช่วงปลาย รึเปล่าไม่ทราบเนาะ อันนี้เราก็เดา ๆ เอา ...




2. เปิดเตาอบไว้ที่ 170°C / 340°F, หรือ 150°C / 300° ถ้าใช้เตาอบมีพัดลม







3. ใส่นม + น้ำผึ้ง ในถ้วยทนความร้อน เขาเข้าไมโครเวฟ ประมาณ 15 – 20 วินาที เอาออกมาคนผสมให้เข้ากัน พักไว้







4. เอาน้ำใส่หม้อประมาณ ¾ นิ้ว นำไปต้ม พอน้ำเริ่มเดือดลดไฟเตาเป็นไฟต่ำ หรี่ ๆ เลี้ยงน้ำให้พอร้อน มีไอกรุ่น ๆ พักไว้ .... เราจะตีไข่บนน้ำร้อน ที่เรียกว่า bain marie method ค่ะ







5. ตอกไข่ใส่หม้อหรืออ่างผสมอีกใบ แล้วใส่น้ำตาลลงไป ตีไข่พอให้เข้ากัน แล้วนำไปตีบนหม้อต้มน้ำ ด้วย electric hand mixer ใช้ความเร็วต่ำที่หมายเลข 2 * หรือ 3 * - เราใช้หมายเลข 2 ค่ะ ตีจนไข่ฟู มีสีจางลง (ช่วงนี้จะมีฟองอากาศมากหน่อย) เราใช้เวลา 3 นาทีที่ขั้นตอนนี้ ทั้งนี้เวลาขึ้นอยู่กับหม้อที่ใช้ด้วย ระวังอย่าให้ไข่ร้อนค่ะ เอาแค่พอให้ไข่อุ่น ๆ ใช้นิ้วแตะเช็คดู ... ไข่ที่ได้ช่วงนี้จะมีฟองอากาศเยอะหน่อย ไม่ต้องตกใจค่ะ

* ตีไข่ที่ความเร็วต่ำจะได้รูอากาศเล็ก กว่า เนื้อเค้กก็จะมีความละเอียดกว่า








6. เอาหม้อไข่ลงจากหม้อน้ำร้อน ตีไข่ต่อไปด้วยวามเร็วต่ำ หมายเลข 2 ไปเรื่อย ๆ จนถึงนาทีที่ 10 ไข่จะเริ่มข้น แบทเทอร์ที่ได้จะฟูเนียน เป็นครีมสีขาว ... ตีไข่ต่อไปอีก ซัก 3 นาที ด้วยความเร็วที่หมายเลข 2 ตามเดิม ... พอนาที 13 ปลี่ยนความแรงการตีเป็นหมายเลข 1 ตีต่อไปจนถึงนาทีที่ 17 เนื้อแบทเทอร์จะเนียนละเอียดมาก ๆ ... เสร็จแล้วก็เทส่วนผสมน้ำผึ้งนม ที่เตรียมไว้ ในข้อ 3 ลงผสม (ก่อนเทน้ำผึ้งนมให้ใช้นิ้วแตะเช็คอุณหภูมิว่าเท่ากับแบทเทอร์มั้ย ถ้ารู้สึกเย็นกว่าเอาเข้าไมโครเวฟประมาณ 5 วินาที เช็คด้วยนิ้วว่าอุ่นขึ้นพอมั้ย แต่อย่าให้ร้อนกว่าแบทเทอร์น่ะค่ะ) ช่วงเทนมน้ำผึ้งนมลงผสม ให้รินเป็นสาย ๆ ลงไปทีละนิด อีกมือก็ตีผสมด้วยเครื่องตีมือถือ หมายเลข 1 เหมือนเดิม ... ตีผสมให้เข้ากันทั่วดี ระวังอย่าให้น้ำผึ้งนม ค้างที่ส่วนใหญ่ใดส่วนหนึ่ง พอมั่นใจว่าเข้ากันดีแล้วก็หยุดการตีค่ะ ...




รวมเวลาการตีขั้นตอนนี้ เราใช้เวลาประมาณ 18 นาที ... * เจ้าของสูตรเขาบอกช่วงการตีของขั้นตอนนี้ ควรใช้เวลา 15 นาที เป็นอย่างต่ำ ถ้าให้ดี อาจตีนาน ไปถึง 30 นาทีก็ได้ ว่ากันว่ายิ่งตีนาน เนื้อขนมยิ่งจะเนียน แทบไม่มีรูอากาศเลย ประมาณนั้นค่ะ ใครขยันก็ลองปรับเวลาตีกันดูนะคะ เจ้าของสูตรเขาบอกว่าพอแบทเทอร์ข้น เขาก็ใช้สปีดการตีเป็นหมายเลข 1 ตลอดค่ะ...







7. ทยอยโรยแป้งลงผสมในแบทเทอร์ ทีละ 1 ช้อนต๊ะ .. ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ อิอิ ... เสร็จแล้วก็ใช้ตะกร้อมือ ตล่อมผสมเบา ๆ .... เวลาโรยแป้ง แป้งจะเกาะอยู่ส่วนบนของบนแบทเทอร์ ก็ใช้ตะกร้อ คน ๆ ช่วงส่วนบนของแบทเทอร์นะคะ ... พยายามอย่าให้แป้งตกไปอยู่ก้นหม้อผสม ... ถ้าไม่มั่นใจ ก็ล้วงตะกร้อ ลงไปที่ก้นภาชนะ เป็นครั้งคราว ... โรยแป้งและตล่อมผสมไปเรื่อย ๆ จนหมด ค่ะ



· ที่ขั้นตอนนี้ เราทดลองใช้พายยาง คนผสมด้วย แต่พบว่าใช้ตะกร้อมือดีและเร็วกว่าค่ะ









8. เทแบทเทอร์ใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ ใช้พายยางล้วงสับวนเบา ๆ ในแบทเทอร์เพื่อไล่ฟองอากาศ หรือจะเคาะพิมพ์กับโต๊ะเบา ๆ ก็ได้ (ครั้งเดียวพอค่ะ) เสร็จแล้วก็นำเข้าเตาอบ เราใช้เวลา ประมาณ 32 – 35 นาที ... ถ้าหากไม่อยากให้หน้าเค้กไหม้จนเกินไป ในนาทีที่ 20 - 25 ก็อาจใช้กระดาษฟอยล์ คลุมหลวม ๆ เอานะคะ (ทั้งนี้ต้องให้มั่นใจว่าเค้กขึ้นตัว จนหน้านูน และเริ่มสุกแล้ว ถ้าคลุมเร็ว เค้กจะหน้าเหี่ยวได้ค่ะ) ... เสร็จแล้วก็อบต่อไปจนเค้กสุก ... เช็คสุกก็โดยการใช้ไม้จิ้มฟัน จิ้มลงไปตรงส่วนกลางเค้ก หากไม้ออกมาสะอาด ไม่มีครัมเค้กเหลว ๆ ติด ก็ถือว่าสุก ... ทิ้งให้เย็นต่อซักครู่ ประมาณ 1 นาที




9. คนผสมน้ำผึ้งและน้ำร้อนให้เข้ากัน (ส่วนผสมข้อ 6) เสร็จแล้วก็ใช้แปรงซิลิโคนขนอ่อน ๆ ทาน้ำผึ้งบนหน้าเค้กให้ทั่ว *** ขั้นตอนนี้จะข้ามก็ได้ ค่ะ ถ้าชอบให้หน้าเค้ก ไม่สีเข้มจนเกินไป ... แต่ถ้าทาดี ๆ สีผิวเค้กก็จะสวยใส เหมือนภาพสำเร็จที่ 3 ข้างบนค่ะ




10. ยกเค้กออกจากพิมพ์ แล้วใช้พลาสติกแรบ คลุมเค้กทั้งที่ยังอุ่น ๆ เสร็จแล้วก็นำเข้าพักในตู้เย็น ทิ้งไว้ค้างคืน ... วิธีนี้จะช่วยให้เค้กไม่แห้ง นุ่ม และมีรสชาติดีขึ้นในวันรุ่งขึ้น ... เค้กจะนุ่ม ๆ จริง ๆ ค่ะ ... (อย่าปล่อยเค้กไว้ข้างนอก หลังอบนะคะ เค้กจะแห้งได้)







เสร็จแล้วค่ะมหากาพย์การทำ Kasutera เราว่ายากสุดคืออบยังไงเค้กถึงจะหน้าสวยน่ะค่ะ
อารมณ์ประมาณมาการองจริง ๆ ด้วยความอยากให้ออกมาดี บ้าทำ มาเป็นกองทัพเลย อิอิ








Green Tea Kasutera - อันนี้เราคิดว่าทำเนื้อเค้กได้เนียนละเอียดดีค่ะ เสียดายที่พอทาน้ำผึ้งที่หน้าเค้กแล้ว แล้วสีผิวเปลี่ยนเป็นมืดเลย ก่อนไม่ทาสีจะออกสว่าง ๆ ...







อันนี้ใช้ไข่ 5 ฟอง ต่อสูตร เค้กจะสูงขึ้นมาหน่อยค่ะ ไม่ได้ทาน้ำผึ้ง Honey Glaze ที่หน้าเค้ก



------------------------------

ลองชมกรรมวิธีการทำเค้กนี้โดยการใช้ตะกร้อมือตีทั้งขั้นตอน ที่เว็บญี่ปุ่น ตามลิงค์ Video นี้นะคะ (เข้าไปที่เว็บแล้วกดชมที่จอวีดีโอ) เห็นแล้วทึ่ง เขาใช้วิธีแยกไข่ขาว ไข่แดงตีแยกด้วย ค่ะ


ถ้าเวอร์ชั่นโฮมเมดของสูตรนี้ที่ทำสวย ได้เนื้อเนียนจริง ๆ ไปชมที่บล็อกนี้ค่ะ thelittleteochew@blogspot เขาเอาขนมที่อบเสร็จ ทิ้งไว้ให้เย็นที่ตะแกรงนอกเตาอบ แล้วนำกลับไปเก็บไว้ในเตาอบอีกที (ปิดเตาตั้งแต่ขนมอบสุกแล้วเน้อ อิอิ) แล้วในวันรุ่งขึ้น ก็ตัดขนมเป็นชิ้น ๆ นำไปนึ่งในเวลาสั้น ๆ ประมาณ 3 นาที ให้ขนมอ่อนตัว ... ทดลองทำแล้ว เราชอบวิธีห่อพลาสติก ไว้ในตู้เย็นตามเจ้าของสูตรมากกว่าค่ะ เราว่ารสชาติขนมดีกว่า

------------------------------



เจ้าของสูตรเขาบอกว่าที่ญี่ปุ่น คนจะไม่นิยมทำขนมนี้ที่บ้านเท่าไหร่ เพราะหาซื้อได้ง่าย ถามว่าอร่อยมากไหม ... เราว่าอร่อยดีนะคะ รสชาติจะพัฒนาขึ้นเมื่อเก็บไว้ในตู้เย็น 1 คืนหลังจากอบ เป็น sponge ที่อ่อนนุ่มมาก ๆ ถ้าทำถูกวิธีเขานะคะ หน้าที่เห็นไหม้ ๆ นี่ ไม่แข็งนะคะ จะนุ่มมาก ๆ เวลาจับยกต้องเบา ๆ ... เป็นขนมไข่ที่มีรสชาติเฉพาะตัวน่ะค่ะ ... แต่ก็ไม่ใช่ว่าอร่อยม้ากกกก กรี๊ดประมาณนั้น แต่อร่อยดีล่ะ ยืนยัน อิอิ ... โดยเฉพาะ Green Tea Kasutera รสชาติลงตัวมากค่ะ เพราะเค้กได้ผงชาเขียวเข้ามาผสมแล้ว แบบดั้งเดิมที่ว่าหวานนิด ๆ จะเปลี่ยนเป็นหวานพอดี ....


---------------------

สุภาพแข็งแรงสำหรับอากาศหน้าหนาว มีเวลาดีทุกท่านนะคะ

Create Date : 08 ธันวาคม 2553
Last Update : 13 ธันวาคม 2553 23:37:27 น.		71 comments
Counter : 28158 Pageviews.
Share Tweet