วันที่ ๑๓ เดือน ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
หัวใจฉันมันอึ้งตั้งแต่ได้รับข่าว เพียรบอกตัวเองซ้ำๆว่า ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ
อย่างไรฉันก็ไม่เชื่อ ฉันมีความหวังในทุกวินาที
จนกระทั่งน้องสาวที่ฉันรักบอกว่า
: พี่ธัน พ่อนิกแจ้งมาแล้ว รอแถลงการณ์
ใจฉันแทบขาด ย้ำถามน้องไปอีกรอบ
: คราวนี้จริงแล้วใช่ไหมคะ
แค่นั้นล่ะค่ะ ฉันก็ปล่อยโฮ
แต่ใจยังมีความหวังอยู่เช่นเดิม
ฉันบอกตัวเองว่า จะไม่เชื่อจนกว่าจะได้ยินกับหูตัวเองจากแถลงการณ์
(สาวน้อยลูกสาวของฉันก็เช่นกัน...)
เมื่อถึงเวลาแถลงการณ์จริงๆ ใจแทบขาด หายใจไม่ออก มันหนักอึ้งในหัวใจเหลือเกิน
ค่ำคืนนี้หัวใจคนไทยทุกคนคงไม่ต่างจากกัน
ยากเหลือเกินที่จะข่มตาหลับ ทั้งๆที่น้ำตาไหลรินทั้งข้างนอกและข้างในหัวใจ
น้ำตานองหน้าทั่วแผ่นดิน ....
เช้าวันที่ ๑๔
อย่าห้าม กันเลยนะความเศร้าโศก
อย่าห้าม มิให้โลกหลั่งน้ำตาที่รินไหล
อย่าห้าม แม้รู้ถึงการปล่อยวางและทำใจ
เพราะ... เวลานี้ไซร้ขอสะอื้นให้ดังๆ
เช้าวันที่ ๑๕
อิจฉาฟ้า เทวดาได้คืนกลับ
ตะวันลับ พรากดวงแก้วไปแล้วนา
สถิตอยู่ ณ แดนสรวงมิคืนมา
ขอเป็นข้า รองบาททุกชาติไป
เช้าวันที่ ๑๖
เสียงสะอื้น ร่ำไห้น้ำตาหลั่ง
ใครได้ฟัง ต่างก็รู้อาลัยนัก
เกินจะกลั้น คร่ำครวญสุดใจหัก
เบื้องพระพักตร์ แทบพระบาทแทบขาดใจ
ร้องให้พอ ไม่ขอห้ามใครหรอกนา
แม้นเจรจา ออกมาเกินรับไหว
ร้องให้พ่อ วันนี้สุดอาลัย
พรุ่งวันใหม่ เข้มแข็งและหยัดยืน
กราบฝ่าพระบาท ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย
น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมไว้อาลัยแด่
พระบาทสมเด็จพระปรมินมหาภูมิพลอดุลยเดช
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นางธัญรัศม์ จิรจรัสธีรโชิ และครอบครัว
ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป