คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
กรกฏาคม 2558
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
30 กรกฏาคม 2558
space
space
space

ไปเที่ยว พุกาม มัณฑเลย์ กันไหม
 ไปเที่ยว พุกาม  มัณฑเลย์ กันไหม  ตอนที่ 1 

           ทุกคนเมื่อเห็นชื่อหัวข้อเรื่องแล้ว  คงเดาได้ว่า  ฉันจะพาท่านไปเที่ยวประเทศไหน นะคะ  ประเทศที่เคยขับเคี่ยวทำสงครามกับไทยเรามาเมื่ออดีตกาลมานานทีเดียว ตามที่เราได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ไทย นั่นเอง  
           เขาว่ากันว่า  ประเทศพม่า มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศพม่าแล้ว  ต้องไปสักการบูชา  ที่จริง ฉันเคยมาประเทศพม่ามาครั้งหนึ่ง เมื่อปี 52 ตามที่ได้เขียนบล็อกไปแล้ว คือ ไปเมืองหงสาวดีและย่างกุ้ง  ได้มีโอกาสไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  (พระธาตุ) ไปแล้ว 3 แห่ง คือ พระธาตุมุเตา  เจดีย์ ชเวดากอง และ พระธาตุอินทร์แขวน ดังนั้น  จึงยังเหลือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีก 2 แห่งที่ฉันตั้งใจจะไปให้ครบ และแล้ว  ความตั้งใจของฉัน ก็ประสบความสำเร็จ ได้ไปเมืองพุกามและมัณฑเลย์ ในครั้งนี้ ตามที่ฉันจะชวนท่านผู้อ่านไปเที่ยวด้วยกันค่ะ 
             การไปพุกามและมัณฑเลย์ ครั้งนี้  ไม่ได้ไปกับทัวร์  เราจัดไปกันเอง  โดยได้ข้อมูลการเช่ารถพาเที่ยวจากหญิง ที่ไปเมื่อต้นมกราคม  โดยมีจุก (เพื่อนที่ไปเที่ยว ย่าติง ด้วยกัน ) เป็นคนจองตั๋วแอร์เอเซีย ตอนที่มีโปรโมชั่น  ประมาณ 3,645 บาท มั้ง ฉันเป็นคนหาเพื่อนทัวร์ไปให้เต็มรถที่เช่า คือ ประมาณ 7-8 คน เราจองตั๋วกันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ โดยจะไป วันที่ 24-28  มิ.ย. 58  โดยให้จุกติดต่อทางเมล กับนาย ติน ที่ทุกคนที่เคยจ้างรถเขาพาเที่ยว  ต่างบอกว่า เขาบริการดีมาก และเราตกลงใช้บริการของ ติน
               กลุ่มของฉันมี 5  คน คือ ฉัน บุษยา  วัชรี  ภา และน้อง ส่วนจุก มีแค่ 3 คน คือ ตัวเขา กับเพื่อนอีก 2 คน กรุ๊ปเราครั้งนี้ จึงมี 8 คน 

               เราเดินทาง วันที่ 24 มิ.ย. คราวนี้ นายเม้ง เหลนฉันอ้างว่า ติดงานประชุมเช้า ไปส่งฉันไม่ได้  พอดีวันกลับ เป็นวันอาทิตย์ เลยคงหาข้ออ้างไม่ได้มั้ง  เลยบอกว่า จะมารับกลับก็แล้วกัน  ฉันกับบุษ จึงนัดกันว่าจะนั่งแท็กซี่ไปดอนเมือง แต่ถึงวันจริง  เล็ก น้องชายของบุษ อาสาไปส่งให้  แต่เราต้องออกจากบ้านตั้งแต่ ตีห้า เพราะ เล็กจะต้องรีบกลับไปเปิดร้านขายของ  พวกเราก็ยอมไปนั่งรอที่สนามบินหลายชั่วโมง ดีกว่า เราจะต้องไปกันเอง  ห้าห้า  
               เครื่องบิน แอร์เอเซียที่เราจอง  จะบินในเวลา 10.50 น. เรามาถึงที่ดอนเมือง  6.05 น. รอกันที่สนามบิน หาวแล้วหาวอีก ประมาณ เวลา 7.00 น. วัชรีก็มาถึง  8 โมง ภามาถึง โดยบินมาจากภูเก็ต ส่วนกลุ่มของ จุก มาช้าที่สุด ประมาณ 8.50  น. ทำเอาใจหายใจคว่ำ เพราะพวกเราฝากเขาซื้อน้ำหนัก  พวกเขาและ ภา ไม่ได้ซื้อน้ำหนัก ฉันแบ่งน้ำหนักกับบุษ คนละ 12.5 กิโล  ส่วน น้องกับวัชรี  ซื้อคนละ 20 กิโล  น้ำหนักจึงเหลือ ให้จุกและเพื่อนได้ด้วย 
               พวกเราเช็คอินแล้ว ก็ไปหาที่พัก รอเครื่องบินออก ซึ่งเหลือเวลา เกือบสองชั่วโมง  จุก เห็นพวกเรานั่ง เลยเข้ามาเก็บรูปพวกเรา อิอิ


            10 โมงกว่า พวกเราก็ได้ขึ้นเครื่อง  ใช้เวลาบิน ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงสนามบิน มัณฑเลย์ของประเทศพม่า  ประมาณเกือบเที่ยงแล้ว เวลาของพม่าช้ากว่าของไทย ครึ่งชั่วโมง  หลังจากที่ผ่านพิธีเข้าเมืองแล้ว เราก็ไปรอกระเป๋ากัน  ได้กระเป๋าแล้ว  ก็ออกมาด้านนอก  มี คนถือป้ายรอรับกัน  จุกไม่ได้ใช้ชื่อ จริง พวกเราก็มองหาคนที่ชื่อติน พร้อมกับบ่นกันว่า ไม่เห็นมีชื่อ จริยา เลย  คนที่ถือป้ายรีบบอกว่า  นี่แหละมารับ จริยา ดูหน้าคนบอก ทำไม หนุ่มกว่ารูปในนามบัตรที่หญิงให้มา  แล้วก็ได้คำตอบ เขาบอกว่า  เขาชื่อ โบล เป็นน้องชายของ ติน เขามากับหญิงสาวอีกคน ชื่อโรส เป็นภรรยาของเขานั่นเอง  
               เขาพาเรามาแลกเงินจ๊าด พวกเราแลกกันคนละ 100 ดอล  1 บาท เท่ากับ 30 จ้าด เพื่อใช้จ่ายในระหว่างที่อยู่พม่า  ส่วนโบล ขอเบิกเงิน 100 ดอล  เพื่อใช้จ่ายในการรับงานเราครั้งนี้  ซึ่งตกลงกันไว้ด้วยเงิน 700 ดอล ตลอดระยะเวลา 5 วันที่เราใช้รถของเขา 
               หลังจากแลกเงินกันเรียบร้อยแล้ว  โบลกับโรส ก็พาพวกเราขึ้นรถตู้ของเขา  ออกจากสนามบินมัณฑเลย์  เพื่อมุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองพุกามเลย  ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง  ระหว่างทางที่เดินทางไปเมืองพุกาม  สองข้างทางค่อนข้างแห้งแล้ง ไม่ค่อยสวยงาม  ไม่มีทิวเขาให้เราเห็นเหมือนประเทศอื่น ๆ ที่ฉันเคยไป  จึงดูแล้วไม่สวยงามนัก  เรามาดูรูปถ่ายที่ฉันถ่ายมาฝากค่ะ 



           ในรถ เขามีน้ำเปล่า โค้ก แจกให้ดื่มด้วย อากาศค่อนข้างร้อน แอร์ไม่เย็นนัก  เขาเตรียมขนมในรถด้วย เพราะพวกเราเริ่มหิวกันมากแล้ว  เพราะเลยเวลาเที่ยงมาเข้าบ่ายแล้ว  กว่าจะพาเรามาทานข้าวกลางวัน ซึ่งเป็นร้านขายของชาวบ้าน   อาหารพื้นเมืองของเขา ภา ชอบชิมอาหารที่เขาเอามาให้โบลและโรสทาน พวกเรากลัวกินไม่ได้ สั่งข้าวผัดกันเป็นส่วนใหญ่  รสชาติก็พอทนได้ พอกินแก้หิวได้  อิอิ มาดูหน้าตาของอาหาร มื้อแรกในประเทศพม่า ค่ะ 

            หลังจากอาหารมื้อเที่ยงผ่านไปแล้ว  พวกเราก็เดินทางต่อไป ผ่านทิวทัศน์สองข้างทาง  ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน  รถราไม่เยอะนัก มีการใช้จักรยานมากพอสมควร  


            พวกเรามาถึงเมืองพุกาม น่าจะประมาณเกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ซึ่งโบลได้อธิบายว่า  เมืองพุกาม  แบ่งเป็น 3 เขต  คือ พุกามเก่า (โอลด์บากัน  Old Bagan)  พุกามใหม่  ( นิวบากัน  New  Bagan ) และ ยองอู  (Nyaung U) ที่เรามาถึงนี้  คือ พุกามเก่า  ซึ่งเราได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่  อยู่กันอย่างสงบ  มีร้านอาหาร  ร้านขายของทั่ว ๆ ไป เป็นร้านเล็ก ๆ เป็นตึกไม่เกิน 2 ชั้น เป็นส่วนใหญ่   โบล พาเรามาหาโรงแรม และดูโรงแรมที่จะพักที่นี่ 2 คืน  แห่งแรก ก็ดูดี ราคา ก็ไม่แพง คืนละ 25 ดอล  นอนสองคน ก็เท่ากับ คืนละ 12.5 ดอล ต่อคน คืนหนึ่งก็ตกประมาณ ไม่ถึง 400 บาท (อาจจะเป็นช่วงโลซีซั่น ด้วย)  พวกเราก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ ดูเหมือนต้องขึ้นบันไดด้วย  ฉันไม่อยากให้ขึ้น เพราะเพื่อนร่วมทางคนหนึ่ง คือ  ขวัญ  กำลังตั้งครรภ์ อายุตั้ง 6 เดือนด้วย ถึงจะมีคนช่วยหิ้วกระเป๋าขึ้นไปก็ตาม  โบลก็ขับรถต่อไปอีกหน่อย เจออีกโรงแรมหนึ่ง คือ โรงแรม อินวา Inn wa  ราคาเท่ากัน และอยู่ชั้นล่าง สองห้อง ข้างบนอีก 2 ห้อง เราเลย เอาโรงแรมนี้  คนท้องให้อยู่ห้องข้างล่าง  ฉันกับภา อยู่ข้างล่างอีกคู่หนึ่ง โรงแรมนี้ดูดีกว่า อีกอย่างมันก็เริ่มเย็นแล้ว 
              พวกเราขนกระเป๋าไปเข้าห้อง เข้าห้องน้ำห้องท่ากันแล้ว  โบล ก็พาเราไปเที่ยว เจดีย์ บูพลายา หรือพญา ( Buphaya) เป็นเจดีย์ สีทอง  ตั้งอยู่ใกล้ แม่น้ำกว้างใหญ่พอควร ไม่ใหญ่โต ด้านขวาของเจดีย์ และรอบ ๆ เจดีย์  มีพระพุทธรูปและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ให้สักการบูชาด้วย บรรยากาศตอนนี้ พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว  ท้องฟ้าไม่แจ่มนัก เพราะมีเมฆค่อนข้างเยอะ บางช่วง ท้องฟ้าก็เปิดสว่างบ้าง มาทราบประวัติของเจดีย์องค์นี้ที่จะค้นคว้ามาฝากค่ะ 
              เจดีย์ บูพลายา ( Buphaya)   เป็นเจดีย์ที่ตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำ เอยาวดี  ที่เราเห็นนี้  เป็นเจดีย์ที่สร้างแทนองค์เก่า ที่พังทลายไปอันเนื่องจากเกิดแผ่นดินไหว  ในปี ค.ศ.1975  องค์เดิม สร้างในศตวรรษที่ 8  สมัยชนเผ่า พิว  ผู้สร้างคือ พระเจ้า พิวซอว์ธี  เจดีย์องค์นี้ มีลักษณะรูปทรงคล้ายน้ำเต้า  อันเป็นลักษณะของศิลปนิยมก่อนสมัยพุกาม  ชื่อของเจดีย์องค์นี้ ตั้งชื่อ ตามลักษณะรูปทรงคล้ายน้ำเต้า เพราะ เจดีย์ บูพญา แปลตามภาษาพม่า คือ เจดีย์น้ำเต้า  รอบองค์เจดีย์  มีลานกว้างเป็นระเบียง  ตอนเราถึง เป็นช่วงเย็นพระอาทิตย์ใกล้ตก แสงอาทิตย์ที่ฉาบไล้ องค์เจดีย์สีทอง เป็นภาพที่งดงามจับตามากทีเดียว
          เจดีย์องค์นี้  ยังถือเป็นหลักหมายให้นักเดินเรือ  โดยเชื่อว่า ถ้าแล่นเรือมาแล้วเห็นเจดีย์บูพญา แปลว่าได้เดินทางมาถึงเมืองพุกามแล้ว 
มาชม รูปที่ฉันมาฝาก ค่ะ 
           กลับจากเที่ยวที่เจดีย์ บูพลายา แล้ว โบลก็ขับรถพาพวกเรากลับโรงแรม  ชี้และแนะนำร้านอาหารที่ผ่านให้เรารู้ (ปรากฏว่า เรามาผิดร้าน อิอิ ซึ่งราคาค่อนข้างแพง ไม่อร่อย เผ็ดมาก ๆ ด้วย)  มาถึงโรงแรม ก็ไปจัดการเรื่องส่วนตัวและนัดเจอกันที่ห้องหน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งมีโซฟา
ให้เรานั่งคอยกัน  อยู่ว่าง ๆ ก็ถ่ายรูปกันชะหน่อย 

          ร้านอาหารร้านนี้ไม่ไกลจากที่พักของเรานัก  พวกเราเดินไปที่
ร้านกัน น่าจะประมาณ 2-3 ร้อยเมตรได้  สั่งอาหารตามเมนู ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ มีรูปให้ดูด้วย  ดูเหมือน มีต้มยำ  ผัดผักรวมมิตร  พวกยำ  จำไม่ได้แล้ว แต่รู้สึกว่า ทุกอย่างเผ็ดหมด กินไม่อร่อยลิ้นเลย  ราคาก็แพงพอสมควรเหมือนกัน  อิ่มกันแล้ว  ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปห้องของตนเองเพื่อพักผ่อน  เพราะพรุ่งนี้  นัดโบลมารับ 5.40 น. เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ที่ เจดีย์ชเวสันดอ (Shwesandaw Pagoda)  ก่อนนอนมาชมห้องนอนของเราหน่อย ค่ะ 


  วันที่ 25 มิ.ย. 58 
             เช้านี้  ตื่นตี 4 กว่า อาบน้ำ เข้าห้องน้ำให้เสร็จ  ออกมารอรถ ปรากฏรถของโบลมาจอดรอแล้ว  พวกจุก ช้าไปหลายนาทีอยู่ ออกจากที่โรงแรม ก็น่าจะ 6.00 น.แล้ว  คงไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเสียแล้ว  วันนี้ฟ้าก็มัว ๆ ไม่เปิดเลย ไปถึงที่เจดีย์ ชเวสันดอ  มีแม่ค้ามานั่งขายของพวกเสื้อผ้า ของประดับ รูปภาพมากมาย มารุมให้เราซื้อของ แต่พวกเราไม่มีใครซื้ออะไร 
             เจดีย์ชเวสันดอ (Shwesandaw Pagoda) มีบันไดให้เดินเท้าเปล่าขึ้นไปสูงมากพอสมควร  ภา บอกว่า  โบลแอบถามเขาว่า  ฉันจะปีนบันไดขึ้นไปไหวเหรอ  มันดูชันและแคบ โชคดีที่มันมีราวบันไดให้จับด้วย  อิอิ ! รู้จักฉันน้อยไปแล้ว โบล  มาชูปิชู  ปีนยากกว่านี้ ฉันยังปีนมาแล้วเลยนะเนี่ย  นับประสาอะไร ไม่ถึง ร้อยขั้นมั้ง  ห้าห้า (แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะ  ยังไม่ได้ทานข้าวเช้ากันเลย คริคริ)  มาหาความรู้เกี่ยวกับเจดีย์ องค์นี้สักหน่อยนะคะ 
              เจดีย์องค์นี้ เป็นเจดีย์ทรงระฆัง ยุคแรกของพุกาม องค์เจดีย์สีขาว  ต้องขึ้นบันไดด้านนอกเพื่อเดินขึ้นสู่ฐานด้านบนขององค์เจดีย์ บันไดที่จะเดินขึ้นนั้น ทั้งแคบ (ตัวบันไดแต่ละขั้น เหยียบไม่เต็มเท้า) ทั้งชันอีกด้วย  เป็นเจดีย์ ที่ยอมให้นักท่องเที่ยวขี้นไปบนเจดีย์ได้  ซึ่งในพุกาม นั้น  น้อยนักที่จะให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมองค์เจดีย์
            ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า เจดีย์องค์นี้ ผู้สร้างเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจมากแห่งอาณาจักรพุกาม  เป็นเจดีย์ที่ถือว่า ศักดิ์สิทธิ์  เพราะเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า  บริเวณเจดีย์ มีเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดูตั้งอยู่บริเวณของลานวิหารด้วย  เจดีย์องค์นี้ จึงมีชื่อเรียกแบบ ฮินดูว่า   เจดีย์ กาเนชา  
            ที่จริง เจดีย์องค์นี้ ส่วนใหญ่จะมาชมพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น แต่พวกเรา เปลี่ยนมาเป็นชมพระอาทิตย์ขึ้น  ฉันก็ว่า ดีนะคะ เพราะว่า สภาพทางขึ้นมาที่จุดชมวิว  ที่ต้องปีนขึ้นบันไดที่ทั้งแคบทั้งชัน  ถ้ามืดแล้ว  หากขาดไฟฉาย หรือถึงจะมี ก็คงลำบากกว่า มาชมพระอาทิตย์ขึ้นปลอดภัยกว่า  ห้าห้า 
            เจดีย์องค์นี้   นอกจากมาชมพระอาทิตย์ตก พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว  ยังเป็นเจดีย์ที่สามารถ ชมวิว ทุ่งทะเลเจดีย์ อันมากมายของเมืองพุกามมากกว่า 4,000 องค์ของเมืองพุกาม ในมุมสูง ได้อย่างสบาย ๆ ทีเดียว โดยไม่ต้องไปเสียเงิน นั่งบอลลูน ขึ้นไปชมทะเลเจดีย์  เรามาชมภาพสง่าและสวยงามของเจดีย์องค์ นี้ ค่ะ 

           หลังจากได้ชื่นชมความงามของเจดีย์องค์นี้และทุ่งทะเลเจดีย์ของเมืองพุกามอย่างอิ่มเอมใจแล้ว  น่าจะประมาณ ชั่วโมงได้  โบลก็พาพวกเรากลับโรงแรม เพื่อทานข้าวเช้า  ซึ่งต้องขึ้นไปทานที่ชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้า  มีบริกรอยู่ 3-4 คน อาหารตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว  มีขนมปัง ทาเนย ทาแยม  ผัดเส้นหมี่ (อร่อยดี)  มีไข่ดาว หรือ ออมเลท ก็แล้วแต่จะให้เขาทำให้  มีน้ำผลไม้  กาแฟ  ผลไม้ เป็นแตงโม กล้วย มะละกอ พวกเรานั่งทานกันเอร็ดอร่อย  อาหารถูกปาก ใช้ได้ทีเดียว บริกรก็น่ารัก  ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน  มาชมรูปของพวกเรา ค่ะ 

            หลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว  ต่างก็เข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อย  แล้วก็ออกมารอคนอื่น ๆ ขณะที่รอ ก็ไม่ให้เสียเวลา  ถ่ายรูปหน้าโรงแรมมาฝากด้วย  เผื่อใครสนใจก็ไปใช้บริการได้ค่ะ อิอิ 
           เมื่อสมาชิกมาครบแล้ว  โบล ก็พาพวกเราไปเที่ยวต่อ  วันนี้ โรสไม่ได้มาด้วย  ไปอยู่กับเพื่อนเขา  มีแต่โบล พาพวกเราไปเที่ยว แหล่งต่อไป สถานที่ที่โบล พาไปคือ  เจดีย์ ชเวสิกอง  (Shwezigon Pagoda)  เป็นเจดีย์ที่สวยมาก ฉันถ่ายรูปมาให้ชม มากมาย แต่ก่อนจะชมภาพเหล่านั้น  เรามารู้ประวัติความเป็นมาของ เจดีย์ องค์นี้ก่อนนะคะ ฉันได้ไปค้นคว้ามาจากหนังสือท่องเที่ยวบ้าง จากอากู๋ บ้าง ท่านผู้อ่านน่าจะได้ทราบความเป็นมาเป็นความรู้บ้างพอสังเขป ค่ะ 
            เจดีย์ ชเวสิกอง  (Shwezigon Pagoda) เป็นหนึ่งในห้า ของมหาบูชาสถานของพม่า ที่ชาวพุทธ จะต้องมาเยือนเมื่อมาถึงพม่า ซึ่งเชื่อว่า  ถ้าได้มาเยือนและ นมัสการครบ 5 มหาบูชาสถานนี้แล้ว จะได้บุญกุศลมาก  ฉันเองเล่าไว้ตอนต้นเรื่องแล้วว่า  เคยมาประเทศพม่าครั้งหนึ่งเมื่อปี 52  มาที่เมืองย่างกุ้งและหงสาวดี ได้นมัสการเพียง 3 แห่ง คือ พระธาตุอินแขวน  พระธาตุมุเตา และ เจดีย์ชเวดากอง ก็ยังเหลืออีกสองแห่ง คือ ที่พุกามและมัณฑเลย์ ฉันเลย ต้องมาพม่าอีกครั้งหนึ่งตามความตั้งใจเดิมว่า ต้องมานมัสการให้ครบ ห้า มหาบูชาสถาน 
           เจดีย์องค์นี้  เป็นเจดีย์สีทองที่ใหญ่และสวยที่สุดในเขตยองอู ตั้งอยู่ด้านนอกของกลุ่มเจดีย์เก่า ตั้งอยู่ที่หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี จึงได้ตั้งชื่อว่า เจดีย์ ชเวสิกอง  ถ้าเป็นสำเนียงพม่า จะออกเสียงว่า       "ชเวซีโข่ง"   แปล ตรงตัวว่า  "เจดีย์ทองบนพื้นทราย"  
           เจดีย์องค์นี้ เป็นเจดีย์ที่สำคัญและถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่า เป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุสำคัญถึง 3 ส่วน ได้แก่ พระทันตธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  หรือ เรียกว่า  พระเขี้ยวแก้ว  ที่ พระเจ้าแผ่นดินประเทศลังกา นำมาถวาย  ส่วนที่สอง คือ พระธาตุกระดูกหัวไหล่ ที่นำมาจาก เมืองศรีเกษตร(ใกล้เมืองแปร ) ส่วนที่ 3  คือ พระธาตุพระนลาฏ (หน้าผาก) และเจดีย์องค์นี้  มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากเจดีย์ชเวดากอง ในกรุงย่างกุ้ง ค่ะ 
           ผู้สร้างเจดีย์องค์นี้  คือ พระเจ้าอโนรธามังช่อ มหาราชองค์แรก เป็นผู้ที่รวบรวมชนชาติต่าง ๆในประเทศพม่าเป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรกในอาณาจักรพุกาม  เมื่อประมาณ 900 กว่าปีมาแล้ว พระองค์ได้ยกทัพไปตีมอญ เพราะมอญไม่ยอมยกคัมภีร์ทางพุทธศาสนาให้   และอาณาจักรสุธรรมวดี ของมอญ ก็ตกเป็นของพม่า  พระองค์ได้กวาดต้อนชาวมอญ  ช่างฝีมือ  นักปราชญ์และราชบัณฑิตมอญจำนวนมากมาไว้ที่พม่า  จึงทำให้พม่าได้รับอิทธิพล วัฒนธรรมจากมอญ มาโดยไม่รู้ตัว  เห็นได้จากเจดีย์ เชเวสิกอง  ที่มีรูปทรงระฆังคว่ำ แบบมอญ อย่างไรก็ตาม  เจดีย์องค์นี้ เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 1587-1620 ในสมัยพระองค์  แต่ก็ไมเสร็จ ไปเสร็จในสมัยของพระเจ้า จันสิธา  รัชกาลที่ 3 ปี พ.ศ.1656 แห่งราชวงศ์พุกาม 
            ลักษณะของเจดีย์องค์นี้  กล่าวกันว่า สวยงามมาก ลวดลายงดงามด้วยเฟื่องอุบะและแถบคาดรอบองค์ระฆัง ที่เรียกว่า "รัดอก"  (ฉันเองไม่มีความรู้เรื่องศิลปะเหล่านี้ หรอก  ค้นคว้ามาให้อ่าน อิอิ)  องค์    เจดีย์หุ้มด้วยทองคำ  ตั้งบนฐาน 3 ชั้น รวมความสูงจากฐานถึงยอด ได้ 53 เมตร  (ทำไมบางแห่งบอกไว้ว่า 160 เมตร ต่างกันเยอะเลย  คงจะวัดจากส่วนเริ่มต้นไม่เท่ากัน อิอิ)  ภายใน มีหอผีนัต ซึ่งมีผีนัตสถิตถึง 37 ตน   (ฉันได้สำเนา คำอธิบาย คำว่า ผีนัต จากคำอธิบายที่ค้นมาจากใน อากู๋ มาให้อ่าน เพื่อเป็นความรู้ ค่ะ )

นัต (พม่า: Nat.png; MLCTS: nat; อังกฤษ: nat; IPA: [naʔ]) ออก

เสียง น่ะต์ (มาจากคำว่านาถะ ในภาษาบาลี ที่แปลว่า "ที่พึ่ง") หมายถึงผีของชาวพม่า เป็นความเชื่อพื้นเมืองที่มีมาก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามาในพม่า นัตเป็นผีบรรพบุรุษ ลักษณะกึ่งผีกึ่งเทวดา คล้ายเทพารักษ์ คอยดูแลคุ้มครองสถานที่ที่ตนเมื่อครั้งยังมีชีวิตมีความสัมพันธ์อยู่ โดยอาจจะมีศาลลักษณะคล้ายศาลเพียงตาตั้งบูชาอยู่ในสถานที่นั้น ๆ

แต่เดิม นัตเป็นเพียงผีหรือวิญญาณทั่วไปที่สิงสถิตตามธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ หรือภูเขา แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนผ่านไป จึงมีความเชื่อว่านัตเริ่มมีตัวตนและเริ่มผูกพันเข้ากับการตายของคน จึงกลายเป็นสภาพผีอย่างที่เชื่ออยู่ในปัจจุบัน

เมื่อพระเจ้าอโนรธามังช่อ แห่งราชวงศ์พุกาม นำศาสนาพุทธนิกายเถรวาทจากมอญเข้าสู่พม่า ในพุทธศตวรรษที่ 18 ความเชื่อเรื่องนัตจึงถูกผสมผสานเข้ากับศาสนาพุทธ โดยยกเลิกการบูชานัตตามแบบพื้นบ้าน และนัตถูกยกระดับให้เป็นนัตหลวง คือ นัตระดับประเทศ พระองค์ได้ทำการตั้งศาลนัตหลวงขึ้นที่เขาโปปา หรือเรียกว่า มหาคีรีนัต 1,300 เมตร ใกล้เมืองพุกาม มีทั้งหมด 37 องค์ โดยองค์สำคัญคือ นัตตัจจาเมง (หรือ นัตสักรา หรือ พระอินทร์), นัตพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้, นัตโยนบะเยง (นัตพระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์) เป็นต้น

โดยบุคคลที่จะได้รับการนับถือเป็นนัตนั้น ต้องมาจากสาเหตุการตายที่ไม่ใช่การตายธรรมดา กล่าวโดยง่ายคือ ตายโหง (ตายด้วยโรคปัจจุบันที่ไม่ใช่ด้วยโรคชรา) หรือ ตายห่า (อหิวาตกโรค) นั่นเอง เพราะเชื่อว่าจะมีฤทธานุภาพสูงกว่าผีทั่ว ๆ ไป

นัตถูกแบ่งออกได้เป็น 3 จำพวก คือ นัตพุทธ, นัตใน (นัตท้องถิ่นและนัตที่มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศอินเดีย) และนัตนอก (นัตที่มีถิ่นฐานอยู่นอกกำแพงเจดีย์ชเวสิโกง) ซึ่งนัตที่สำคัญและผูกพันกับชาวพม่ามากที่สุด คือ นัตนอก หรือนัตหลวง) 

  สรุปว่า ราชาของนัต ทั้งปวง ตั้งอยู่ในองค์เจดีย์องค์นี้ 

  มีคนสรุปไว้ว่า  จดีย์ชเวสิกองมีความอัศจรรย์ 9 ประการของคือ

1.ยอดพระเจดีย์ไม่มีการใช้เหล็กเสริม

2.กระดาษห่อแผ่นทองคำเปลวที่นำไปปิดส่วนยอดพระเจดีย์จะไม่ปลิวพ้นฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์

3.เงาพระเจดีย์จะไม่ล้ำออกนอกฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์(ถ้าเงาล้ำออกไป ถือว่าเป็นลางร้าย)

4.ภายในเขตองค์พระเจดีย์สามารถรองรับผู้แสวงบุญได้ไม่จำกัดจำนวน (ไม่เคยเต็ม)

5.มีการให้ทานด้วยข้าวสุกร้อนๆ ทุกเช้า (ไม่ว่าเราจะตื่นเช้าสักเพียงใด จะพบข้าวสุกในบาตรอยู่ก่อนหน้าเราเสมอ)

6.เมื่อตีกลองใบใหญ่จากด้านหนึ่งของพระเจดีย์จะไม่สามารถได้ยินเสียงกลองจากด้านตรงข้าม

7.แม้พระเจดีย์จะตั้งอยู่บนพื้นราบแต่เมื่อมองจากภายนอก จะเกิดภาพลวงตาคล้ายพระเจดีย์ตั้งอยู่บนที่สูง

8.ไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใดจะไม่มีน้ำฝนขังอยู่ในอาณาเขตขององค์พระเจดีย์

9.มีต้นพิกุล(Khaye หรือ Chayar) ซึ่งจะออกดอกตลอดทั้งปี(ปรกติจะออกปีละครั้ง)

      ข้อความนี้  ฉันสำเนามาจากในบล็อกของพันทิบ มาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านเป็นความรู้ (ต้องขอบคุณเจ้าของบล็อกและขออนุญาตนำมาให้ความรู้แก่ผู้อ่านที่เข้ามาอ่าน ค่ะ) ต่อไปก็มาชมความงดงามของ  เจดีย์ชเวสิกองกันนะคะ 














 ชมความงามของเจดีย์ ชเวสิกอง จนอิ่มเอมใจแล้ว พวเราก็ขึ้นรถ เพื่อไปชมที่อื่นต่อ ระหว่างทาง ผ่านสถานที่ที่โบลคิดว่า แปลกและสวยงาม เขาก็จอดรถให้พวกเราลงไปถ่ายรูปกัน 




จากที่นี่แล้ว  โบล ก็พาไปอีกเจดีย์หนึ่ง ซึ่งจะต้องเสียเงินเข้าชมคนละ ตั้ง 20 ดอลมั้ง  ตอนนั้น ภา ฟังแปล ผิด คิดว่า ทั้งคันรถ 20 ดอล พวกเราเลยไม่ไป แค่ลงไปถ่ายรูปกับป้ายและภายนอก สักพัก ภา กับ น้องมาบอกว่า เขาทั้งสองอยากเข้าไปชมภายใน  ขอเข้าไป 1 ชั่วโมง ให้พวกเราเดินเล่นอยู่ข้างนอก ฉันก็บอกให้ เขาไปเถอะ พวกเราก็ถ่ายรูปอยู่ภายนอกกัน เดินชมร้านค้าแถว ๆ นั้น ดูเหมือน วัชรี จะซื้อผ้าขาวม้า ไป 1 ผืนด้วย อิอิ มาดูรูปที่พวกเราถ่ายได้เฉพาะภายนอก เพราะเราไม่ได้ตีตั๋วเข้าไป ห้าห้า เราก็ได้ดูแต่ภาพ ภายนอกของเจดีย์ องค์นี้ ค่ะ 

     ฉันไปค้นหาประวัติของวัด หติโลมินโล (Htilomjnlo) มาให้อ่านด้วยค่ะ ชื่อของวัดนี้ แปลว่า กษัตริย์ที่ฉัตรแต่งตั้ง  ที่ชื่อเช่นนี้ ก็เพราะว่า พระเจ้านรปติสิตถุ  พระองค์ มี พระราชโอรส 5 พระองค์ จึงได้ใช้ฉัตรเป็นสิ่งเสี่ยงทายว่า พระราชโอรสใน 5 พระองค์นี้ ใครจะได้ขึ้นครองราชย์  ฉัตรได้ชี้ไปเจ้าชาย ชัยสิงห์  เจ้าชายองค์นี้ จึงได้ขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา  และได้สร้างวัดแห่งนี้ ขึ้นมา




      เรารอ ภา และ น้อง ซึ่งซื้อบัตรเข้าไปชม ประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อพร้อมกันแล้ว โบลก็พาพวกเราไปเที่ยวสถานที่อีกแห่งหนึ่ง คือ วัดอนันดา (Ananda Pagoda) เรามาดูประวัติความเป็นมาของวัดนี้เพื่อเป็นความรู้ ซึ่งฉันค้นคว้ามาบ้าง ฟังจากวิทยากร ที่ ภาจ่ายเงินค่าทริปไปบ้าง  กล่าวคือ ครั้งแรก เราคิดว่า วัดนี้อยู่ในข่ายต้องเสียเงินเข้าไป เราจึงเดินอยู่บริเวณนอก ๆ ภา และ น้องเข้าไปก่อน เพราะเขาซื้อบัตรตั้งแต่วัดแรก ที่จริงเขาก็ให้เข้าวัดได้อยู่แล้ว ก่อนจะถึงตัววัด จะเป็นทางเดิน สองข้างทางจะมีร้านค้าอยู่เป็นแถวยาว พวกเราก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก มารู้ประวัติวัดนี้หน่อยนะคะ 

    วัดอนันดา ( Ananda Pagoda) เป็นวัดที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบพม่า  ที่เรียกว่า  เจติยวิหาร  คือ เป็นสถาปัตยกรรมซึ่งใช้สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป  ผู้สร้างวัดนี้ คือ พระเจ้า จันสิทธะ (King Kyanzittha) สาเหตุที่สร้าง เนื่องจาก มีพระอรหันต์ 5 รูป (บางแห่งบอก 8 รูป) มาจาริกแสวงบุญมาถึง แดนพุกาม ได้มาเฝ้าพระเจ้าจันสิทธะ ทูลเล่าถึงลักษณะวัดในอินเดีย ซึ่งสร้างอยู่ที่เขา นันทมูล (Nandamula)บนเทือกเขาหิมาลัย ทำให้พระเจ้า จันสิทธะพอพระทัยมาก จึงได้ดำริที่จะก่อสร้างวัดตามที่ได้สดับจากพระอรหันต์เหล่านั้น  แล้วตั้งชื่อวัดนี้ ว่า อนันดา ตามชื่อถ้ำที่พระอรหันต์เหล่านั้นอาศัยอยู่ และเป็นสัญลักษณ์แทนภูเขา นันทมูล วัดนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกำแพงเมือง   เป็นวัดสีขาวจะมองเห็นได้ทันทีที่เข้าหมู่บ้านมาจากทางทิศเหนือ ถือเป็นสถาปัตยกรรมแบบมอญที่งดงามมาก สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1091 มีระเบียงไม่ซับซ้อน  มีซุ้มประตูประตูใหญ่สี่ซุ้ม ขนาดเท่ากันทุกด้าน  เปิดจากแนวกึ่งกลางไปสู่ที่ห้องคูหากลางวิหาร ด้านบนก่อเป็นแกนทึบสีเหลี่ยมไปรับกับส่วนยอด  ที่แกนทึบแต่ละด้าน  ทำรวงเข้าไป   เป็นซุ้มพระขนาดใหญ่ (ฉันถ่ายรูป ในวิหารมาให้ชม  ท่านดูเอาเองตามคำอธิบาย ที่ฉันค้นคว้ามา) ผนังแต่ละด้านยาว 35 เมตร  โครงสร้างของวิหารมีผังเป็นรูป สีเหลี่ยม ในซุ้มมีพระพุทธรูปยืนประจำหลัก สูง 9.5 เมตร ประดิษฐานอยู่ทั้ง 4 ซุ้ม แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  

  วัดอนันดา ได้รับการยกย่องว่า เป็นเพชรเม็ดงามแห่งสถาปัตยกรรมของพุกาม  เพราะว่าเป็นสุดยอดของพุทธศิลป์ สกุลพุกาม  ภายในวิหารมีพระพุทธรูป ทั้งสี่ทิศดังกล่าวแล้ว ยังมีพระพุทธรูปอื่น ๆ อีกมากมาย มีพระพุทธรูปที่เป็นที่กล่าวขานว่า ประหลาดมาก ก็คือ พระพุทธรูป ที่เมื่อยืนดูใกล้ ๆ จะเห็นว่าพระพักตร์ท่านบึ้งตึง แต่ถ้ามายืนดูห่าง ๆ  จะเห็นว่า พระพักตร์ท่านจะแย้มสรวลนิด ๆ ดูมีเมตตา สร้างความเลื่อมใสแก่ผู้มาสักการะ อย่างยิ่ง (ตามที่ วิทยากร เล่าให้ฟัง  แล้วพวกเราก็ทดสอบตามที่วิทยากรว่า ก็เป็นจริงอย่างที่เขาอธิบาย เป็นที่แปลกอัศจรรย์เหลือเกิน) นอกจากนี้ ผนังด้านข้างองค์พระองค์ใหญ่ทั้ง 4 ทิศ  จะเจาะเป็นช่องเล็ก ๆ บรรจุพระพุทธรูปหินทรายมากมายรอบ ๆ ทั้ง 4 ด้าน จำนวน 1,800 องค์

    เรามาดูรูปต่าง ๆ ที่ฉันรวบรวมมาให้ชม ค่ะ ใครที่ต้องการศึกษาอย่างละเอียด ให้ไปอ่านบทความของคุณ ภูวษา เรืองชีวิน ซึ่งได้ค้นคว้ามาละเอียดมากทีเดียว ตามเว็บไซด์ค่ะ //www.academia.edu/5660003/%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%2









   สถานที่ต่อไปที่โบล พาพวกเราไปเที่ยว ก็คือ มหาวิหารสัพพัญญู (Thatbyinnyu) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า มหาวิหารตะบินยูพญา  วิหาร หลังนี้ ตามหนังสือท่องเที่ยว เขาจัดว่า เป็นสถานที่ 1 ใน 5สถานที่ที่ต้องมาเยือนให้ได้ ค่ะ วิหารนี้ เป็นศาสนสถานที่สูงที่สุดในเมืองพุกาม มีความสูง 67 เมตร สร้างขึ้นในยุคกลางของพุกาม มีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้นที่ 4เป็นชั้นที่สำคัญที่สุด เพราะใช้เป็นที่ประดิษฐานพระไตรปิฎก นักท่องเที่ยว สามารถเดินชมวิหารนี้ได้เพียงชั้นล่างชั้นเดียวเท่านั้น ชั้นล่างนี้ มีประตูเข้า ออก ได้ 4 ด้าน เป็นวิหารยอดปรางค์ สร้างในสมัย พระเจ้าอลองซิตู  ในปี พ.ศ.1687 ตัววิหารเป็นรูปสีเหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 180 ฟุต สูง 201 ฟุต ถือเป็นวัดประจำรัชกาลของพระเจ้าอลองซิตู โดยสร้างเลียนแบบวัดในอินเดีย เชื่อว่าชั้นบนสุดเป็นองค์สถูป เชื่อกันว่า เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ

    ส่วนความหมายของชื่อเจดีย์  คำว่า สัพพัญญู หรือเป็นสำเนียงพม่า ว่า " ตะบินยู" เป็นพระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้า แปลว่า  "ผู้รู้ทุกอย่าง"  ดังนั้น  "ตะบินยูพญา" จึงหมายความว่า  มหาวิหารแห่งความรอบรู้ ได้รับยกย่องว่า เป็นวิหารที่มีอากาศถ่ายเท มีแสงสว่างดีกว่าวิหารอื่น ๆ ในพุกาม  แต่เดิมอนุญาตให้ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกได้ แต่ปัจจุบัน ไม่อนุญาตแล้ว เพราะว่า มีรอยร้าว  กลัวจะเป็นอันตรายได้  มาชมภาพสวย ๆ กันค่ะ 

       เกือบบ่ายโมงแล้ว พวกเราหิวกันแล้ว  โบลพาไปหาร้านอาหารให้ทานข้าวมื้อเที่ยงกัน มื้อนี้ รสชาติของอาหารรสชาติดี คล้ายคลึงอาหารไทย ผัดเปรี้ยวหวานสับปะรด อร่อยดีกว่าเพื่อน บรรยากาศก็ร่มรื่นดี มาชมหน้าร้านอาหาร ค่ะ

    อิ่มหนำสำราญ มีแรงแล้ว พวกเราก็ไปเที่ยวต่อกัน เวลามีน้อย ที่เที่ยวมีเยอะ เราต้องเร่งเวลากันหน่อย อิอิ สถานที่ต่อไปก็คือ  เจดีย์ มนูหะ (MANUHA  Phaya) ท่านผู้อ่านคงจำได้ว่า ฉันได้เล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของการสร้าง เจดีย์เชเวสิกอง มาแล้วว่า เจดีย์องค์นี้ สร้างขึ้นตามความเสี่ยงทายตอน พระเจ้า     อโนรธา ยกทัพไปตีเมืองสุธรรมวดี หรือ เมืองสะเทิมของ มอญ ได้ชัยชนะ นำคัมภีร์ 30 เล่ม มาจากมอญ เสี่ยงทายว่า ช้างเผือกที่อัญเชิญพระคัมภีร์และพระธาตุ มาคุกเข่าที่ใด ก็สร้างวัดที่นั่น  เจดีย์  มนูหะ สร้างขึ้น โดยเหตุต่อเนื่องจากสาเหตุนี้ด้วย  โดยเมื่อ ตีมอญแตกแล้ว พระเจ้าอโนรธา ได้จับพระเจ้า มนูหะ หรือ พระเจ้าสุธรรมวดี กษัตริย์มอญ และมเหสีมาเป็นเชลย และจับใส่ตรวนทองคำ คุมขัง อยู่ที่ มยินกาบา ทางใต้ของพุกาม  ต่อมาในปี พ.ศ.1602 พระเจ้าอโนรธามังช่อ ได้ทรงอนุญาตให้ พระเจ้า มนูหะ สร้างวัด มนูหะ เพื่อให้เป็นที่บำเพ็ญพระราชกุศล (เกิดพระทัยดี อย่างไรไม่ทราบเนอะ แล้วเมื่อเป็นเชลย จะไปเอาทรัพย์สินที่ไหนมาสร้างอ่ะ ดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเนอะ อิอิ) พระเจ้า มนูหะ ได้สร้าง เจดีย์วัดนี้ สร้างพระพุทธรูปออกมา ด้วยความรู้สึกที่อึดอัด ขาดอิสรเสรี พระพุทธรูปที่สร้าง เป็นปางมารวิชัยขนาดใหญ่มาก จนคับพระวิหาร  ขนาบด้วยพระสาวก จากสีพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่อึดอัด จึงได้ขนานนามว่า "พระอึดอัด"  เป็นการประชดพุกาม อิอิ (เขาเล่ามา) นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปปางนิพพาน ขนาดใหญ่โตมากเช่นเดียวกัน แต่ พระโอษฐ์แย้มสรวล  ทำให้คนตีความว่า พระเจ้า   มูหนะ พระองค์คงต้องการสื่อความว่า  การสวรรคตของพระองค์เท่านั้นที่จะทำให้พระองค์ พ้นทุกข์ที่ต้องเป็นเชลยของพระเจ้า    อโนรธา ได้อิสรภาพคืน เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่งเนอะ  มาชมภาพพระพุทธรูปและสิ่งก่อสร้างที่ฉันถ่ายรูปมาฝากดีกว่าค่ะ 


   โบล พาเที่ยวต่อไป ที่ Dhamma  ya zi ka Pagoda ที่นี่ ประวัติที่ค้นหามา  กล่าวว่า เป็นเจดีย์ใหญ่ที่สวยงามของโบราณสถานทางทิศใต้  เจดีย์เป็นทรงระฆังคว่ำ ลักษณะเดียวกับเจดีย์ชเวสิกอง  ฐานเป็นรูปห้าเหลี่ยม ทำให้บรรจุพระพุทธรูปได้ 5 พระองค์  แทนที่จะเป็น 4 องค์ เหมือนเจดีย์อื่น ๆ อีกองค์จึงสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นพระอารยะเมตไตย มีทางขึ้นไปชมทิวทัศน์ ทะเลเจดีย์ได้ด้วย ซึ่งทางเดิน มีก้อนกรวดบาดเท้าเจ็บมาก พวกเราเลยไม่ได้เดินเยอะ อิอิ ถ่ายรูปได้บ้างแล้วก็ลงมาจากองค์เจดีย์  มาดูรูปภาพที่ฉันนำมาฝาก ค่ะ 

   จากที่เจดีย์ หรือวิหาร ตามชื่อที่ฉันถอดมาจากป้ายชื่อที่ถ่ายมานี่แหละ  สถานที่เที่ยวช่วงหลัง ๆ พวกเราชักเหนื่อยมาก ๆ เพราะมีที่เที่ยวเจดีย์ หน้าตาก็ค่อนข้างจะเหมือน ๆ กัน เราแยกกันไม่ค่อยจะออก เลยไม่ค่อยตื่นเต้นในการถ่ายรูปเหมือนช่วงเช้าแล้ว อิอิ  บางแห่ง เช่น สถานที่ที่จะไปต่อจากที่นี่  ก็ไม่มีป้ายชื่อบอกไว้ว่า  ชื่ออะไร ถามโบลแล้ว เขาก็บอกนะ แต่เราก็จดภาษาเขาไม่รู้เรื่อง  มาดูภายหลังถามจากจุก และได้เห็นรูปที่ถ่ายที่เดียวกัน จึงรู้ว่า  ชื่อ เจดีย์วิหารธรรมยางยี ซึ่งตามหนังสือท่องเที่ยวพม่า กล่าวไว้ว่า เป็น ศาสนาสถานที่ใหญ่ที่สุด และสามารถมองได้ชัดเจนจากทุกมุมในพุกาม ผู้ที่สร้างเจดีย์วิหาร องค์นี้ คือ พระเจ้า นราธู ซึ่งครองราชย์ในปี พ.ศ. 1710-1713 ตามประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า  เป็นคนโหดเหี้ยมมาก ทำการปิตุฆาตและพระเชษฐา เพื่อขึ้นครองราชย์ แม้แต่พระมเหสีชาวลังกา ก็ถูกประหาร ต่อมาสำนึกผิด ทรงคิดที่จะสร้างเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุด สวยที่สุด เพื่อที่จะเป็นการล้างบาป แต่ความโหดร้ายไม่ได้ลดลงเลย เล่ากันว่า พระองค์ทรงเดินตรวจการก่อสร้างเจดีย์เอง  ถ้าเอาเข็มสอดเข้าไปในช่องรอยต่อของอิฐแต่ละก้อนได้ ช่างเรียงอิฐคนนั้นจะถูกนำไปตัดนิ้วทิ้ง  การเรียงอิฐของเจดีย์องค์นี้จึงประณีตงดงามมาก

     เจดีย์องค์นี้ สร้างไม่เสร็จ  เพราะพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์เสียก่อน  เชื่อว่า เป็นทหารที่พระราชบิดาของมเหสีชาวลังกาส่งมาลอบปลงพระชนม์  ตามปรกติ การสร้างเจดีย์ วิหารในพุกาม นั้น ล้วนแต่สร้างด้วยความเต็มใจและแรงศรัทธา  ยกเว้นเจดีย์องค์นี้ สร้างขึ้นเพื่อล้างบาป นอกจากนี้ ยังทำให้ช่างเรียงอิฐหลาย ๆ คนโดนตัดมืออีก จึงเป็นเจดีย์ที่แทบจะไม่มีใครไปกราบไหว้บูชาเหมือนเจดีย์อื่น ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่ชื่อเจดีย์ ก็แปลว่า ธรรมอันยิ่งใหญ่ มาดูรูปที่ฉันถ่ายมาฝาก ค่ะ 


โปรดติดตามต่อไป ในตอนที่ 2ค่ะ 




Create Date : 30 กรกฎาคม 2558
Last Update : 25 สิงหาคม 2558 18:41:11 น. 1 comments
Counter : 2065 Pageviews.

 
พม่าร่ำรวยอารยธรรมมาก ผมเคยไปพุกามช่วงวันหยุดสงกรานต์ ที่นั่นก็เล่นสาดน้ำกันสนุกสนานคล้ายๆเมืองไทย เป็นเมืองที่น่าไปเที่ยวมากๆครับ


โดย: สุรพงษ์ IP: 1.46.32.221 วันที่: 30 สิงหาคม 2558 เวลา:12:29:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space