คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
กรกฏาคม 2558
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
6 กรกฏาคม 2558
space
space
space

น้ำตก อีกวาซู ธารน้ำแข็ง เปริโต โมเรโน ไฮไลท์ของประเทศอาร์เจนตินา
 น้ำตก อีกวาซู  ธารน้ำแข็ง เปริโต โมเรโน  ไฮไลท์ของประเทศอาร์เจนตินา

              บล็อกนี้ เป็นบล็อกที่ 3 ของทริปอเมริกาใต้แล้วค่ะ อ่านจาก หัวข้อเรื่อง  ท่านผู้อ่าน  ก็ทราบแล้วนะคะว่า  ฉันจะมาเล่าเรื่องเที่ยวประเทศไหน  อาร์เจนตินา ไม่ใช่ มีเพียงสถานที่ที่กล่าวไว้ในหัวข้อเรื่องเท่านั้น  ยังมีอีกหลาย ๆ แห่งที่น่าสนใจ  ถ้าท่านผู้อ่าน อ่านเรื่องที่ฉันเล่าต่อไปนี้  ก็คงจะเห็นด้วยกับฉัน ค่ะ อิอิ 

             วันที่ 12  พ.ค. 58  

              เช้านี้ พวกเราตื่นแต่เช้า เข้าครัวของที่พัก ทำอาหารเช้าทานกันก่อน  ทุกคนต่างก็เตรียมอาหารของตนเองไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว  ฉันฝากหลิน ซื้อไข่ไก่ 1 ฟอง ฉันมีโจ๊กซองอยู่ เลยทำโจ๊กใส่ไข่ ก็พออิ่มท้องได้พอสมควร  
              คณะของเราจ้างรถมารับสองคัน เพื่อไปสนามบิน Calama ด้วยสายการบิน LAN Airline  เครื่องบินออกเวลา 10.40 น. ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง  ถึงเมือง Santiago  เพื่อต่อเครื่องบินไป บัวโนส ไอริส เมืองหลวงของประเทศอเจนตินา  ช่วงอยู่ในเครื่องบิน  ว่าง ๆ เลยถ่ายภาพจากบนเครื่องบินมาฝาก ค่ะ แต่ภาพไม่ชัด เพราะถ่ายผ่านกระจกมันจึงดูมัว ๆ 
             เราต้องรอต่อเครื่องที่สนามบินนี้ จนถึงเวลา15.05 น. นั่งเครื่องอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงเมือง บัวโนส  ไอเรส (Buenos  Aires) เป็นเวลา 17.05 น. ที่สนามบิน EZE  Ministro Pistarini เป็นอันว่า วันนี้ เราใช้เวลาเดินทางทั้งวัน ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย  
          คืนนี้และคืนพรุ่งนี้ เราพักที่ The Hostel-Inn Buens  Aires Humberto Primo 820,Buens  Aires ,Argentina  คืนนี้ ห้องของฉัน นอนกัน 4 คน ฉัน หญิง ติ๋มและติ๋ม ที่นี่ โชคดี ห้องอยู่ชั้น 1 มีห้องครัวด้วย คืนนี้ มีการไปซื้อกับข้าว  ข้าว มาหุงกินกัน  เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแป๋ว มีโก นนท์ บี๋ จิน และตุ๊ก  เขาเก็บเงิน รวมกัน แล้วซื้อของมาประกอบอาหารกัน  จินเป็นคนหุงข้าวสวยไม่เช็ดน้ำ  ส่วนฉัน หญิง และหลิน จึงต้องรวมกันเพียง 3 คน ส่วน ติ๋มและปีเตอร์แยกตัวไปอิสระเป็นเอกเทศ เฮ้อ ! มันจึงไม่เป็นระบบกลุ่มเสียแล้ว ที่จริงหัวหน้า คือ แป๋วเขาน่าจะถามในกลุ่มทุกคนก่อน  มาชวนกันทีหลังผ่านไป วันสองวัน โดยจะให้กลุ่มเราทำกับข้าวไปแจม 2-3 อย่าง หลิน เห็นว่าไม่ยุติธรรม เพราะคนน้อยกว่าเขา  ฉันก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร  ซึ่งภายหลังก็มีปัญหา ระหองระแหงกันบ้างระหว่างหลินกับกลุ่มของแป๋ว ความสนุกสนานของฉันจึงลดน้อยลงไป ส่วน หญิง เขาก็มีความสุขกับการมีมนุษยสัมพันธ์ดีกับทุกคน ส่วนใหญ่เขาจะไปกับติ๋ม  ติ๋มเป็นคนแข็งแรงและชอบถ่ายรูป จึงเข้ากับหญิงได้เป็นอย่างดี เพราะชอบถ่ายรูปเหมือนกัน  

           13 พ.ค. 58  

             เช้านี้ มีอาหารเช้าของที่พักให้ทานด้วย เป้าหมายในวันนี้ คือไปเที่ยว Plaza  De Mayo  ซึ่งเรียกว่าเป็นจัตุรัสของเมืองนี้ ก่อนจะเล่าเรื่องเที่ยว  เรามารู้จัก  บัวโนส  ไอเรส (Buens  Aires )  เมืองนี้ เป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศอาร์เจนตินา เป็นเมืองท่าด้วย  บางครั้งเมืองนี้ได้รับการขนานนามว่า  ปารีสใต้ หรือ ปารีสแห่งอเมริกาใต้ เพราะเมืองนี้ได้รับวัฒนธรรมอย่างเข้มข้น  เป็นเมืองสมัยใหม่แห่งหนึ่งของละตินอเมริกาใต้   มีชื่อเสียงเรื่องสถาปัตยกรรม
              การเที่ยวของเราวันนี้  เริ่มเดินออกจากที่พัก ไปตามเส้นทางของถนน  ซึ่งมีตึกรามบ้านช่องสวยงาม  รถราแล่นกันขวักไขว่ ผ่านโบสถ์แห่งหนึ่ง  พวกเราก็พากันเข้าไปชมและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก  สถาปัตยกรรมของวัดนี้ ก็สวยงาม  ระหว่างทางเราก็ถ่ายรูปไว้เมื่อเห็นว่างามตามสายตาของแต่ละคน  มาชมรูปกัน ค่ะ 




              เราเดินไกลมากน่าจะหลายกิโลเมตร  ไปถึงยังจัตุรัส ปรากฏว่า มีผู้คนมาชุมนุมประท้วงกันเป็นกลุ่มใหญ่ มีป้ายชู เรียกร้องอะไร ฉันก็แปลไม่ออก  เห็นบนพื้น  มีกระดาษใบปลิวเกลื่อนเต็มไปหมด รถราบริเวณนี้ แล่นกันขวักไขว่เยอะมาก  พวกเราก็ถ่ายรูปกันตามระเบียบ



        ที่นี้  เป็นที่ตั้งของทำเนียบประธานาธิบดีของอาร์เจนตินา  ที่เรียกว่า Casa Rosada  หรือ The Pink House  เป็นอาคารสีชมพู  มีระเบียงอันโด่งดังที่  เอวิตา  เปรอง  อดีตสตรีหมายเลข 1 ของอาร์เจนตินาเคยยืนให้สุนทรพจน์ ด้วย  มาชมภาพตึกสีชมพูนี้ ค่ะ 

            เที่ยงแล้ว  พวกเราก็ไปหาอาหารมื้อเที่ยงทานกัน  ก็หนีไม่พ้น ร้านอาหารฟาสฟู้ด  ฉันกับหญิงสั่งสลัด ปลา กินด้วยกัน เพราะจานใหญ่ ราคาก็แพง  เจอแหม่มหน้าตาน่ารัก หญิงเลยขอเขาถ่ายรูปด้วย จากนั้น ก็เดินชมเมืองและจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพ เอวิต้า  เปรอง ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในขณะที่อายุเพียง 33 ปี ประชาชนทั้งเมืองรู้สึกเสียใจต่อการจากไปของนางมาก  เพราะว่าตอนที่มีชีวิตอยู่นางได้ร่วมทำงานช่วยเหลือ คนยากจนเป็นจำนวนมาก 


          ขณะที่เดินผ่านสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาทางไปขึ้นรถเมล์ เพื่อไปเยี่ยมชมหลุมฝังศพนั้น  ได้เห็นภาพประชาชนเดินขบวนประท้วงกันตามถนน เลยถ่ายรูปมาฝากด้วย ค่ะ 


          เราเดินกันไกลมาก  ไปที่ป้ายรถเมล์ เพื่อที่จะไป Recoleta  Cemetery  เพื่อเยี่ยมหลุมฝังศพของเอวิตา  แต่ปรากฏว่า รถเมล์ที่จะไปนั้น ต้องไปซื้อบัตรก่อน  พวกเราหลายคน รวมทั้ง ฉันด้วย รออยู่ที่ป้ายรถเมล์  มีแป๋ว บี๋ นนท์ มั้งไปเดินหาสถานที่ซื้อบัตรขึ้นรถเมล์ เขาได้เจอแหม่มผู้น่ารักพาไปซื้อ และขึ้นรถเมล์มาพร้อมกับพวกเรา (เขาจะขึ้นรถเมล์สายนี้ด้วย )  โชคดีเป็นของพวกเรา  ในที่สุด พวกเราก็ได้ขึ้นรถเมล์ไป  
           พอถึงป้ายที่จะลง  แหม่มผู้น่ารัก (น่าจะวัย 50 ปีแล้ว) ก็พาพวกเราลงจากรถเมล์  ชี้ทางให้รู้ว่า  ต้องเดินไปทางไหน แล้วก็อำลาจากกัน  ก่อนลาจากกัน ก็มีการถ่ายรูปกับแหม่มด้วย  กอดกัน หอมกัน แหม่มแจกนามบัตรให้ด้วย ดูเหมือนจะทำงานเกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์ 



            พวกเราก็เดินไปตามทางที่แหม่มบอกไกลอยู่เหมือนกัน  สุสานนี้  เป็นสุสานรวมของบุคคลสำคัญ ต่าง ๆ ไม่ใช่เฉพาะของ เอวิตา เปรอง เท่านั้น  เป็นสุสานที่ใหญ่โตกว้างขวางมาก เขาทำทางเดินให้เยี่ยมที่ฝังศพเหล่านี้ มีต้นไม้ บ้างบางจุด ทำให้ร่มรื่น  พวกเราเดินชมที่ฝังศพต่าง ๆ จนเจอหลุมฝังศพ  สตรีหมายเลข 1 เอวิตา เปรอง ที่เราตั้งใจมาเยี่ยมเขา อิอิ หลุมฝังศพเหล่านี้  ส่วนใหญ่ไม่น่ากลัว เป็นสีขาว เหมือนคอนโดเลย เพียงแต่เป็นคอนโดชั้นเดียว ฉันถ่ายรูปมาให้ชมด้วยค่ะ  เผื่อเวลาท่านผู้อ่านไปเที่ยวจะได้มีข้อมูล  อิอิ




          โปรแกรมต่อไปของวันนี้ ก็คือ ไปเดินชมย่าน La boca  ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามฟุตบอลของทีม boca  Junior  ที่โด่งดังของอาร์เจนตินา  สถานที่นี้  มีตึกจำนวนมากทาสีสันหลากหลาย สีสัน สดใส แสบตา สะดุดตามาก ๆ มีรูปตัวการ์ตูนต่าง ๆ ตกแต่งบนอาคาร  ย่านนี้เป็นย่านท่าเรือเก่าด้วย  สาเหตุที่มีสีสันสารพัดสี ตกแต่งอาคาร  เป็นเพราะว่าในสมัยก่อน ชาวเรือมีความยากจน  ไม่มีเงินซื้อ  พอมีสีอะไรเหลือ   ก็นำมาทาบ้านกัน  ทำให้บ้านเหล่านี้ กลายเป็นสีสันตามที่เห็นในปัจจุบัน  กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่เสียแล้ว ค่ะ ที่นี่ มีตรอกซอย น่าจะประมาณ 3ซอย  มีร้านค้าสินค้าต่าง ๆ ตกแต่งด้วยภาพและตัวการ์ตูน ร้านอาหารก็มีมากมาย  เปิดเพลง มีการร้องเพลง มีการเต้นรำกันด้วย ฉันเดินชมร้านค้าต่าง ๆ และเก็บภาพมาฝาก  ส่วนหญิงกับหลิน ไปถ่ายรูปกันเอง  เรามาชมภาพที่ฉันรวบรวมมาให้ท่านผู้อ่านชม นะคะ 











           ถึงเวลานัด คือ 17.00 น. พวกเรานัดเจอกันเพื่อขึ้นรถเมล์  ขาดติ๋มไป 1 คน เพราะแกมาแล้วไปรออีกที่หนึ่ง เราลุ้นรอจนเกือบ 17.30น.ก็เห็นติ๋มเดินมาจากอีกฝั่ง รถเมล์ก็มาพอดี  ลุ้นกันแทบแย่ ในที่สุดเราก็ไปพร้อมกันได้ทุกคน  
           เรามาลงรถกันที่แถวตลาดที่เรามาเมื่อวานนี้  เพื่อซื้อผัก ซื้อไข่ไปทำอาหารกันทานมื้อค่ำ  ปรากฏว่า ซองเครื่องแกงชนิดต่าง ๆ ที่แป๋วให้เอาไป ฉันไม่ได้ใช้อะไรเลย  คือ ซองพะแนง  ไม่รู้จะเอากะทิที่ไหน เฮ้อ! 
           ห้องนอน 4 คน ค่อยข้างอึดอัด  คับแคบ ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม ที่นี่ จึงไม่สะดวกนัก  ห้องครัวที่ทำอาหารก็คับแคบ กลุ่มเราก็เหมือนเดิม ผัดปวยเล้ง  ทอดไข่เจียว  ได้อานิสงส์จากจินให้ข้าวสวยฉันหน่อยหนึ่ง เพราะเรายังหาซื้อข้าวสารไม่ได้ 
            คืนนี้เราคงพักที่นี่อีกคืน  ก่อนจาก ได้ถ่ายรูปห้องนอนและหน้าเคาน์เตอร์ของโฮสเทล มาให้ชมก่อนลาจากค่ะ 


           วันที่ 14  พ.ค. 58

            วันนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้า เพราะต้องขึ้นเครื่องบิน เวลา 10,00น.ด้วยสายการบิน AEROLINEAS  ARGENTINAS  เพื่อเดินทางไปเมือง El Calafate  ใช้เวลา 3.20 ชั่วโมง 

              เมือง  El Calafate เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ทางใต้เกือบสุดของประเทศอาร์เจนตินา  ติดกับประเทศชิลี  ห่างจาก บัวโนส ไอเรส เมืองหลวง ประมาณ 3,000 กิโลเมตร  เมืองนี้เป็นเหมือนศูนย์กลางการเดินทางทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน  ร้านค้า ซุปเปอร์มาเก็ต ท่ารถ บริษัททัวร์  ชื่อเมืองนี้  Calafate  เป็นชื่อของดอกไม้  คาลาฟาเต้  เป็นสกุลของเบอร์รี่  ต้นของมันมีหนามเล็ก ๆ  ลูกสีม่วง เปรี้ยว เอาลูกของมันไปทำแยมทานได้     

             เรามาถึง  ก็ต้องจ้างรถรับจ้างที่สนามบิน มาส่งพวกเราที่สถานีรถบัส เพื่อเดินทางต่อไป รถออกจากที่นี่ เวลา 18.00 น.  เราเลยมีเวลาไปเดินเที่ยวรอบ ๆ เมืองนี้  น่าเสียดาย  ร้านส่วนใหญ่ปิดหมด จะเปิดประมาณ 17.00 น. แม้แต่ร้านอาหารก็เช่นนั้น  พวกเราท้องเริ่มร้องเหมือนกัน  เดินไป เห็นตรงไหนสวย ก็ถ่ายรูปแก้หิวไปก่อน อิอิ 

              เดินกันมาได้พักใหญ่ ๆ ตอนนั้นน่าจะประมาณบ่าย 4 โมงเย็นแล้ว  โชคดี ที่มีร้านอาหารเปิดอยู่ร้านเดียว  คนเข้ามาทานค่อนข้างมาก ราคาตามเมนูแพงมากพอควร  แค่สปาเก็ตตี้ ก็สองร้อยกว่าบาท พวกชอบกินเนื้อแกะเช่น โก หลิน เขาก็สั่งกินกันซึ่งราคาแพงกว่าสปาเก็ตตี้ไม่มากนัก  รสชาติก็ไม่ได้อร่อยอะไรมาก 

               อิ่มแล้ว ก็เดินหาร้านแลกเงินเป็นเงินอาร์เจนตินา  ราคาดีพอสมควร  แลกไป 50 ดอล ทุกคนก็แลกกันประมาณนั้น ถ้าไม่พอ เราก็มาแลกใหม่ได้ เพราะเราต้องกลับมาพักที่เมืองนี้อีก หลังจากกลับจากการเทรคกิ้งตามโปรแกรมแล้ว 
               เมื่อถึงเวลา 18.00 น. พวกเราก็ลากกระเป๋าที่ฝากไว้ที่ท่ารถขึ้นใต้ท้องรถไป เพื่อเดินทางต่อไปเมือง El Chalten  ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง   เมือง El Chalten เป็นเมืองศูนย์กลางของ hiking  มี 2 trail หลัก ๆ อยู่ 2  trail ที่นักท่องเที่ยวชอบมาเดิน  
               รถมาถึงเมืองนี้ 3 ทุ่มกว่าแล้ว คืนนี้ลำบากกันหน่อย เพราะว่า ตอนแยกกันสองโฮสเทล คือ พักที่ Hospederia  Thiamalu  มี ฉัน หญิง นอน 2 คน ห้องรวม มี แป๋ว  นนท์ ตุ๊ก หลิน  ส่วนที่เหลือ นอนอีกโฮสเทล  คือ Ranco Grande Hostel  มี 4 คน คือ บี๋ ติ๋ม จิน โก ไม่มีอาหารเช้าให้  มาชมห้องพักที่นี่  ซึ่งนับว่า ดีใช้ได้ อยู่ชั้นหนึ่ง เป็นโฮสเทลเล็ก  มีเพียงไม่กี่ห้อง พวกเราเลยต้องแยกกันอยู่  เป็นแหม่มผู้หญิงให้การบริการพวกเรา  ไฟ ห้องเราไม่ติด  แกก็เป็นผู้มาเปลี่ยนให้  เรียกว่า เป็นหญิงเก่งทีเดียว  น่าจะเป็นกิจการเล็ก ๆ พอเลี้ยงชีพได้ นะ มาดูห้องฉันค่ะ 


            คืนนี้ ฝนฟ้าไม่อำนวยเลย  ลมพายุพัดแรงมาก ฝนก็ตกหนัก พัดประตู หน้าต่าง สั่นไปหมด เราต้มมาม่ากินในห้องนอนกัน อิอิ 

             วันที่ 15  พ.ค. 58 

              วันนี้  พวกเราตื่นเช้า ก็เปล่าประโยชน์  โมงเช้าแล้ว ฟ้าก็ยังมืด  ฝนฟ้า พายุ ยังคงพัดกระหน่ำ เสียงลมดังอู้ น่ากลัว เกือบสองโมงเช้าแล้ว ฟ้าจึงเริ่มสว่าง  ลมยังคงแรง แต่ฝนยังโปรยปรายอยู่  พวกเราออกจากห้องมาทานอาหารเช้าตอน สองโมงเช้ากว่าแล้ว แลัวกลับเข้าห้องพัก รอว่า เมื่อไหร่ฝนฟ้าจะหยุดโปรบปราย พายุจะเบาบางลง 

             การติดต่อของสองโฮสเทล ติดต่อยาก เพราะอินเทอร์เน็ตไม่ดีนัก ได้ข่าวภายหลังว่า อีกกลุ่มที่อยู่อีกโฮสเทล เขาไปเดินเทรคกิ้ง กันตอนประมาณ 9.00 น.  ส่วนพวกเราออกจากโฮสเทล ประมาณ 10.30 น.แล้ว แล้วยังต้องแวะไปที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์เพื่อขอคำแนะนำและบอกทางที่จะไป เทรคกิ้งกัน ซึ่งเขาแนะนำว่าให้ไปทางชมทะเลสาบ  ลากูน ตอร์เร (Laguna  Torre) ระยะทาง 28 กิโลเมตร ใช้เวลา 7 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนทางที่จะไปชมยอดเขา Fitzroy   ใช้เวลา 9  ชั่วโมง โหดกว่า เขาไม่ให้ไปเพราะเจอพายุ ฝน เขาปิดทาง กลัวเกิดอันตราย ทางประชาสัมพันธ์แนะนำเช่นนี้  พวกเรา ถ่ายรูปแถวประชาสัมพันธ์แล้ว ก็ย้อนกลับทางเดิม ผ่านโฮสเทลที่ กลุ่มโก พักด้วย  เดินไกลมากพอควร  ลมก็แรงมาก หมวกที่ใส่หลุดปลิวไปตามลม  ต้องวิ่งไล่เก็บ ระหว่างทางก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเอาไว้  
               เดินมาถึงทางที่เขียนว่า เริ่มให้เดินเทรคกิ้งขึ้นเขาชม ลากูน เห็นทางแล้ว  ก็เห็นไม่ไหวแน่ เพราะทางแคบ ลื่นด้วย สองข้างทาง เป็นทุ่งหญ้ารก ลมก็แรง ฝนก็โปรยปรายตลอดเวลา ฉันเดินได้ ไม่ถึง 100 เมตร  เห็นท่าไม่ไหว เก็บแรงไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า  ไม้เท้าขึ้นเขาก็ไม่ได้ติดตัวมาด้วย  หญิงก็เห็นด้วย  ฉันเลยเดินกลับไปยังโฮสเทลที่พวกโกอยู่  รออยู่ที่นี่  หลบลมหนาวและฝนที่โปรยปรายมา หนักบ้างเบาบ้าง คนที่ไปเทรคกิ้ง เปียกแน่นอน 
              ระหว่างที่รอ ฉันก็ดูรูปในกล้องบ้าง อ่านโปรแกรมทัวร์บ้าง น่าจะชั่วโมงกว่า ๆ ติ๋มซึ่งแยกไปเดินเทรคกิ้งคนเดียวก็กลับมาแล้ว ดีใจจะได้มีคนรู้จักเป็นเพื่อนคุย  ติ๋มสั่งอาหารกิน  พวกเนื้อแกะ มั้ง ส่วนฉันทานซุปฟักทอง  ชามใหญ่ อิ่มแต้  อีกประมาณชั่วโมงกว่า พวกบี๋ จิน โก แล้วก็นนท์ ก็มาถึง ทุกคนเปียกกันหมด อีกประมาณน่าจะเกือบชั่วโมง พวกแป๋ว หญิง ก็ตามกันมา ตัวเปียกกันหมด ขนาดใส่เสื้อฝนก็เปียกปอนไปหมด ทุกคน สั่งอาหารที่นี่ทานกัน เอร็ดอร่อย  ยกเว้นน้องนนท์ ซึ่งไม่สบายเพิ่งหายไข้ ทานอะไรก็ไม่อร่อย เหลือซุปฟักทอง เยอะอยู่ อิอิ 

              ฉัน หญิง ปีเตอร์ หลิน ไม่ยอมเดินกลับที่พักแล้ว จึงให้ทาง โฮสเทล เรียกแท็กซี่มารับ  แป๋วฝากนนท์กลับไปอีกคน  คนเลยเกิน 4 คน แท็กซี่จะไม่ยอมให้ไป  ต้องขอเขา บอกว่า ไม่สบาย เดี๋ยวเพิ่มค่ารถให้เขาก็ได้  ในที่สุด เขาก็ใจดี ยอมผิดกฎ ให้พวกเราไป 5 คน แต่ก็ไม่ได้คิดเงินเพิ่ม เขาเอาเงินตามที่ได้ตกลงกันไป   ฉันรวบรวมรูปตามลำดับเหตุการณ์มาฝาก ค่ะ เชิญชมค่ะ 











               คืนนี้เราก็พักที่โฮสเทล เดิม  ได้พักผ่อนเต็มที่หน่อย เพราะฝนตกไปไหนไม่รอด  อิอิ 

              วันที่ 16 พ.ค. 58 

               วันนี้ต้องตื่นเช้า  ที่พัก เขาจัดอาหารเช้า เป็นขนมครัวซองให้คนละสองชิ้น  โดยใส่ในถุงเดียวกันมาแจก  พวกเราต้องลากกระเป๋าเดินไปที่ท่ารถบัส  ฝนก็ยังตกพรำ ๆ อยู่ ลากไกลมากพอสมควร  ถนนก็แฉะ พวกที่อยู่ที่โฮสเทล โน้น สบายหน่อย เพราะรถจอดใกล้ที่พักเขา  

               รถออก 7.00  น. รถแล่นไปเรื่อย ๆ ระหว่างทาง เขาจอดให้เข้าห้องน้ำและถ่ายรูปตามทางที่เห็นว่า  สวย ด้วย  ประมาณ 11โมงกว่า ก็ถึงเมือง    El Calafate  เมืองเดิมที่เราไปนั่งรถบัส  ลงจากรถบัสแล้ว  เราก็ต้องลากกระเป๋าไปยังที่พัก ซึ่งแป๋วจองไว้แล้ว  มีชื่อว่า Schilling Hostel  Patagonico  พักที่นี่ 3 คืน  โฮสเทลนี้  โชคดี ได้อยู่ชั้นล่าง ไม่ต้องลำบากในการหิ้วกระเป๋า  มีครัวให้ทำอาหารทานกันด้วย 

               หลังจากนำกระเป๋าเข้าที่พักแล้ว  พวกเรา ก็ออกไปหาอาหารทานมื้อเที่ยง  ได้ร้านอาหารที่มีขายไก่ย่าง แต่ตัวใหญ่ แพงด้วย กินกันไม่หมดแน่  จิน เลยชวนซื้อ ครึ่งตัว แบ่งกัน มีหญิง มาแจมด้วย  ไก่ย่างเขาอร่อยพอสมควร  กินกันอิ่มแปล้ ไปเลย  

                ท้องอิ่มแล้ว พวกเราก็เดินเที่ยวกันไป  ถ่ายรูปกันไป ตามวิวที่เราเห็นว่าสวย








              วันที่ 17  พ.ค. 58 

               วันนี้ หลังอาหารเช้าที่ โฺฮสเทลแล้ว  พวกเราซื้
อทัวร์ไปเที่ยว ค่ารถไปเที่ยว 305  เปโซ  เที่ยวที่ ธารน้ำแข็ง  เปริโต  โมเรโน (Perito  Moreno  Glecier)  กลาเซีย หรือธารน้ำแข็งนี้  มีขนาดกว้าง 5 กิโลเมตร  สูงเฉลี่ยอยู่ที่ 74 เมตร จากระดับผิวน้ำ  เป็นธารน้ำแข็งที่มีการเติบโตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหลายพันปีก่อน  พื้นที่อุทยานแห่งชาติถูกปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งทั้งหมด  แต่ด้วยอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น  จึงทำให้ก้อนน้ำแข็งละลาย และเหลืออยู่เท่าที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน  นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนที่นี่  ต่างก็ใจจดใจจ่อ เพื่อฟังเสียงแตกและก้อนน้ำแข็งยักษ์หล่นลงสู่ทะเลสาบ   Argentino  ซึ่งฉันมีโอกาสได้ยินและได้เห็นการถล่มของก้อนน้ำแข็งใหญ่ด้วย  เสียงดังมากทีเดียว  เหมือนอะไรที่ใหญ่ ๆ แตกและลื่นลงสู่ธารน้ำเสียงดังกึกก้องทีเดียว 
              การมาชมที่นี่ มาได้หลายวิธี ทางรถ ทางเรือสำราญ   ระยะทางจาก  คาลาฟาเต้  (Calafate) ถึง เปริโต โมเรโน่  ประมาณ 80 กิโลเมตร  ใช้เส้นทางเลียบทะเลสาบ อาร์เจนตินา  ทะเลสาบสีฟ้า  เห็นก้อนน้ำแข็งลอยอยู่ในทะเลสาบเป็นช่วง ๆ  ผ่าน ฟาร์ม  ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เป็นหนึ่งในหลาย ๆ กลาเซียที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ ลอสกลาเซียเรส  (Los Glaciar National Park)   องค์กรยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกแห่งโลก เมื่อปี  ค.ศ. 1981  โมเรโน่  มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง รองจาก กลาเซีย อุปซาลา (Upsala)   ซึ่งที่นี่ จะเดินทางไปชมได้ทางเรือเท่านั้น  
               จุดเด่นของธารน้ำแข็ง  โมเรโน่  คือ ความสวยสดงดงามอัน ตระการตาของก้อนน้ำแข็งขนาดอันมหึมาที่อยู่รวมกัน  คล้ายกำแพงสีขาว  ความอลังการขนาดใหญ่ เป็นอันดับที่ 3 ของโลก  มีความยาว 30 กิโลเมตร  ความลึก ประมาณ 100 เมตร  เมื่อเราเดินเข้าไปชมใกล้ ๆ โดยการนั่งเรือเข้าไปชม  หรือเดินตามสะพานที่เขาสร้างให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าไปชมได้ใกล้ ๆ จะเห็นว่า  กำแพงน้ำแข็งอันมหึมานั้น  จะแซมด้วยประกายสีฟ้า จากน้ำทะเลแทรกตัวอยู่ในก้อนน้ำแข็งงดงามมาก
                ระหว่างทางที่ไปชมธารน้ำแข็ง  สองข้างทางก็สวยมาก ค่ะ เรามาชื่นชมภาพที่ฉันและเพื่อน ๆ ถ่ายมาฝาก ค่ะ 

              รถพาพวกเรามาชมธารน้ำแข็งรอบแรกก่อน  ต่อจากนั้น  ก็พาเราไป ล่องเรือเพื่อชมธารน้ำแข็งใกล้ ๆ (เสียค่าล่องเรืออีกเท่าไร ฉันจำไม่ได้  แต่ใช้เวลาล่องเรือชมความงาม 1 ชั่วโมง) ก็ได้เห็นความสวยของธารน้ำแข็งอย่างใกล้ชิด ได้อารมณ์ ได้บรรยากาศอีกรูปแบบหนึ่ง  สายน้ำ  ขอบฟ้าอันกว้างไกล  ขณะที่เรือล่องลอยอยู่ทะเลสาบอันกว้างใหญ่  เวิ้งว้าง  ทุกคน พยายามเก็บภาพมุมต่าง ๆ ที่เห็นว่าสวยงาม  และไม่ลืมที่จะพาร่างของตนถ่ายคู่กับความงามของธรรมชาติด้วย  ท่าแล้วท่าเล่า มุมไหนสวยก็ต้องรอกันหน่อย  นอกจากพวกเราแล้ว ยังมีพวกฝรั่งอีกกลุ่มหนึ่งมาร่วมเรือลำเดียวกันด้วย ยิ่งทำให้รอกันนานมากขึ้น กลุ่มเราเป็น กลุ่มใหญ่กว่า  เสียงเลยเจี๊ยวเจ๊า ไม่ใช่น้อยเลย อิอิ  มาชมภาพชมธารน้ำแข็งในขณะที่ล่องเรืออยู่กลางทะเลสาบกันค่ะ  


               หลังจากถ่ายรูปและชื่นชมความงามของธารน้ำแข็งแล้ว  พวกเราก็ลงจากดาดฟ้าเรือ  มาทานข้าวมื้อกลางวัน ซึ่งเราเตรียมทำไว้เมื่อคืน  อุ่นตอนเช้า  คือ ไก่ผัด ลวนด้วยน้ำปลาและน้ำมันหอย  ซึ่งฉันเป็นคนทำให้  กินกัน 3 คน คือ ฉัน หลิน หญิง 
               เมื่อเรือมาส่งเราขึ้นฝั่งแล้ว  คนขับรถก็พาพวกเรามาชื่นชมธารน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งพวกเรามาแล้วตอนเช้า โดยครั้งนี้ ให้เวลาเยอะ ประมาณ 3 ชั่วโมง ช่วงเช้าแค่ชั่วโมงเดียว  ความงามของธารน้ำแข็งในช่วงบ่าย  ก็สวยงามไปอีกรูปแบบหนึ่ง ค่ะ ลองมาชมภาพช่วงบ่ายที่ฉันและเพื่อน ๆ ถ่ายมาฝาก ค่ะ 



            เมื่อถึงเวลานัด  พวกเราก็มาขึ้นรถคันที่เราซื้อทัวร์มา  กลับถึงที่พัก ก็แวะซื้อของสดที่ซุปเปอร์มาเก็ต  เพื่อเป็นอาหารมื้อเย็น  มีไข่พะโล้ที่ทำไว้เมื่อคืน  ทำไข่เจียวใส่หอมใหญ่  หุงข้าวกินกันแฉะน่าดู  

           วันที่ 18 พ.ค. 58  

            ตามโปรแกรม วันนี้จะซื้อทัวร์ไปเที่ยว อุทยานแห่งชาติ ตอเรสเดลปาน  ( Torres  del Paine National Park) ในเขตประเทศชิลี  แต่เนื่องจากช่วงนี้  เป็นช่วงโล ซีซั่นของเขา  เขาจึงไม่จัดทัวร์ไป  ฉันก็นอนพักที่โฮสเทล  บางคน ก็ไปเดินเที่ยวบริเวณรอบ ๆ เมือง  ช่วงเที่ยง ไปซื้อไก่ กับไข่  กับหลิน มาทำอาหารมื้อเที่ยงทานกัน  ส่วนหญิงไปเที่ยวกับโก  ฉันทานข้าวมื้อเที่ยงแล้ว  นอนฟังเพลงจากเครื่องโน้ต 8 ของหญิง  วันนี้ เสียเวลาเที่ยวไป 1 วันเต็ม ๆ ที่นี่้้่โชติดีมีฮิตเตอร์  ซักเสื้อผ้าแห้งได้เร็ว 

            วันที่ 19 พ.ค. 58 

             เช้านี้ ตื่นขึ้นมา รู้สึกอาการไม่ดี  อาเจียนและท้องเสีย  วิ่งเข้าห้องน้ำหลายรอบ ขอยาแก้ท้องเสียของหญิงมาทาน 1 เม็ด นอนพัก หญิงเอาข้าวต้มมาให้ทานในห้องนอน แต่ก็กินได้นิดเดียว  แล้วก็อาเจียนออกหมด  สงสัยเป็นเพราะน้ำส้มที่ฉันซื้อ  กินข้ามวัน นั่นเป็นเหตุ ทรมานเหมือนกัน กับอาการพะอืดพะอม  น้องนนท์ ให้เกลือแร่มาดื่ม 1 ซอง เรื่องการถ่ายท้องลดน้อยลง  แต่อาการอาเจียน ยังมีอยู่  วันนี้ต้องนั่งเครื่องบินถึงสองต่อ 

             ช่วงเที่ยงหลังอาหารมื้อเที่ยง เราก็ต้องจ้างรถไปที่สนามบินเพื่อเดินทางไป บัวโนส ไอเรส  ด้วยสายการบิน  AEROLINEAS  ARGENTINAS  เครื่องบิน เริ่มบินเวลา 15.10 น. ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง  ถึงบัวโนส  ไอเรส  แล้วต่อเครื่องจากที่นี่  เพื่อไป สนามบิน CATARATAS DEL IGUAZU  (IGR)  ประเทศอาร์เจนติน่า  เพื่อให้ใกล้กับการเดินทางไปเที่ยวน้ำตก อีกวาซู   ขนาดที่อยู่บนเครื่องบิน  อาการอาเจียนของฉัน ยังคงมีอยู่ท้ังสองเที่ยวบิน  ต้องอาเจียนใส่ถุงที่ทางเครื่องบินให้ไว้  อาเจียนจนหมดไส้หมดพุง  เฮ้อ ! แต่ก็รู้สึกอาการดีขึ้นที่อาเจียนออกหมด  มาถึงสนามบิน  21.10 น. แล้ว เดินหมดแรงเลย  เพื่อน ๆ ก็น่ารัก ถามอาการ  บางคน เช่น จิน โก ก็ช่วยหิ้วเป้ ให้ ลากกระเป๋าเข้าที่พักให้ บ้าง ต้องขอบใจพวกเขามาก ๆ 

                 ที่พักของเรา คืนนี้ คือ Gobernador  Paradelo  141 ,El Calafate, Argentina  คืนนี้ ห้องของฉัน นอน 2 คน มีฉัน หญิง คนอื่นนอนห้องรวม ราคาถูก  ห้องน้ำก็ต้องรอคิวอาบ  ห้องฉันเลยเป็นที่ให้ บี๋ บ้าง จิน บ้าง นนท์ บ้าง มาอาศัยเข้าห้องน้ำและอาบน้ำ 





               วันที่ 20 พ.ค. 58  

                เช้านี้ อาการพะอืดพะอม ลดน้อยลงไปมากแล้ว  แต่ยังกินอะไรไม่ค่อยลง  กินข้าวต้มอ่อน ๆ กับหมูหยองและหมูแผ่นที่เอามาจากบ้านเรา  อาหารของที่พักไม่กล้าทาน เพราะเป็นพวกขนมปัง  ผลไม้ 

                หลังอาหารเช้า  พวกเราก็พากันไปเดินเที่ยว ชมเมือง เดินไกลมากโขทีเดียว  ทิวทัศน์ ก็สวยงาม  เป้าหมายของการเดินไปชมก็คือ  Marco  das Tres  Fronteiras  ซึ่งเป็นจุดรอยต่อ ระหว่างประเทศ 3 ประเทศ  คือ บราซิล ปารากวัย และ อาร์เจนตินา  ระหว่างทางที่เดินไป ทิวทัศน์สวยงามตรงไหน พวกเราก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ค่ะ เดินเหนื่อยมาก ทีเดียวนะ แต่ก็ต้องเดินกันไป อิอิ  มาชมภาพสวย ๆ ที่ฉันนำมาฝากค่ะ  มีนักท่องเที่ยวมาชมเป็นกลุ่ม ๆ เหมือนกัน 





            ช่วงเที่ยง  ก็ไปทานอาหารที่ร้าน ซึ่งมีอาหารให้เราเลือกแล้วเอาไปชั่ง  คิดราคาตามน้ำหนักของอาหาร ฉันกินไม่ค่อยลง  ซื้อน่องไก่ และข้าวสวย  หลังทานข้าวมื้อเที่ยงแล้ว  เราไปหาบริษัททัวร์ เพื่อจะไปเที่ยวน้ำตก อีกวาซู ในวันพรุ่งนี้  ถ้ามีการนั่งเรือ ล่องไปที่น้ำตกด้วย  ราคาค่อนข้างแพง พันกว่าบาท  ก็มีไปหลายคน  คือ หญิง หลิน ตุ๊ก ปีเตอร์ และติ๋ม  ส่วนฉัน คิดว่า คงไม่ไหว เอาแค่ไปชมอยู่บนบกก็เห็นชัดเจน  สภาพร่างกายก็ยังไม่ดีนัก 

            วันที่ 21 พ.ค. 58 

             เช้านี้ ทานอาหารเช้าเรียบร้อยกันแล้ว  จะไปเที่ยวน้ำตกอีกวาซู  โดยไม่ได้ซื้อทัวร์  แบ่งเป็น 3 กลุ่ม   กลุ่ม หญิง ปีเจอร์ ติ๋ม  ไปรถบัสเที่ยวแรก   กลุ่ม แป๋ว  โก ตุ๊ก  ไปรถบัสเที่ยว 2  ส่วนฉัน บี๋ หลิน และ จิน  ไปแท็กซี่  ซึ่งราคาหารเฉลี่ยแล้ว เท่ากับค่าไปรถบัส  พวกกลุ่มเราออกจากที่พัก ช้าที่สุด เพราะถึงอย่างไร พวกไปรถบัสต้องไปช้ากว่าแท็กซี่แน่นอน  เราออกจากที่พัก ช้ากว่าพวกเขา ครึ่งชั่วโมง และก็เป็นไปตามที่เราคาดคะเนไว้  กลุ่มเราเป็นกลุ่มแรกที่ไปถึง  ตามด้วยกลุ่มแป๋ว แต่ไม่เจอ กลุ่ม หญิง ติ๋ม ปีเตอร์ 
             พวกเรามาถึงก่อน  ก็ไปซื้อตั๋วเข้าเที่ยวน้ำตก  ราคา 260 เปโซ มีเวลา พวกเราก็ถ่ายรูปตรงประตูทางเข้า เสียก่อน อิอิ 
             ก่อนที่จะพาท่านผู้อ่านไปชื่นชมกับน้ำตก อีกวาซู  เรามารู้ความเป็นมาของน้ำตก อีกวาซู ก่อนนะคะ 
             น้ำตก อีกวาซู  (Iguazu  Falls)  เป็น 1 ใน7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่  น้ำตกนี้ ถูกแบ่งออกตามระดับความสูงต่ำของแม่น้ำ อีกวาซู  ฝั่งขวาอยู่ในเขตของรัฐ ปารานา  (Parana) ประเทศบราซิล  ฝั่งซ้ายอยู่ที่จังหวัด  Misiones  ประเทศอาร์เจนตินา  จึงเรียกชื่อน้ำตกนี้ว่า  น้ำตกสองแผ่นดิน  
            น้ำตก อีกวาซู  แปลความได้ว่า   "สายน้ำอันยิ่งใหญ่"  เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนระหว่างประเทศ อาร์เจนตินาและประเทศบราซิล   เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ และใหญ่ที่สุดในโลก   ใหญ่กว่าน้ำตก ไนแองการา ประมาณ 30 เท่า  แต่ก็ใหญ่ใกล้เคียงกับน้ำตก วิกตอเรีย ในทวีปแอฟริกา    
            น้ำตกอีกวาซู  เกิดจากแม่น้ำ อีกวาซู  ไหลมาจากที่ราบสูง  
ปารานา   ตกจากขอบที่ราบสูงขนาดใหญ่ ลงสู่พื้นที่ที่ราบที่ต่ำกว่า  จึงกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่  เป็นแนวยาวกว่า 4 กิโลเมตร  สูงกว่า 269ฟุต  ประกอบด้วยน้ำตกใหญ่น้อย อีก 275 แห่ง  ในช่วงฤดูฝน  ระหว่างเดือน พ.ย. ุถึง มี.ค.  จะมีปริมาณน้ำ ถึง 13.6 ล้านลิตรต่อวินาที  ในฤดูร้อน  ระหว่างเดือน เม.ย. ถึง ต.ค. ปริมาณน้ำจะลดเหลือ 2.3 ล้านลิตรต่อวินาที  บริเวณน้ำตก จะมีละอองน้ำปลิวกระจายรอบ ๆ ตลอดเวลา ( พวกเราที่ไปชม จะใส่เสื้อกันฝน แต่ก็เอาไม่อยู่ เพราะลมแรงมา กล้องถ่ายรูปก็ต้องระวังมาก )  นอกจากละอองน้ำดังกล่าวแล้ว  เสียงน้ำตกที่ตกกระทบพื้น  ยังมีเสียงดังกึกก้องไปไกลถึงกว่า 24 กิโลเมตร  ยิ่งเดินเข้าใกล้ ยิ่งได้ยินเสียงดังมาก   ความแตกต่างของน้ำตก ฝั่งอาร์เจนตินา และฝั่งราซิล คือ ฝั่งอาร์เจนตินา  เราสามารถเข้าชมน้ำตกได้ใกล้กว่า  จึงมีการซื้อทริปล่องเรือไปชมน้ำตกกันเยอะ  ส่วนฝั่งบราซิลเราจะมองเห็นน้ำตกในมุมกว้างและทั่วถึงกว่าและงดงามกว่า  อันนี้เป็นมุมมองของคนให้ข้อมูล ที่ฉันไปอ่านมานะคะ  ส่วนความเห็นฉัน ฉันคิดว่า ทั้งสองฝั่งมีความงดงามพอกัน  งามไปคนละแบบ  ฝั่งบราซิล เราสามารถมองเห็นน้ำตกในมุมกว้างได้มากกว่าเท่านั้นนั้นเอง ค่ะ 

           การที่จะเข้าไปชมตัวน้ำตกนั้น  ก็ต้องผ่านการเดินทางไปอีกหลายกิโลเมตร  กล่าวคือ  หลังจากเราผ่านประตู แสดงบัตรผ่านประตูแล้ว ก็ต้องเดินไปอีกไกล เพื่อไปรอขึ้นรถราง  ซึ่งมีคนมารอต่อแถวกันยาวเหยียดเลย ทั้งพวกเรา พวกฝรั่ง และชาติอื่น  รอน่าจะประมาณครึ่งชั่วโมง  รถรางก็มา   พวกเราก็ต้องรีบขึ้นไปหาที่นั่งกัน  รถรางนี้น่าจะแล่นได้ประมาณ 2-3 กิโลเมตรมั้ง  ก็ต้องไปต่อรถรางอีกขบวนหนึ่งไปอีกสถานีหนึ่งซึ่งถึงบริเวณน้ำตก  สถานีที่สองนี้  คนก็รอต่อคิวกันยาวมาก ถ้ารถรางมา  จะบรรจุคนไปหมดไหมเนี่ย ถ้าไม่หมด เราก็ต้องรอขบวนต่อไป  แป๋วไปสอบถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นว่า ถ้าเราเดินไป ระยะทางประมาณเท่าไร  ดูเหมือนจะได้คำตอบว่า 2-3 กืโลเมตร  ในที่สุด พวกเราก็ตัดสินใจเดินเอา  ฉันก็ต้องเดินกับเขาไปด้วย  เหงื่อไหลไคลย้อยทีเดียว  แต่ก็ต้องอดทนเดินกันไป  พวกเด็ก ๆ ก็น่ารัก เดินล่วงหน้าไป แต่ก็ชลอรอฉันด้วย  ในที่สุด พวกเราก็มาถึง ยังสถานีใกล้น้ำตก  ตรงนี้ ได้ยินเสียงน้ำตกชัดเจนมาก  ระหว่างทาง  มีผีเสื้อบินว่อนมากมาย  จิน คงชอบผีเสื้อ  ได้พยายามถ่ายตัวผีเสื้อสวย ๆ ลายแปลก ๆ ไปด้วย  เดินชลอ รอฉันรั้งท้ายไปด้วย  

             จากที่นี่  เราเข้าห้องน้ำก่อนที่จะไปเดินต่อตามทางที่เขาสร้างเป็นทางเดินไว้  ซึ่งมีความยาวอีกประมาณกิโลเมตร เพื่อจะได้เห็นน้ำตก  ระหว่างทางที่ผ่านสะพานเดินไปนั้น สองข้างทาง ก็เป็นแอ่งน้ำ ไหลเชี่ยวเป็นช่วง ๆ  มีต้นไม้  มีสัตว์ หน้าตาประหลาด จมูกเหมือนหมู ออกมาขอของกินจากนักท่องเที่ยว  มันดุมาก ตะกรุย ของด้วย เล็บมันคมมาก ฉันก้มลงถ่ายรูปกับมันโดนมันตะกรุยกระเป๋ากล้องเป็นรอยข่วนเต็มไปหมด  โชคดี ไม่โดนมันกัดเอา อิอิ 

            ในที่สุด พวกเราก็เดินมาถึงจุดที่ต้องการจะชมเป็นจุดแรก  คือจุดน้ำตกที่เรียกว่า  The Devil's  Throat  หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า  คอหอยปีศาจ  ซึ่งจุดนี้ ถือเป็นจุดไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวจะมาชมเป็นจุดแรก  จะเป็นน้ำตกเป็นรูปตัวยู    สูง 82 เมตร  เป็นแอ่งลึกลงไป น้ำตรงนี้ไหลแรงมาก หมุนเป็นเกลียวเลย  พวกเราถ่ายรูปกันได้ ไม่กี่รูป เพราะกลัวกล้องโดนน้ำ  บี๋และแป๋ว มีกล้องกันน้ำได้  เราจึงได้รูปหมู่เชลฟี่มาหลายรูปอยู่  อิอิ  มาชมภาพสวย ๆ ที่ฉันรวบรวมมาให้ชมนะคะ 









             ฉันได้รูปถ่ายกับเพื่อนเท่านี้  ทุกคนเปียกโชกกันหมด ฉันไม่มีเสื้อฝน  ใช้ ผ้าพันคอ คลุมหัวกันเปียก ได้บ้างเล็กน้อย ใช้กล้องตัวเองได้ 3-4 โดยโกเป็นคนถ่ายให้  ฉันถ่ายรอบ ๆ บริเวณน้ำตกมากกว่า  มีนก มีผีเสื้อ  พวกเราเดินกลับมาเพื่อหาที่นั่ง  นั่งทานข้าวมื้อเที่ยงกัน   ทุกคนเตรียมอาหารมื้อเที่ยงกันมา  รวมทั้งฉันด้วย  อิ่มแล้ว  พวกโก แป๋ว นนท์ บี๋ และจิน  รู้สึกยังไม่จุใจในการชมความงามของน้ำตกช่วงคอปิศาจ  จึงอยากไปเก็บรูปความงามเพิ่ม  ส่วนฉันไม่เอาแล้ว เพราะไม่อยากเปียกอีกเป็นรอบสอง  เลยอาสาเฝ้าของให้พวกเขาไปถ่ายรูปกันเอง  ฉันนั่งอยู่ที่นี่  มีฝรั่งจรมา นั่งพักและถ่ายรูป นก ที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้  ถ่ายรูปผีเสื้อ บ้าง ซึ่งมีเยอะมาก  ช่วงนี้ มีคนใจดี เห็นฉันนั่งถ่ายรูปผีเสื้อ  เขาก็ช่วยถ่ายรูปให้ฉันด้วย 1 ใบ  ประมาณ ไม่น่าถึง 1 ชั่วโมง พวกเขาก็กลับมา พวกเราก็เตรียมไปเที่ยวน้ำตกในส่วนอื่น ๆ ต่อ  เราก็ต้องมารอรถไฟที่สถานีที่เราเดินมาตอนเช้านั่นแหละ  คนก็รอรถกันยาวเหยียด มีพวกญี่ปุ่นมาแซงคิวอีก เป็นพวกมากับทัวร์ พวกเรากลัวว่า เราจะต้อง รอถึงขบวนต่อไป พยายามเดินเร็วที่สุดเมื่อขบวนรถรางมาถึง  แยกกันขึ้น เพื่อจะได้มีที่นั่ง  ในที่สุดพวกเราก็ได้มาพร้อมกันหมด มาลงสถานีที่สอง เพื่อเดินเที่ยวชมน้ำตก  ตามทางที่เราผ่าน  และเพื่อไปลงเรือ  นั่งไปเที่ยวน้ำตกที่      เกาซานมาร์ติน  ( San  Martin  Island)  และดูน้ำตกส่วนที่เรียกว่า  Upper Trail  และส่วนที่ เรียกว่า  Lower  Trail )   ใช้เวลาทั้งหมด ประมาณ 5-6  ชั่วโมง  เดินจนขาลากทั้งวัน เฮ้อ ! แต่ก็คุ้มค่ากับความสวยงามของน้ำตกในมุมต่าง ๆ ค่ะ  เรามาชมรูปที่ฉันรวบรวมมาฝาก นะคะ 






              วันที่ 22 พ.ค. 58 

               วันนี้ พวกเราต้องอำลาจากโฮสเทลนี้ แล้ว  โดยซื้อทัวร์ไปเที่ยว  ก่อนอำลา  เจ้าของโฮสเทล เป็นสาวรุ่น ๆ ก็มาขอให้พวกเราถ่ายรูปหมู่กับเขา  คิดว่า เขาอาจจะเอาไปโปรโมชั่น โฮสเทลของเขาน่ะนะ พวกเราก็ยินดี  ก็ประเภทชอบถ่ายรูปอยู่แล้วนี่นา  อิอิ มาชม ค่ะ 


           หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว รถที่จ้างก็มารับเพื่อเดินทางต่อไปที่ประเทศปารากว้ยและประเทศบราซิล  
            ทริปเที่ยวประเทศ อาร์เจนตินา  ก็จบลงที่โฮสเทลนี้  ฉันหวังว่า บล็อกสุดท้าย  คือ ประเทศ ปรากวัยและบราซิล  ท่านสามารถติดตามอ่านได้ในไม่ช้านี้ ค่ะ  
สวัสดี ค่ะ  โปรดติดตามในบล็อกสุดท้าย อันเป็นการจบของทริป เที่ยวอเมริกาใต้ ค่ะ  



Create Date : 06 กรกฎาคม 2558
Last Update : 17 กรกฎาคม 2558 10:10:46 น. 2 comments
Counter : 2125 Pageviews.

 
มาแล้วครับมาดูอาร์เจนตินา ประเทศที่อยู่ใต้แสนใต้ของโลกใบนี้
ภาพถ่ายผ่านกระจกเครื่องบินเลยดูมัวๆ คราวหน้าลองเปิดกระจกถ่ายดูครับ 555
ผมคิดว่าประเทศนี้จะดูเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนกว่าน้ แต่เห็นรูปแล้วบ้านเมืองเขาก็สวยดีนะครับ อย่างกับเที่ยวยุโรปเลย
โชคดีมีแหม่มใจดีพาขึ้นรถเมล์ สมกับที่ทำงานสังคมสงเคราะห์จริงๆครับ สงเคราะห์มาถึงนักท่องเที่ยวด้วย
ผมชอบเที่ยวสุสานบุคคลสำคัญเหมือนกันครับ รู้สึกว่าผู้ที่เคยสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไว้ ได้มานอนอยู่ตรงนี้แล้ว
ย่าน La Boca บ้านสารพัดสี เพราะคนจน ก็สวยไปอีกแบบนะครับ คนไทยไม่ค่อยได้ติดตามบอลลีกของอเมริกาใต้ แต่ดังๆก็ต้องริเวอร์เพลทกับโบคาจูเนียร์นี่ละ
ดูรูปห้องพัก ...อารยธรรมสายฉีดตูดมาไม่ถึงที่นี่สินะ T^T มันเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกโรงแรมของผมมากเลยนะนั่น
เพิ่งรู้ว่าอาร์เจนติน่าก็มีธารน้ำแข็งด้วย ความหนาวเย็นของขั้วโลกใต้มาถึงที่นี่ด้วยนี่เอง ปกติประเทศหนาวๆนึกถึงแต่ทางเหนือ
ธารน้ำแข็งเป็นภาพที่สวยงามแปลกตาอลังการมากเลยครับ อะไรที่ประเทศไทยไม่มีแบบนี้แหละ น่าไปชม
วันที่ 19 น่าเสียดายที่ป่วยนะครับ เที่ยวแล้วป่วยนี่จบกัน ยังดีที่อาจารย์ฟื้นตัวเร็วนะ
น้ำตกอีกวาซู อลังการม้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!! อย่างกับน้ำทั้งโลกกำลังตกลงไป ทำเอาน้ำตกบ้านเราเป็นเด็กน้อยเลย
ทางไปน้ำตกนั่นตัวอะไรหว่า? คล้ายๆแรคคูน น่ารักแต่ชอบจู่โจมนักท่องเที่ยวนี่คงคล้ายๆลิงแถวลพบุรี

ทั้งธารน้ำแข็งทั้งน้ำตกยักษ์ทำเอาผมอยากเปลี่ยนแผนเที่ยวปลายปีนี้จากตุรกีไปอเมริกาใต้แทนเลยครับ ตุรกีช่วงนี้ยิ่งไม่รักคนไทยด้วย

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
สายหมอกและก้อนเมฆ Photo Blog ดู Blog
mambymam Music Blog ดู Blog
อาจารย์สุวิมล Travel Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: ชีริว วันที่: 17 กรกฎาคม 2558 เวลา:21:57:51 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำอธิบายเพิ่มเติมเรื่องพระเวสสันดรครับ สมเป็นครูภาษาไทยจริงๆ ^^
จะว่าไปแล้วนึกถึงแนวการเรียนของเด็กยุค child center เด็กสมัยนี้จะออกแนวขี้สงสัยชอบซักถามมากขึ้น (ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า?) อาจารย์ก็ได้ทำความเข้าใจในสิ่งที่สอนถ่องแท้ขึ้นไปด้วยนะครับ มีประเด็นมาถกมาแลกเปลี่ยนกันการเรียนคงมีสีสันขึ้นอีกเยอะ ถ้าเจอครูภาษาไทยสอนให้ท่องกลอนอย่างเดียวเด็กๆก็คงเบื่อ

จะรอบล็อกต่อไปครับ กี่วันนานแค่ไหนก็รอได้ ชาวบล็อกอย่างเราๆอยู่กันยาวสิบปีขึ้นกันทั้งนั้น ^^ ขอให้หายป่วยไวๆ นะครับ


โดย: ชีริว วันที่: 21 กรกฎาคม 2558 เวลา:23:31:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space