MY VIP Friend

กุมภาพันธ์ 2558

2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
 
แด่ความคิดถึง ที่บอกใครไม่ได้ .... (ตอน ต่อ)
ถึงได้บอก คนเราอย่ามองแต่ภายนอก

เห็นเค้ายิ้ม ร่าเริง แต่งตัวสวย เพื่อนเยอะแยะ เที่ยวกระหน่ำ ใช่ว่าเค้ามีความสุขเสมอไป

ถ้าจะบอกว่า เราเกิดมา มีแต่คนหมั่นไส้ อิจฉา เหน็บแนม คงไม่ผิด แต่เราไม่สนใจคำพูดปากหอยปากปู ที่ได้แต่แอบนินทาอยู่ลับหลัง เราแคร์ แต่คนที่แคร์เราอย่างแท้จริง

สังคมที่มีแต่รอให้คนล้มแล้วเหยียบย่ำ แล้ว เราจะมานั่งฟูมฟายให้ใครดู

ใครจะมาสงสาร เห็นใจ ถ้าเค้ารู้จักเห็นหน้าค่าตาว่าเราเป็นใคร รู้จักเราผิวเผิน จะมารู้ได้ยังไง ว่าจริงๆเรา ผ่านอะไร เราทำอะไร กว่าจะเป็นอย่างที่เราเป็น

เพื่อนๆ ครอบครัวที่รักเรา เค้าก้อคงเบื่อที่จะมานั่งฟังเราฟูมฟาย พูดแต่กับเรื่องเดิมๆ คนๆเดิม ตลอด หก เจ็ดเดือน เป็นเรา เราคงกรีดร้องใส่แล้วบอก "พอได้แล้วโว้ย หยุดคิด เริ่มต้นใหม่ซักทีโว้ยยย!!!!"

เออ ว่ะ จริง

เริ่มต้นใหม่

มันง่ายมะ

ง่าย

ชีวิต เกิดมาไม่เคยโสดเกินสองเดือน ตั้งแต่มีแฟนคนแรกหลังเรียนจบ มีคนรอต่อคิวตลอด ไม่อยากจะโม้ แต่จริงนะ

แต่คบทีละคนนะ ไม่เคยนอกใจ เพื่อนคือเพื่อน แฟนคือแฟน

แต่นี่ มันอะไรวะ เจ็ดเดือน ยังโสดอยู่ได้

หรือเพราะตรูเริ่มแก่แล้ว

ผู้ชายวัยเดียวกัน มันแต่งงานไปหมดแล้ว

เพื่อนสาวๆ ยิ่งหนัก มันมีลูกไปหมดแล้ว ที่เหลือ ถ้าไม่เข้าทางธรรม มันก้อเลือกเยอะเหมือนเรา

ผู้ชายฉลาดๆ หน้าการงานดูมีอนาคต ขอให้พอๆกัน ไม่เจ้าชู้ สูง ๆ (เพราะเราสูง 172) ไม่ยิ้ม นิสัยดี ซื่อสัตย์ สุจริต หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ ไม่หยุมหยิม ไปไหนหมดอ่ะ

(เออ ตรูเลือกมากจริงๆด้วย)

ที่พยายามมาคุยด้วยก้อมี ลองเดท ดู ความรู้สึก ก้อบอกว่าไม่ใช่

ผู้ชายบางคน มองผู้หญิงเป็นของเล่น บอกเลย อ้าปาก ก้อรู้แล้วว่าหวังฟัน หวังผลประโยชน์

พูดจาหวานหู แต่การกระทำ ไม่ค่อยให้เกียรติ ไม่ใช่ว่าดูไม่ออก ฟอร์มหมาแก่ แต่ใช่ว่ารู้แล้วต้องพูด แต่ก้อยังคุยแก้เซ็ง เพราะอยากหลุดพ้นจากวังวนเซื่องซึม รันทด

คุยด้วยก้อเพราะรู้ในใจว่า อย่างแก ชั้นไม่คาดหวังอะไรด้วยหรอก ไม่มีอนาคต ทำได้อย่างมากก้อแค่คุยไปคุยมา หมาเลียปาก เพราะแกมันไม่จริงใจ

อ้างนู่น อ้างนี่ ซ่อนกิ๊กไว้กี่คนก้อไม่รู้

คุยด้วยขำๆ วันละแปร๊บๆ แล้ว พออยู่คนเดียวก้อต้องมานั่งนึกในใจว่า ทำไมต้องยอมให้ใครก้อไม่รู้มาหยามเราแบบนี้ มันอยากคุยเมื่อไหร่ก้อคุย บทจะหายก้อหาย โกหกไม่เนียน บล็อคเบอร์ บล็อคไลน์เราเป็นช่วงๆ แบบเจตนาน่าสงสัย ทำไมเราลดเกียรติตัวเราเอง กับคนเ-ี้ยๆ แบบนี้

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจ๊คงจัด ไปดูถึงบ้านว่ามันมีเมียซ่อนไว้ที่บ้านป่าว แต่ ตอนนี้ อือ ชั้นไม่อยากจะเอาไรกับแกหรอก ชั้นกับแกเราห่างๆกันแบบนี้แหละ

แล้วก้อกลับมานึกถึง ผู้ชายคนเดียว ที่ทำให้เรารู้สึกดี ว่า คนที่รักเรามีอยู่จริง

ขณะที่เราหมดศรัทธากับผู้ชายทั้งโลก อย่างน้อยคนไม่เจ้าชู้ที่รักเรา มีอยู่คนนึงในโลก แต่ เราเอื้อมไม่ได้แล้ว



Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2558 19:05:28 น.
Counter : 618 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

COS Stylist
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



การไตร่ตรองและคิด วิเคราะห์ เป็นหนทางสู่การพัฒนาสมอง การพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคม

คนเรามักสนใจแต่การปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอก บุคคลิกภาพ พื้นฐานทางสังคม และความสุขส่วนตัว หากมีซักกี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนา "ใจ"

บล็อคนี้ เขียนจากคนธรรมดา ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หากแต่ชอบคิด ชอบเขียน และ อยากพัฒนา"ใจ"ของตนเอง ให้พบกับความสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีวัตถุเป็นตัวกำหนด พร้อมทั้งยังอยากให้เพื่อนๆร่วมโลกได้ประโยชน์จากประสพการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ ให้เป็นสาระแก่การดำเนินชีวิต และได้ข้อคิดแล้วต่อจะไปปรับใช้ในชีวิตของแต่ละคน

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอไม่ประสงค์ออกนามของทั้งตนเอง และผู้ใดก้อตามที่ได้กล่าวอ้างถึง ไม่ให้พาดพิงต่อสิทธิส่วนบุคคลของทั้งตนเองและผู้อื่น

ทั้งนี้ข้อคิด และ เรื่องราวต่างๆนานาๆ ผู้เขียนไม่อาจรับรองได้ว่าเป็นวิธีคิด การกระทำ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่นำเสนอ เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเป็นหลัก

ทั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆเพียงแค่ได้นำสิ่งที่เขียนไปคิดพิเคราะห์ คนเขียนก็ปลื้มใจมากมายแล้ว

ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธ ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราดเปรื่องให้ข้อเตือนใจก่อนจะรับฟังเรื่องใดๆดังนี้

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

New Comments