เรื่องของมุมมอง

เรื่องของมุมมอง

**************************************************************

เรื่องของการสื่อสารระหว่างคนสองคนมันสามารถทำได้หลายวิธีถึงแม้เราไม่พูดก็จะยังมีภาษากายหากอยู่คนละที่อาจจะใช้โทรจิตหรือใช้พลังจิตในการสื่อสาร

ว่าด้วยเรื่องของพลังจิตเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่เริ่มมีบทบาทในสังคมทุกวันนี้เริ่มมีการศึกษา ค้นคว้าอย่างจริงๆจังกันมากในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยนั้นพึ่งเริ่มนับหนึ่ง ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยก็เกลื่อนเมืองแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่ก้าวหน้าทางความคิดเท่าที่ควร ยังคง งมงายเชื่อทุกอย่างที่คนอื่นว่ามา เรื่องจะจริงหรือไม่นั้น ไม่รู้ ดูแล้วเหมือนกระต่ายตื่นตูมพอมีอะไรนิดๆ หน่อยๆ มาสัมผัสกับ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เป็นต้องตอบสองทันทีตามสัญชาติญาณธรรมดาของสัตว์โลก ทุกวันนี้การศึกษาสอนคนให้เป็นมนุษย์(หรือเปล่านะ) หากเป็นมนุษย์จริงๆนั้น จะมีจิตใจสูงกว่าคนธรรมดา (พระเองใช่ว่าจะสูงเสมอไป)มนุษย์จริงๆนั้นถ้ามีสิ่งใด ๆ หรือเหตุการณ์มากระทบจะนำมาประมวลผลทางความคิดอันชาญฉลาดด้วยความเร็วสูง(ตัดสินใจช้าไม่ได้ เพราะมนุษย์ต้องเป็นผู้นำ..ผู้นำสัตว์)จากนั้นค่อยเลือกวิธีที่ดีที่สุดในการตอบสนองต่อเหตุการณ์นั้นๆไปคิดด้วยเหตุผล หาใช่อารมณ์

ตัวอย่างเช่น การมองสิ่งเดียวกัน โดยใช้สายตาต่างคู่

นานมาแล้วมีสารถีคนหนึ่งเดินทางจะไปทำธุระที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ระหว่างการเดินทางจึงแวะพักที่ศาลาริมทางจากนั้นก็เผลอหลับไป ด้วยอาการเหนื่อยล้า

ในระหว่างที่สารถีคนนี้หลับอยู่นั้นได้มีโจรคนหนึ่งวิ่งผ่านมาที่สารถีคนนี้นอนอยู่จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่ศาลามองเห็นสารถีคนนอนหลับอยู่ จึงคิดในใจว่า "ชายผู้นี้คงไปขโมยของคนอื่นมาจากนั้นก็อำพรางตนเองด้วยวิธีการนอนหลับ" พอคิดในใจเสร็จโจรคนนี้จึงเดินทางต่อไป......

ซักพักหนึ่งมีขี้เมาเดินทางผ่านมาทางที่สารถีคนนี้นอนหลับอยู่จากนั้นก็หยุดอยู่นั้นก็ พูดออกมา (ทำเสียงเหมือนคนขี้เมานะ)"ใครวะมาอยู่ในที่กูเคยนอน.. มันเมามาแน่ๆ ..เอ๊กๆ .....อ๊วก...!!! อ้าวกำ"จากนั้นขี้เมาก็พเนจรต่อไป

เวลาผ่านไปซักระยะหนึ่งมีพระองค์หนึ่งธุดงค์ ผ่านมาทางที่สารถีคนนี้นอนหลับอยู่ จากนั้นก็หยุดอยู่ตรงที่ศาลา จากนั้นก็ปรารภในใจ"ชายคนนี้คงกำลังทำสมาธินั่งทางใน ในท่านอนอยู่ "จากนั้นก็ยกมือขึ้น พร้อมคำว่า "สาธุ" จากนั้นก็ธุดงค์ ผ่านไป

****โครงเรื่องนิทานโดย ดร.องอาจ ชุมสาย ณ อยุธยา****

สายตา3 คู่ กับ การมองเห็นสิ่งเดียวกันถ้าหากมองในมุมมองเดียวกัน ก็จะชัดเจนในคำตอบ เช่นกันกับเรื่องนี้ จะสรุปได้ว่าการที่เรามองคนอื่นเป็นอย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง อย่างนู้นบ้างมันก็คือการที่เรามองตัวเอง คนที่ดีจะมองคนอื่นดีไปด้วย คนที่โกงจะคิดว่าคนอื่นๆจะเป็นเหมือนตนเอง คนที่ไม่ไว้ใจคนอื่นก็จะไม่ไว้ใจตนเองด้วยเช่นกันกับคนที่ดุด่าว่าคนอื่น เหมือนเค้ากำลังทำร้ายตัวเองไปด้วย พูดง่ายคือเหมือนมีเสียงสะท้อน3ครั้งย้อนกลับคืนมาหาคนที่พูด หรือ คนที่พูดถึงเรื่องใดๆบ่อยเป็นพิเศษ เช่นเรื่อง เงิน ชื่อเสียง ของนอกกาย หรือแม้แต่ในสิ่งที่เราไม่ต้องการ เช่น ผี เรื่องเลวร้ายต่างๆที่ไม่อยากให้เกิด และความจน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคิดนั้นคือสิ่งที่เราเป็นเราไปยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆเข้า และเราจะชอบหรือไม่นั้น สิ่งนั้นก็จะเป็นของเราสำคัญอยู่ที่ว่าถ้าได้สิ่งนั้นมาแล้วต้องยอมรับผลพวงที่อาจจะเกิดขึ้นให้ได้ด้วย

ว่าด้วยเรื่องทัศนคติ(Vision) หากเราคิดว่าทำได้ นั้นแปลว่าเราทำได้หากเรามั่นใจว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริง สิ่งนั้นก็จะปรากฏขึ้น (ความฝัน จินตนาการ)ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะมันเป็นกระบวนการทางจิตใต้สำนึกวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ มันไม่ใช่เรื่องมงาย ดั้งที่พระพุทธเจ้าพูดไว้"ใดๆ ในโลกนี้ล้วน อนิจจัง" นั่นก็แปลว่า ทุกอย่างมันไม่แน่นอนทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้เสมอ

สิ่งเหลือเชื่อต่างๆที่เราเห็นนั้นมันไม่ใช่เรื่องของโชคหรือความบังเอิญหากแต่มันเกิดขึ้นจากคนผู้มี ศรัทธาเข้มแข็ง มีจิตใจที่หนักแน่น มั่นคง มีสมาธิสูงคนเหล่านี้จะมีพลังจิตสูงมาก สามารถทำอะไรก็ได้ เช่น ลอยได้ สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุส่งความคิดไปหาคนที่อยู่คนละขั้วโลกได้ และควบคุมสิ่งต่างๆได้คนที่ไม่รู้ก็จะตะลึกไปตามๆกัน(“Wow ทำได้ไงว่ะ)

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปเหมือนร่างแหที่เคลื่อนไหวไปพร้อมๆกัน เราไม่ทำคนอื่นก็ทำ แล้วมันถึงจะเกิดผลลัพธ์ ดังนั้นหากเราจะรู้ลึกถึงสิ่งต่างๆอย่าแท้จริงจะต้องใช้ตามองแล้วให้ปล่อยให้ใจพินิจ พิเคราะห์ เช่นเรากินข้าวในจานของอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็ดุด่าว่าลูกศิษย์ว่าไม่เคารพอาจารย์ จะเห็นว่ามันมีเหตุผลของมันแต่ถ้าลูกศิษย์ได้พูดบ้าง เขาก็จะพูดว่า ข้าวตรงที่กินนั้นมันมีสีดำ มันไม่สะอาดจะเอาทิ้งก็สงสารชาวนา เลยต้องกินเอง ถ้าอาจารย์มีจิตใจให้อภัยแววตาเขาจะอ่อนโยน...พลาดไปแล้วนอ... ดั้งนั้นพึงพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยใจ

ดั้งนั้นสิ่งที่เราควรทำ

จง คิด พูด ทำ ในแต่สิ่งที่ดีๆ รวมไปถึงการรับข้อมูลจากสื่อต่างๆ จงให้ ตา หูจมูก ปาก และกายสัมผัสคลุกอยู่แต่กับสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่สวยงาม สิ่งที่มีความสุข ไม่ใช่อยู่แต่กับความทุกข์ความไม่สบายใจที่ทั้งหลายมีต้นเหตุจากการที่เราเอาหัวใจเราไปผูกไว้กับตีนคนอื่นเมื่อเขาทำอะไรไม่ดีมันเหมือนเขาเหยียบหัวใจเราด้วยคนส่วนมากถึงหาความสุขไม่ค่อยได้

หากเราสามารถทำให้หัวใจเราว่างได้ คือมีจิตใจเมตตาจิตที่เต็มไปด้วยการให้อภัย จะเป็นจิตที่สะอาด สงบผู้คนอยู่ใกล้จะรู้สึกได้ถึงความเยือกเย็น ซึ่งแสดงถึงความเป็นมนุษย์ คนที่ให้อภัยคนอื่นเป็นนั้นคือคนเดียวกันกับคนที่รักคนอื่นเป็น

ณ.เมื่อนั้นเราก็จะต่างจากสัตว์และเป็นมนุษย์ผู้รักตัวเองอย่างแท้จริงคนรักตัวเองไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว คนที่เห็นแก่ตัวไม่เรียกว่ารักตัวเองคนรักตัวเองคือคนที่นำความดีมาสู่ตัวเองและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปยังคนอื่นๆเหมือนๆกับว่าสิ่งไหนที่เราต้องการเราต้องการให้คนอื่นด้วย (แต่ต้องระวัง โลภ โกรธ หลง)เรามักคิดว่าเป็นมันเป็นความสุข เมื่อใจเราไปยืดติดกับสิ่งนั้นแท้จริงแล้วมันคือต้นเหตุของความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นขณะที่เราไขว่คว้าในสิ่งที่เราต้องการ




Create Date : 21 กรกฎาคม 2557
Last Update : 21 กรกฎาคม 2557 19:38:04 น.
Counter : 766 Pageviews.

1 comments
  
โดย: น้องเมย์น่ารัก วันที่: 21 กรกฎาคม 2557 เวลา:20:24:48 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Sound MD
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ว่ายน้ำเป็น ค่อยๆ ว่ายๆ มันก็ไปไกล
[status single]
[สูงสุดสู่สามัญ@ Japan]
กรกฏาคม 2557

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
21 กรกฏาคม 2557