1. รับประทานถั่วชนิดต่างๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วแดง ฯลฯ มีวิตามินบี ที่ช่วยบำรุงเส้นประสาทให้แข็งแรง และมีกากใยอาหารที่จะช่วยให้ลำไส้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ในถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ ยังเต็มไปด้วยเกลือแร่ หลากหลายชนิด เช่น สังกะสี ซีลีเนียม เหล็ก ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังให้แก่ระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ร่างกายขจัดสารพิษได้เร็วขึ้น และป้องกันความเสียหายของเซลล์ได้ทันการก่อนที่จะถูกทำลาย
2. อากาศในห้องนอนมีความสมดุล อุณหภูมิในห้องนอนไม่ควรแห้งเกินไป เพื่อปกป้องจมูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของระบบทางเดินหายใจ ข้อแนะนำคือ หากใช้เครื่องปรับอากาศ ควรตั้งภาชนะใส่น้ำไว้ในห้องเพื่อไม่ให้อากาศในห้องแห้งเกินไป
3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า คนที่นอนหลับไม่เพียงพอใน 3 วัน ร่างกายจะอ่อนแอ และเปิดโอกาสให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้ง่าย ทั้งนี้ ผู้ที่นอนหลับได้ 7-8 ชม. มักมีอายุยืนยาว หากนอนหลับไม่เพียงพอ คืนละไม่กี่ชั่วโมงจะส่งผลให้สมองและร่างกายไม่ได้พักผ่อนเต็มที่
การนอนหลับอย่างเพียงพอ เป็นวิธีฟื้นฟูร่างกายที่ดีที่สุดและช่วยให้ตื่นขึ้นมาอย่างมีพลัง การศึกษาพบว่าการอดนอนส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน การได้นอนหลับในเวลากลางคืน จึงเป็นประโยชน์ต่อการกระตุ้นและการคงไว้ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
4. แช่เท้าในน้ำอุ่น การได้แช่เท้าในน้ำอุ่นเป็นประจำสม่ำเสมอ เปรียบเสมือนการเข้าซาวน่าเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ เพราะเป็นการปลุกภูมิคุ้มกันให้ตื่นตัว
ข้อแนะนำคือ ควรแช่เท้าในน้ำอุ่นตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงปลายเท้าในอุณหภูมิ 35-40 องศาเซลเซียส ประมาณ 10 นาทีก็เพียงพอ จากนั้นเช็ดเท้าให้แห้งโดยเร็ว ห่อผ้าสะอาดที่นุ่มสบาย และปล่อยให้อุณหภูมิค่อยๆเย็นลง เสร็จแล้วก็ทาโลชั่นบำรุงผิว
5. มองโลกในแง่ดี นักวิจัยชาวอเมริกันค้นพบว่า มนุษย์ที่มีความสุขมักไม่ค่อยเจ็บป่วย เพราะการคิดในแง่บวก สามารถกระตุ้นสมองส่วนซ้ายให้ขยันขันแข็ง เพราะสมองส่วนนี้เป็นตัวควบคุม การสร้างแอนตี้บอดี้ด้วย ดังนั้นการมองโลกในแง่ดีจึงถือเป็นหัวใจที่ขาดไม่ได้
6. นั่งสมาธิ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน รายงานว่าการทำสมาธิประมาณ 30 นาที จะช่วยให้การทำงานของสมอง และระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง การทำสมาธิที่ถูกต้องจะช่วยให้เกิดสมดุลของระบบต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
7. เดินเล่นบริหารเส้นเลือด ไม่ว่าฝนจะตกแดดออก หนาวหรือร้อน มีผลกับระบบภุมิคุ้มกันของเรา แต่การได้เดินเล่นทุกวันในที่มีอากาศบริสุทธิ์ เป็นการบริหารเส้นเลือดให้ยืดหยุ่น ส่งผลให้ร่างกายสามารถปรับตัวได้กับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ผลที่ได้ตามมาก็คือ แอนตี้บอดี้และเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Killer Cell จะเพิ่มจำนวนในการป้องกันศัตรูมากขึ้น
8. โยเกิร์ตชนิดโปรไบโอติกส์ ช่วยปกป้องลำไส้ ผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตชนิดโปรไบโอติกส์มีเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้ ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียของกรดนมที่เรียกว่า แล็กโตบาซิลลัส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีถึงผลดีต่อสุขภาพ และจากการศึกษาของนักวิชาการชาวสวีเดนได้ยืนยันว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สม่ำเสมอจะช่วยลดโรคภัยไข้เจ็บได้
9. กระตุ้นต่อมธัยมัส (Thymus) ต่อมไร้ท่อที่อยู่หลังกระดูกเต้านมขึ้นไปถึงบริเวณต่อมธัยรอยด์ ต่อมนี้มีบทบาทต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชื่อว่า สามารถกระตุ้นให้ต่อมนี้ขยันทำงานได้โดยให้คุณกำมือขวาหรือมือซ้ายก็ได้ วางห่างประมาณ 5 ซม. จากตำแหน่งธัยมัส คือใต้คอบริเวณกลางหน้าอก ให้คุณเคาะตำแหน่งธัยมัสแรงปานกลาง ประมาณ 5-10 ครั้ง
ข้อห้าม การกระตุ้นต่อมธัยมัสห้ามทำในผู้ที่มีใจสั่นบ่อยๆ หรือ หัวใจเต้นผิดจังหวะเพราะอาจเกิดอันตรายได้
10. หัวเราะและสุขใจกับความรัก ชีวิตที่มีความสุขย่อมดีต่อสุขภาพเสมอ เช่น การได้ร่วมรับประทานอาหารกับเพื่อนๆ การมีความรัก มีเซ็กซ์ที่สุขสม และมีงานอดิเรกที่ชอบทำเพื่อความเพลิดเพลิน สิ่งเหล่านี้ช่วยจรรโลงจิตใจให้มีความสุขสดชื่นอยู่เสมอ จะมีผลต่อระบบประสาทและระบบฮอร์โมน ซึ่งส่งผลดีต่อภูมิต้านทานโรคของร่างกายให้ดีตามไปด้วย แต่หากมีความทุกข์ระทมก็จะเป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย และในทางตรงกันข้าม ภูมิคุ้มกันของเราจะทำหน้าที่ได้ดีเมื่อเรารู้สึกเป็นสุขหรือกำลังมีความรัก นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยเพิ่มอิมมูนโนโกลบูลิน(โปรตีนที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทาน)ในเลือด ดังนั้น คุณจึงควรอ่านหนังสือชวนหัวเราะ หรือดูภาพยนตร์ตลกขำขันและแสดงความรักกับคู่รักของคุณบ่อยๆ
11. ออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง การได้เคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยให้เซลล์ต้านมะเร็งขยันทำงาน โดยเฉพาะการได้ออกกำลังกายแบบต่อเนื่องอย่างน้อยที่สุด 30 นาที (เช่น เดินเร็ว จ็อกกิ้ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ) สัปดาห์ละ 3 วัน
ข้อควรระวัง คือ อย่าหักโหมเกินไปเพราะจะก่อความเครียดให้กับร่างกาย และให้ผลเสียต่อสุขภาพมากกว่า คุณควรเริ่มออกกำลังกายอย่างช้าๆก่อน จากนั้นก็ควรออกกำลังให้ระดับความเร็วของชีพจรอยู่ที่ 170 ลบด้วยอายุ (เช่น 170-อายุ 30 เท่ากับชีพจรเต้น 140 ครั้งต่อนาที)
ข้อควรระวัง ผู้ที่มีโรคหอบหืด โรคกล้ามเนื้อข้อและกระดูก ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ควรปรับระดับความหนักของการออกกำลังกายให้เหมาะกับสภาวะของสุขภาพ ขณะนั้นๆ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
12. ร้องเพลง นักวิชาการจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ชี้ให้เห็นว่าการร้องเพลงแค่ 6 นาทีก็จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นได้ เพราะจากการศึกษาพบว่า คณะร้องเพลงประสานเสียง มีอินมูนโนโกลบูลินชนิดเอในปริมาณมาก ดังนั้น คุณจึงควรเปล่งเสียงร้องเพลงโปรดของคุณบ่อยๆ
13. ดูแลผิวให้มีสุขภาพดี หากคุณมีผิวแห้งแตกเป็นขุยก็จะเปิดทางให้โรคต่างๆ มาเยือนคุณ ดังนั้น คุณจึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ผิวแห้ง เช่น ไม่ควรใช้สบู่หรือเจลอาบน้ำที่รุนแรงทำร้ายผิว ไม่ควรอาบน้ำหรือแช่น้ำนานเกินควร และควรซักล้างผงซักฟอกให้เกลี้ยง ไม่ให้ติดเนื้อผ้า นอกจากนี้ ถ้าคุณมีผิวแห้งคุณควรใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เช่น น้ำมันมะพร้าวชนิดกลั่นเย็น หรือ น้ำมันมะกอกลูบไล้ผิวหลังอาบน้ำในขณะที่ตัวยังเปียกอยู่ก่อนเช็ดตัวให้แห้ง จากนั้นทาครีมหรือโลชั่นอีกครั้ง
14. สารจำเป็นจากพืชผักผลไม้ สามารถช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดี ภูมิคุ้มกันแข็งแรงได้ พืชผักผลไม้ที่กินได้มีสารต่างๆ เหล่านี้ประมาณ 10,000 ชนิด ซึ่งมีประมาณ 20-30 ชนิด ที่ได้รับการศึกษาค้นคว้ามาแล้ว นอกจากกลิ่นอะโรมาแล้วยังมีสีจากพืชผักที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น คลอโรฟิลล์จากพืชผักสีเขียว แคโรทีนอยด์จากผักผลไม้สีเหลือง ส้ม และสารแอนโทไซยานิน จากพืชผักสีน้ำเงิน สีม่วง เช่น องุ่น และกะหล่ำม่วง ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า การกินผักและผลไม้ให้ผลดีต่อสุขภาพมากที่สุด โดยเฉพาะการกินผักได้ประโยชน์มากกว่าผลไม้ และจากการศึกษาล่าสุดยังพบว่า ผักโดยมากควรทานสดหลังจากล้างสะอาดแล้ว แต่บางชนิดควรผ่านการหุงต้มก่อนจึงจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดี เช่น มะเขือเทศ และแครอท
อาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและไขมันที่ดี ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
เสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวิธีธรรมชาติ
วิตามินซี
วิตามินซีเป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน และมีบทบาทในการต่อต้านอนุมูลอิสระ การเสริมวิตามินซีสามารถช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย อีกทั้งช่วยปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ
ฝรั่ง มะม่วง มะละกอ ลำไย ลิ้นจี่ พุทรา มะกอก เงาะ แคนตาลูป เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก
ผักที่ให้วิตามินซีมาก ได้แก่ ผักคะน้า กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ พริกทุกชนิด มะละกอดิบ ผักกาดและผักที่มีใบสีเขียวทั้งหลาย
วิตามินเอ
วิตามินเอช่วยให้เซลล์บุผิวของร่างกายแข็งแรง เซลล์เหล่านี้เป็นเซลล์ที่เรียงตัวอยู่บนพื้นผิวภายในร่างกาย เช่น ในโพรงจมูกและในช่องปาก สุขภาพของเซลล์เหล่านี้มีความสำคัญต่อการป้องกันการติดเชื้อ แต่การติดเชื้อซ้ำๆ อาจทำให้เซลล์บุผิวเหล่านี้อ่อนแอลง
อาหารที่ให้วิตามินเอสูง ได้แก่ ตับสัตว์ทุกชนิด เครื่องในสัตว์ ไข่ นม เป็นต้น ส่วนเบตา-แคโรทีนพบมากในพืชผักผลไม้สีเหลืองและสีส้มแดง เช่น มะละกอ แครอต ผักหวาน ผักชีฝรั่ง ตำลึง ฟักทอง ผักกระเฉด ใบชะพลู มะเขือเทศ ผักบุ้ง คะน้า เป็นต้น
วิตามินอี
เช่นเดียวกับวิตามินซี วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง
วิตามินอีมีในอาหารหลายชนิด เช่น จำพวกเนื้อสัตว์ ไก่ ปลา หมู เนื้อวัว ตับ ไข่ นมเนย หรืออาหารจำพวกผัก เช่น ผักกาดหอม ถั่ว มะเขือเทศ หัวผักกาด หัวแครอท คึ่นไช่ มันเทศ ผลไม้จำพวกส้มเขียวหวาน ส้มโอ นอกจากนี้ยังพบในเมล็ดพืช เช่น เมล็ดข้าว เมล็ดถั่ว เมล็ดข้าวโพด แต่ที่พบจำนวนมากคือ นํ้ามันพืช นํ้ามันถั่ว นํ้ามันงา นํ้ามันข้าวโพด
สังกะสี
การมีระดับสังกะสีในร่างกายที่ต่ำลง อาจเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แย่ลง สังกะสีช่วยให้พัฒนาการและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเป็นไปอย่างปกติ
อาหารที่มีปริมาณสังกะสีสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ อาหารทะเลโดยเฉพาะหอยนางรม เป็นแหล่ง สังกะสีที่ดี เพราะดูดซึมง่ายกว่าพวกพืชผัก โดยมีการวิจัยพบว่าอาหารจำพวกเนื้อเมื่อถูกย่อยเป็น กรดอะมิโนจะมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึม สังกะสี ได้ดีขึ้น โดยธัญพืชประเภท ข้าว ข้าวโพด มีสังกะสีอยู่ปริมาณน้อย
อาหารเสริมเอ็กไคนาเซีย
สมุนไพรเอ็กไคนาเซียเป็นที่รู้จักกันมานานถึงประโยชน์ในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งบทบาทในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน การวิจัยเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าเอ็กไคนาเซียให้ผลที่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน
ฟ้าทะลายโจร
ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่ดีเยี่ยมในการปกป้องร่างกาย โดยพบว่าสามารถลดความรุนแรงของไข้หวัดได้ ฟ้าทะลายโจรจึงเป็นสมุนไพรอีกชนิดที่ดีสำหรับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
โพรไบโอติกส์
จุลินทรีย์ชนิดดีสำคัญต่อสุขภาพและความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าจุลินทรีย์ในลำไส้เกิดการเสียสมดุล ระบบภูมิคุ้มกันอาจบกพร่องลง โพรไบโอติกส์ช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้และระบบภูมิคุ้มกันให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม มีในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยว
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหากต้องการเสริมสร้างภูมิต้านทาน
วันนี้ขอเจิมก่อนนะจ้ะ