กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ออกมาเตือนประชาชนห้ามให้ กระดาษทิชชู่ ซับน้ำมันจากอาหาร เพราะเสี่ยงรับโซดาไฟและสารไดออกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย ได้ออกมากล่าวไว้ว่า สารโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) หรือโซดาไฟ เมื่อทำปฏิกิริยากับโปรตีนและไขมัน จะมีฤทธิ์กัดกร่อนเนื้อเยื่อรุนแรง ทำให้บริเวณนั้นอ่อนนุ่มกลายเป็นวุ้นหรือเจลาตินและสบู่ เนื้อเยื่อถูกทำลายหรือถูกกัดลึกลงไป ซึ่งการทำลายอาจต่อเนื่องหลายวัน การหายใจเอาไอ หรือละอองสารยังส่งผลให้ระคายเคืองต่อทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้จาม ปวดคอ น้ำมูกไหล ปอดอักเสบรุนแรง หายใจขัด การสัมผัสถูกผิวหนังจะระคายเคืองรุนแรง เป็นแผลไหม้และพุพองได้ การกลืนกินทำให้แสบไหม้บริเวณปาก คอ และกระเพาะอาหาร
ส่วนสารไดออกซิน (dioxins) เป็นสารที่สถาบันวิจัยมะเร็งระหว่างชาติจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปจะไม่ทำให้เกิดอาการอย่างเฉียบพลัน แต่อาการจะค่อยๆ เกิดและเพิ่มความรุนแรงจนถึงเสียชีวิตได้
"การซับน้ำมันจากอาหาร กระดาษที่ใช้จะสัมผัสกับอาหารโดยตรง จึงต้องเลือกใช้กระดาษที่ผลิตมา เพื่อใช้กับอาหารโดยเฉพาะ และต้องผ่านการรับรองตามมาตรฐานระดับสากล เช่น HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) เป็นมาตรฐานการผลิตที่มีมาตรการป้องกันอันตราย ที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากการบริโภคอาหาร เป็นที่นิยมใช้ในวงการอุตสาหกรรมอาหาร ร้านอาหารข้ามชาติ หรือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งจะต้องไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายออกมาปนเปื้อนกับอาหาร ไม่ปนเปื้อนเชื้อโรค ไม่มีสิ่งแปลกปลอมติดค้างอยู่ เช่น เศษกระดาษ
นอกจากนี้ การนำกระดาษหนังสือพิมพ์มาใช้ห่อบรรจุอาหารทอดต่างๆ ก็เป็นอันตราย เพราะน้ำมันจะเป็นตัวละลายสารเคมีในหมึกพิมพ์ได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้บริโภครับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย แม้ผู้บริโภคไม่สามารถตรวจสอบมาตรฐานกระดาษที่ผู้ค้านำมาซับมันจากอาหารได้ แต่สามารถหลีกเลี่ยงอาหารมันและอาหารทอด เพื่อความปลอดภัยจากการรับสารเคมีตกค้าง และเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคด้วย" อธิบดีกรมอนามัย กล่าว.
ดร.ภูวดี ตู้จินดา กลุ่มเยื่อและกระดาษ โครงการฟิสิกส์และวิศวกรรม กรมวิทยาศาสตร์บริการ ได้ออกมาบอกถึงขั้นตอนการทำ กระดาษทิชชู่ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
จากที่มีข่าวเตือนเรื่องการใช้ ทิชชู่ ซับน้ำมันอาหารนั้นเสี่ยงต่อการรับสารไดออกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งนั้น ขอแจ้งข้อเท็จจริงดังนี้
1. การฟอกเยื่อขาวที่จะทำให้เกิดสารไดออกซินนั้น จะเป็นการฟอกเยื่อด้วยสารคลอรีนหรือ Cl2 เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยมีโรงฟอกเยื่อที่ใช้วิธีการฟอกแบบนี้เพียง 1 โรงเท่านั้น ส่วนในต่างประเทศทางทวีปยุโรปหรือทวีปอเมริกาได้มีการห้ามใช้วิธีการฟอกเยื่อแบบนี้มาหลายปีแล้ว
2. การฟอกเยื่อขาวปัจจุบันส่วนใหญ่ในประเทศไทยใช้สารประกอบคลอรีน คือ คลอรีนไดออกไซด์ (ClO2) ซึ่งการฟอกเยื่อด้วยสารประกอบคลอรีนทำให้เกิดสารพิษคือ Organically bound chlorine หรือที่รู้จักกันในอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษว่า AOX แต่ **ไม่เกิดไดออกซิน** ในกระบวนการฟอกเยื่อ
3. ปริมาณไดออกซินแปรผันตรงกับปริมาณ AOX ซึ่งได้เคยทำโครงการวิจัย และมีข้อมูลสาร AOX ตกค้างในเยื่อและกระดาษ มีตัวเลขจากการวิจัยยืนยันว่า ใน กระดาษทิชชู่ นั้น มีปริมาณ AOX ตกค้างน้อยมาก ซึ่งแน่นอนว่า ปริมาณไดออกซินยิ่งน้อยลงไปอีก
** ไม่มีห้องปฏิบัติการที่สามารถวิเคราะห์ปริมาณไดออกซินในประเทศไทย ใกล้ที่สุดที่จะส่งไปวิเคราะห์หาปริมาณไดออกซินได้ คือที่ประเทศสิงคโปร์ การใช้ปริมาณ AOX เป็นตัวอ้างอิงถึงปริมาณไดออกซิน (หากมี) จึงเป็นที่ยอมรับได้ในระดับหนึ่ง
4. สารไดออกซินและ AOX ไม่ได้หลุดออกจาก กระดาษทิชชู่ ได้ง่ายๆ การสกัดเพื่อการวิเคราะห์ยังต้องสกัดที่อุณหภูมิสูง แค่เอา กระดาษทิชชู่ มาซับๆ มัน ไม่หลุดตามออกมา
5. มีการใช้โซเดียมไฮดร็อกไซด์ NaOH ในขั้นตอนการฟอกเยื่อขาว แต่กรรมวิธีการผลิตเยื่อกระดาษนั้นมีหลายขั้นตอน และใช้ น้ำ ปริมาณมากในการล้างสารต่างๆ ดังนั้นจึงไม่มีโซเดียมไฮดร็อกไซด์บริสุทธิ์ตกค้างในปริมาณที่จะก่อให้เกิดอันตราย
จากที่มีคำถามมากมาย รายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้
สารพิษที่เป็นข่าวอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นไดออกซินหรือโซเดียมไฮดร็อกไซด์ ไม่ได้เกิดขึ้นหรือถูกใช้ในกระบวนการผลิตกระดาษ แต่ถูกใช้ในกระบวนการฟอกเยื่อ
ขออธิบายง่ายๆ ดังนี้ เยื่อกระดาษผลิตจากไม้ ไม้มีสารยึดเกาะเรียกว่า ลิกนิน (lignin) ซึ่งเป็นสารสีน้ำตาล กระบวนการฟอกเยื่อคือการกำจัดสารลิกนินนี้ เพื่อให้เยื่อกระดาษมีความขาว ที่จะนำไปใช้ผลิตผลิตภัณฑ์กระดาษอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษพิมพ์เขียน กระดาษอนามัย หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ทิชชู่
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นทิชชู่เกรดไหน ก็ใช้วัตถุดิบเดียวกันนี้ คือ เยื่อกระดาษ สำหรับทิชชู่รีไซเคิล ก็มีวัตถุดิบเป็นกระดาษที่เคยใช้แล้ว เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษพิมพ์เขียน นำมาผ่านกระบวนการต่างๆ เผื่อขจัดสิ่งแปลกปลอม และนำเยื่อกระดาษเวียนไปใช้ใหม่ กระบวนการนี้ขึ้นอยู่กับโรงงานว่า ทำอย่างละเอียดและมีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน
กระบวนการฟอกเยื่อมีหลายขั้นตอน โรงงานแต่ละแห่งจะใช้ขั้นตอนแตกต่างกัน แต่โดยรวมๆ แล้ว จะมีขั้นตอนการใช้โซเดียมไฮดร็อกไซด์อยู่ในนั้นด้วย ซึ่งหลังจากเกิดปฏิกิริยาเคมีกับลิกนินจนแปลงร่างแล้ว ยังมีขั้นตอนการ ล้าง เยื่ออีกมากมาย ดังนั้นการจะมีโซเดียมไฮดร็อกไซด์บริสุทธิ์ถึงขนาดก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพปนเปื้อนอยู่ในเยื่อกระดาษว่าน้อยแล้ว กว่าจะเป็นกระดาษอนามัย จะยิ่งน้อยขนาดไหน ลองคิดตามดู
สารฟอกเยื่อที่ใช้ในการขจัดลิกนินที่เป็นที่นิยมอีกตัวก็คือ คลอรีน และ สารประกอบคลอรีน หรือ คลอรีนไดอ็อกไซด์
การใช้คลอรีนเป็นส่วนหนึงในกระบวนการฟอกเยื่อนั้น ทำให้เกิดไดออกซินแน่นอน แต่เพราะว่าเกิดไดออกซินนี่แหละ จึงมีการห้ามใช้คลอรีนในการฟอกเยื่อในหลายประเทศ สำหรับประเทศไทย โรงฟอกเยื่อก็ปรับเปลี่ยนกระบวนการนี้ออกจนเกือบหมดแล้ว เหลือเพียง 1 โรงอย่างที่กล่าวไป
สารที่นำมาใช้แทนคลอรีนในการฟอกเยื่อคือ สารประกอบคลอรีน ที่ใช้กันคือ คลอรีนไดออกไซด์ ซึ่งโรงงานฟอกเยื่อเกือบทั้งหมดในประเทศไทยใช้สารนี้กัน การฟอกเยื่อด้วยสารประกอบคลอรีน ทำให้เกิดสารพิษที่เรียกสั้นๆ ว่า AOX แต่ **ไม่เกิดไดออกซิน**
ดังนั้น
อยากให้ทุกท่านพิจารณากันว่า เมื่อ เยื่อกระดาษ ซึ่งเป็นวัตถุดิบไม่มีโซเดียมไฮดร็อกไซด์ และ((แทบ))ไม่มีไดอ็อกซิน ตัวผลิตภัณฑ์กระดาษนั้นจะมีได้อย่างไร?
สรุปว่า
กระดาษอนามัยหรือทิชชู่นั้น
ควรใช้ให้ถูกตามวัตถุประสงค์ในการผลิต คือ ใช้ภายนอก มันไม่ใช่ของกิน ดังนั้นขนมจีนน้ำยาใส่ทิชชู่นี่
ไม่ควร
สำหรับการซับน้ำมัน ถ้าถามว่า มันถูกวัตถุประสงค์ของการใช้ผลิตภัณฑ์ทิชชู่มั้ย ก็ตอบว่า
ไม่ใช่ แต่
ถ้าถามว่า เอาทิชชู่ไปซับน้ำมันแล้วจะมีไดออกซินหลุดออกมาหรือมีโซเดียมไฮดร็อกไซด์มาทำลายเนื้อเยื่อ มันก็ไม่ใช่
จากการอธิบายของ ดร.ภูวดี ตู้จินดา สรุปได้ง่ายๆก็คือ การผลิต กระดาษทิชชู่ ที่จะทำให้เกิดสารไดออกซิน ตามที่กรมอนามัยได้ออกมาบอกนั้น มีเหลือแค่โรงงานเดียวเท่านั้น เพราะโรงงานส่วนมากยกเลิกการผลิตแบบนี้ไปแล้ว มีวิธีการผลิตแบบใหม่ที่ทำให้ กระดาษทิชชู่ ไม่มีสารไดออกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งสะสมอยู่ และสารไดออกซินและ AOX ก็ไม่ได้หลุดออกจากกระดาษทิชชู่ได้ง่ายๆเช่นกัน เพียงแต่นำมาซับน้ำมันก็ไม่ได้ทำให้สารเหล่านี้หลุดออกมาปนเปื้อนกับอาหารได้
ทั้งนี้ ในการเลือกรับประทานอะไรก็ตาม ผู้บริโภคเองก็ควรใช้วิจารณญาณในการเลือกสิ่งที่ดี ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของตนเอง หากเราไม่ดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองแล้ว ก็คงไม่มีใครที่จะสามารถมาดูแลสุขภาพร่างกายของเราได้เช่นกัน
หวังให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ