เมื่อแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต โดยจะไปจับกับแกมม่าโกลบุลิน (Grammar-globulin) และจะมีแคดเมียมบางส่วนจะไปจับกับฮีโมโกลบิน หรือ เมทัลโลไธโอนีน (metallothionein) ในเม็ดเลือดแดง โดยแคดเมียมส่วนใหญ่จะไปสะสมอยู่ในไต และบางส่วนที่ไปสะสมยังตับอ่อนและต่อมไทรอยด์ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะ
ในการตรวจเพื่อเฝ้าระวังปัญหาพิษจากแคดเมียมจึงไม่ใช้การตรวจหาปริมาณแคดเมียมในเลือดหรือในปัสสาวะ แต่ใช้การตรวจปริมาณโปรตีนที่ขับออกมาในปัสสาวะ โดยเฉพาะเบตาไมโครโกรบูลิน จากการศึกษาพบว่าการดูดซึมของแคดเมียมในระบบทางเดินอาหารเป็นไปได้น้อยมาก ประมาณร้อยละ 5-10 ของปริมาณแคดเมียมที่กินเข้าไป การดูดซึมแคดเมียมในลำไส้จะดีขึ้นถ้าปริมาณแคลเซียมในอาหารต่ำ
สำหรับการดูดซึมแคดเมียมในปอดโดยการหายใจสูดดม แคดเมียมจะถูกดูดซึมได้มากขึ้นถึงร้อยละ 10-40 และถ้าหากร่างกายมนุษย์มีปริมาณของแคดเมียมสูงเกินไป จะทำให้เกิดอันตรายต่อไตขึ้นได้ โดยที่จะทำให้เกิดการทำลายเนื้อไต ทำให้มีโปรตีน กรดอะมิโนและแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นนิ่วในปัสสาวะได้ และถ้าหากติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของกระดูกในที่สุด
นอกจากนี้หากได้รับแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณสูงอย่างเฉียบพลันอาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ มีน้ำลายไหล ปวดท้อง ช็อก มีอาการเจ็บหน้าอก หายใจสั้น มีกลิ่นโลหะในปาก ไอมีเสมหะเป็นฟองหรือมีเสมหะเป็นเลือด อ่อนเพลีย ปวดเจ็บขา ต่อมาปัสสาวะจะเริ่มน้อยลงและมีไข้ จากนั้นจะเกิดอาการปอดอักเสบ จากนั้นตับและไตจะถูกทำลาย ซึ่งถ้าหากเกิดอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนเพื่อทำการรักษาต่อไป
วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคอิไตอิไต
ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากแคดเมียมสามารถไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย โดยใช้วิธีการเช่น การฉายภาพรังสีทรวงอก ตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด ตรวจปัสสาวะ และเลือด เพื่อหาระดับของแคดเมียมที่อยู่ในร่างกาย โดยองค์การอนามัยโลกได้กำหนดค่ามาตรฐานของแคดเมียมในร่างกายไว้ที่ดังนี้ หากเป็นคนปกติทั่วไปต้องมีระดับแคดเมียมในปัสสาวะ < 2 ไมโครกรัม/กรัม ครีอะตินีน และไม่เกิน 10 ไมโครกรัม/กรัม ครีอะตินีน และต้องมีระดับแคดเมียมในเลือด 5 ไมโครกรัม/ลิตร แต่ไม่เกิน 10 ไมโครกรัม/ลิตร
วิธีการรักษาโรคอิไตอิไต
โรคอิไตอิไตแบ่งออกเป็นอาการพิษแบบเฉียบพลัน และอาการพิษแบบเรื้อรัง ซึ่งวิธีการรักษาในแต่ละประเภทก็แตกต่างกันออกไป ดังนี้
อาการพิษแบบเฉียบพลัน
วิธีการรักษา
หากได้รับพิษแคดเมียมผ่านทางการหายใจ ควรนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่มีสารแคดเมียมอยู่ในอากาศและนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน แพทย์จะทำการรักษาอาการปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema) และจะให้แคลเซียมไดโซเดียมอีดีเทต (Calcium disodium edetate) เช่น อีดีทีเอ (EDTA) ทางหลอดเลือดดำ หรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ในปริมาณ 25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 1 สัปดาห์ และอาจให้ซ้ำอีกครั้งได้
หากได้รับพิษแคดเมียมผ่านทางการรับประทาน ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้ผู้ช่วยเหลือให้นมหรือไข่ที่ตีแล้วแก่ผู้ป่วย เพื่อลดการระคายเคืองของทางเดินอาหาร หลังจากนั้นให้นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล แพทย์จะให้ทำการถ่ายท้องด้วย Fleet's Phosphosoda (เจือจาง 1:4 ด้วยน้ำ) 30-60 มิลลิลิตร เพื่อลดการดูดซึมแคดเมียม ซึ่งถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้นจำเป็นที่จะต้องให้แคลเซียมไดโซเดียมอีดีเทต (Calcium disodium edetate) เช่น อีดีทีเอ (EDTA) เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่ได้รับพิษแคดเมียมทางการหายใจ เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงจะเริ่มรักษาอาการของตับ และไตที่ถูกทำลายต่อไป
อาการพิษแบบเรื้อรัง
วิธีการรักษา
หากผู้ป่วยได้รับพิษแคดเมียมและมีอาการเรื้อรังก็อาจจะทำให้อาการกระดูกเสื่อมและผิดรูปไปได้ วิธีการรักษาแบบ ไคโรแพรคติก (Chiropractic) ซึ่งเป็นการจัดกระดูกสันหลังที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคให้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม วิธีนี้จะทำให้อาการของโรคดีขึ้นได้ แต่ถ้าหากพิษเรื้อรังนั้นเข้าสู่ระบบหายใจ จะทำให้ปอดถูกทำลายอย่างรวดเร็วจนเกิดอาการปอดอักเสบเรื้อรังหรือเฉียบพลันได้ อาการในขั้นนี้จะมีทั้งการไอแห้ง ๆ อาการแพ้ ระคายเคืองบริเวณลำคอและโพรงจมูก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หนาวสั่น และเจ็บหน้าอก หากเข้าขั้นวิกฤตอาจจะถึงขนาดที่ตับหรือไตวายเฉียบพลันได้ ส่งผลถึงการติดเชื้อในกระแสโลหิต และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ดังนั้นหากเริ่มมีอาการเริ่มแรกของอาการปอดอักเสบควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป
โรคอิไตอิไต ป้องกันได้หรือไม่
โรคอิไตอิไตเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารแคดเมียมโดยตรงไม่ว่ากรณีใดก็ตาม หลีกไกลจากสารแคดเมียม กลุ่มอุตสาหกรรมก็ต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบอย่างจริงจัง โดยวิธีที่ดีที่สุดคือการลดปริมาณการใช้สารแคดเมียม หรือใช้สารทดแทนในกรณีที่ทำได้ และควรหลีกเลี่ยงอาหารและน้ำ หรืออยู่ในบริเวณที่มีสารแคดเมียม งดใช้ภาชนะ วัสดุหรือสิ่งของที่มีแคดเมียมปนเปื้อนอยู่ หากต้องเข้าไปอยู่ใกล้บริเวณที่มีสารแคดเมียมกระจายอยู่ในอากาศ ควรใช้หน้ากากป้องกันสารพิษเพื่อป้องกันพิษจากแคดเมียมด้วย
ไคโรแพรคติก (Chiropractic) รักษาโรคอิไตอิไตได้จริงหรือ?
แม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ใด ๆ พิสูจน์ได้ว่า การรักษาโรคอิไตอิไต ด้วยวิธีไคโรแพรคติก (Chiropractic) ซึ่งเป็นวิธีนวดจัดกระดูกด้วยมือนั้นจะสามารถทำให้หายจากโรคนี้ได้ แต่การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นการช่วยทำให้ในการปรับสมดุลของร่างกายได้ และทำให้อาการความเป็นพิษของแคดเมียมลดลงได้ระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาด้วยวิธีนี้ เพราะในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคอิไตอิไตนั้นจะมีอาการของภาวะกระดูกเสื่อมร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้กระดูกเกิดความเสียหายจากการรักษาได้
กินส้มตำถาดอย่างไรให้ห่างไกลโรคอิไตอิไต
ถึงแม้ว่าสารแคดเมียมจะมีความอันตราย แต่ก็เชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่ไม่อาจหักห้ามใจให้เลิกกินเจ้าส้มตำถาดได้ ดังนั้นเพื่อให้เราปลอดภัยจากโรคอิไตอิไตเราก็ควรที่จะระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยการหลีกเลี่ยงการกินส้มตำถาดที่ใช้ถาดโลหะเคลือบสี หรือถาดที่ทำจากพลาสติก
ได้รู้จักโรคอิไตอิไตกันมากขึ้นแล้ว หวังว่าหลายคนที่กำลังชื่นชอบส้มตำถาดสีก็คงจะเริ่มระมัดระวังกันมากขึ้นแล้วนะคะ รวมทั้งผู้ที่ทำงานซึ่งเกี่ยวข้องกับสารแคดเมียม แม้ว่าโรคนี้จะไม่แสดงอาการป่วยให้เห็นในระยะเวลาอันสั้น แต่หากสะสมเข้าไปมาก ๆ นานหลายสิบปี อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของเรานั้นนับว่าน่ากลัวจริง ๆ
หวังให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
pantawan Health Blog ดู Blog
..................
เพิ่งฟังรายการวันนี้เรื่องส้มตำถาด
กับสารแคดเมี่ยมค่ะน้องปาน
แม้จะมีใบตองรองรับ กรดจากความเปรี้ยวก็อาจซึมผ่านใบตองได้นะคะ
หากมีพลาสติกรองก่อน จะช่วยได้ค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลมีประโยชน์ค่ะน้องปาน